ตอนที่ 2
วัยเด็ก (ต่อ)
ผมขายไอติมเป็นค่าขนมไปโรงเรียน โดยไม่เคยรบกวนเงินจากทางบ้านเลย ตั้งแต่เล็กจนโต จะมีอยู่บ้างตอนเงินเดือนพ่อออกอาจจะให้บ้าง ๕๐ ตังค์ หรือ บาทหนึ่ง ส่วนเสื้อผ้าค่าหนังสือแน่นอนพ่อแม่ซื้อให้อยู่แล้ว แต่ก็ซื้อให้ไม่มากจำได้ว่ามีชุดนักเรียนอยู่ ๒ ชุด และชุดลูกเสืออยู่ ๑ ชุด จะใส่สลับกันใส่ชุดนักเรียนสองวัน และชุดลูกเสือ หนึ่งวัน ชุดลูกเสือจะแต่งทุกวันพุธ ก็ยังดีกว่าเพื่อน ๆ หลายคนในสมัยนั้นที่มี ๒ ชุด คือชุดนักเรียน ๑ ชุด และชุดลูกเสือ ๑ ชุด ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่จะเป็นผู้ซักเสื้อผ้าให้ และสอนให้เราซักเองเมื่อโตขึ้นมาหน่อยเพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาที่จะมาซักให้ แต่เมื่อใดที่พ่อแม่มีเวลาพ่อแม่ก็จะจัดการให้ทุกอย่าง ส่วนถุงเท้าและรองเท้านั้นแน่นอนต้องซักเองมาตั้งแต่เรียนประถม ๑ แต่หลังจากเรียนประถม ๑ แล้วพอประถม ๒ ทุกอย่างซักเองหมด เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลา
ทุกคนต้องช่วยเหลือตนเองบางทีพี่ก็ช่วยซักให้บ้าง ผมรีดเสื้อผ้าเองตั้งแต่อยู่ชั้นประถม 2 สมัยก่อนเตารีดเป็นเตารีดถ่าน ก่อน รีดผ้าต้องก่อไฟก่อนเพื่อที่จะเอาถ่านใส่ลงในเตารีด บางทีก็ใช่ถ่านเมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้ว เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยเห็นเตารีด ผมถ่ายรูปภาพเตารีดที่ผมเคยใช้มาให้ดูครับ
อย่างที่ผมกล่าวมาตอนต้นถ้าบอกว่า เชื่อหรือไม่ว่าผมไม่เคยได้สตางค์ไปกินขนมจากพ่อแม่เลย จะได้ก็ตอนเงินเดือนพ่อออก หรือจากแม่ให้เป็นรางวัลตอนไปช่วยขายขนมปัง แต่มีอยู่อย่างที่แม่ต้องเตรียมให้ก็คือข้าวมื้อกลางวัน ทุกเช้าแม่จะเตรียมข้าวให้โดยใส่แอบ (เป็นกล่องสี่เหลี่ยมทำด้วยอลูมิเนียม และมีช่องใส่กับข้าวอยู่หนึ่งช่อง) ตามรูป
เงินที่ผมมีไว้กินขนมที่โรงเรียนได้มาจากการขายไอติมวันเสาร์ และวันอาทิตย์ พูดถึงเรื่องการขายไอติมแล้วน่าสนุก ครับกระติกที่ใส่ไอติม ๑ กระติกจะใส่ไอติมได้ ๔๐ แท่ง สมัยนั้นขายแท่งละ ๑ สลึง หนึ่งกระติก ขายได้ ๑๐ บาท ส่งให้เจ้าของหรือที่เรียกว่าเถ้าแก่ ๗.๕๐ บาท เราได้กำไรค่าขาย ๒.๕๐ บาท วันหนึ่งอย่างเก่งเลยหน้าร้อน ๆ จะขายได้อย่างมาก ๒ กระติก ได้กำไร ๕ บาท สถานที่ขายประจำก็คือบ้านพักรถไฟ ตลาดหน้าสถานี และสถานที่ทำงานของพ่อ โดยเฉพาะสถานที่ทำงานของพ่อขายดีเป็นพิเศษ ผมมักจะไปขายเป็นประจำก็ว่าได้
ทุกครั้งที่ไปขายจะต้องโดนเพื่อนร่วมงานของพ่อแกล้งเสมอ เอากระติกไอติมไปซ้อนบ้าง จับผมขังไว้ในห้องโทรศัพย์บ้าง ห้องน้ำบ้าง เมื่อโดนปล่อยตัวออกมาจากที่ขังหรือที่ซ่อนตัว เย็นถึงจะเอากระติกไอติมมาคืนแต่ในกระติกจะไม่มีไอ ติมอยู่ในกระติกเลยสักแท่งเดียว ด้วยความเป็นเด็กก็ได้แต่นั่งร้องไห้ พอใกล้ที่จะเลิกงานเพื่อนร่วมงานของพ่อก็จะนำเงินมาให้ซึ่งในบางครั้งเงินที่ได้มาเกินจากไอติมที่หายไป มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมไม่ลืมถ้าจะพูดไปแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าผู้อ่านรู้จักไอติมไม้แดงหรือไม่ ผมเองก็เพิ่งรู้ตอนเมื่อโตหน่อยว่าที่แท้ก็คือโปรโมชั่นการขายในสมัยนี้นี่เอง โดยสมัยนั้นไอติมไม้แดงเป็นที่รู้จักโดยทั่วกันว่าถ้าใครซื้อไอติม และได้ไม้แดงจะได้กินฟรีอีก ๑ แท่ง เรื่องนี้เช่นกันผมก็โดนเพื่อนร่วมของพ่อแกล้งวันแรกที่มีโปรโมชั่นนี้ผมก็บอกกับเพื่อนร่วมงานของพ่อว่าใครได้ไม้แดงจะได้กินฟรีอีกแท่ง ในตอนแรกผมเองไม่รู้ว่าทางเถ้าแก่เค้าใส่ไม้แดงมากี่ไม้ในกระติก ในวันแรกทางร้านใส่มา ๑ ไม้ (ทางเจ้าของร้านจะรู้ว่าในลังไหนมีไม้แดงเค้าจะใส่ไม้แดงให้ผู้ขายกระติกละ ๑ ไม้เท่านั้น) ซึ่งผู้ขายจะไม่รู้ว่าแท่งไหนที่เป็นไม้แดง วันแรกผ่านพ้นไปด้วยดี พอวันที่สองเพิ่มไม้แดงมา ๒ ไม้ ขายหมดเย็นผมก็นำเงินทุนส่งให้เจ้าของ พร้อมกับหักไม้แดง เถ้าแก่ก็รู้สึกว่างง ๆ เหมือนกันว่าใส่ไปไม้เดียวทำไมมีกลับมาสองไม้ วันที่สองนี้เองผมจึงรู้จากเจ้าของว่าเค้าจะใส่ไม้แดงให้กระติกละแค่ ๑ ไม้เท่านั้น พออีกอาทิตย์หนึ่งผมก็เอาไอติมไปขายอีก และบอกกล่าวกับเพื่อนของพ่อว่ายังมีรายการพิเศษอยู่เหมือนเดิมใครได้ไม้แดงได้กินฟรีเพิ่มอีก ๑ แท่ง ในการขายวันเสาร์ถัดมาสิ่งต่าง ๆ ดูปกติมีเพื่อนของพ่อมาซื้อไอติมกันเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือมีคนมาซื้อน้อยมาแค่ สี่คน แต่ละคนซื้อเสร็จก็จะเดินไปที่ทำงานของตน และเมื่อกินไอติมหมดก็เอาไม้แดงมาขอไอติมฟรีอีก สี่แท่งเพิ่ม ผมเองก็นึกอยู่ในใจตามประสาเด็กว่าทางร้านใส่ไม้แดงมาผิดแน่ ๆ
เหตุกราณ์ไม่ได้หยุดแค่ฟรี สี่แท่งแรก ไป ๆ มา เอาไม้แดงมาแรกกินฟรีเกือบหมดกระติก ตอนนั้นนั่งนึกว่าขายได้แค่บาทเดียวแต่ไอติมเหลือไม่ถึง ๑๐ แท่ง มันเป็นไปได้ไงสงสัยเถ้าแก่ทางร้านคงหยิบเอาลังที่เป็นไม้แดงมาใส่ให้เราหมดหรือเปล่า โดยปกติแล้วงานของพ่อจะเลิก ๔ โมงเย็น สามโมงครึ่งกว่าแล้วไอติมยังไม่หมดกระติก แต่พองานเลิกก็มีเพื่อนพ่อมาซื้อกันจนหมดแต่สิ่งที่ประหลาดใจก็คือบางคนไม่ได้ซื้อในตอนเย็นกลับเอาเงินมาให้จนครบทุนที่ขายรวมกำไรที่ได้ก็พอดีแถมมีเงินเกินมาอีก ก็งง ตามประสาเด็ก ๆ พอไอติมหมดก็นำกระติกไปคืนร้านพร้อมกับคิดอยู่ในใจว่าวันนี้กำไรเยอะเพราะมีไม้แดงมาแรกคืนหลายไม้ แต่เมื่อเอาไม้แดงให้เจ้าของร้านดูปรากฏว่าเป็นไม้แดงปลอมผมก็เล่าเรื่องให้เจ้าของร้านว่าเรื่องเป็นอย่างไร
เจ้าของร้านแนะนำว่าเวลาขายให้คนที่ซื้อหากจะแลกไอติมฟรีให้กัดกินคำแรกให้เห็นไม้แดงแต่ถ้าหากออกไปแล้วจะไม่รับแรก ครับหลังจากนั้นได้ผลแต่ก็มีบ้างเพื่อนของพ่อบางคนแอบเสียบไม้แดงใหม่เข้าไปใหม่โดยผมไม่เห็นแล้วกัดไอติมให้ผมดูผมเห็นว่าแดงผมก็ให้ฟรี แต่ก็นั้นแหละครับพอตกตอนเย็นก็จะมีเพื่อนของพ่อเอาตังค์มาให้ เพราะบางคนก็เอาไปกินก่อนบอกว่าเดี๋ยวเย็นให้ ทุก ๆ เย็นผมก็จะรอจนกว่างานพ่อจะเลิก กำไรจากการขายไอติมส่วนใหญ่ผมจะได้กำไรเกินกว่าที่กำไรที่เป็นจริงเสมอ อาจจะเป็นเพราะว่าเพื่อน ๆ ของพ่อเขาเมตตาสงสารผม ในการขายไอติมของผม ผมขายไอติมทุกวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดแถบจะไม่เคยหยุดขาดไปไหนเลยหากไม่ได้ไปช่วยแม่ขายขนมปังก็จะขายไอติมตลอด
จำได้ว่าเมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ครอบครัวต้องย้ายจากพิโลกไปอยู่อุตรดิตถ์ แน่นอนครับพอย้ายมาอยู่อุตรดิตถ์ก็ต้องหาที่เรียนกันใหม่ พ่อพาไปเรียนที่โรงเรียนท่าอิฐ ตอนมาเรียนอยู่โรงเรียนท่าอิฐเป็นเทอมสองของชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนท่าอิฐสมัยนั้นอยู่แถวบริเวณตลาดในปัจจุบัน พอมาอยู่อุตรดิตถ์ ก็เช่นกันไอติมก็ยังเป็นสิ่งที่ผมต้องการขาย ในตอนแรกเห็นเด็กเจ้าถิ่นมาเดินขายก็ถามว่าไปรับไอติมขายที่ไหนพอได้เรื่องได้ความผมก็ไปรับมาขายบ้างตอนแรกที่ไปที่ร้านขายไอติมอยู่ทางลงไปริมน้ำน่านใกล้โรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ ตอนนั้นเริ่มโตหน่อยแล้วชั้นประถมปีที่ ๓ ไปถึงก็บอกกับเจ้าของร้านว่าจะขอรับไอติมไปขายเจ้าของร้านจะขอมัดจำค่ากระติกและค่าไอติมก่อน ๒๐ บาท ผมบอกว่าไม่ได้เตรียมมาแต่ทางร้านก็ให้เอาออกมาขายได้เพราะบอกว่าพ่อทำงานรถไฟทางร้านเค้าก็จดชื่อพ่อชื่อแม่เอาไว้ การขายไอติมที่อุตรดิตถ์นี้ไม่เหมือนกับการขายที่พิโลก เพราะมีคนขายเยอะต้องแย่งกันขาย
ที่ทำงานพ่อโดยปกติแล้วจะไม่ให้คนขายของเข้าไปขายเลย ผมเองได้สิทธิพิเศษสามารถเข้าไปขายได้ตอนนั้นไม่รู้หรอกครับว่าการมีเส้นเป็นอย่างไงทาง รปภ.ให้เข้าไปขายได้ก็เข้าไปขาย ที่อุตรดิตถ์มีคนขายมากก็จริงอยู่ แต่เด็กรถไฟไม่มีใครขาย ผมเป็นคนเดียวในเด็กรถไฟที่ขายไอติมผมจะมีเพื่อนฟูงเยอะผู้ใหญ่รู้จักเยอะแถวบ้านพักรถไฟจะรู้จักผมหมด ในนาม ไอ้หมึก รถไฟ ทุกคนจะได้ยินเสียงผมก่อน เวลาผมไปเดินขายผมก็จะสั่นกระดิ่งเรียกคน “ ไอติมมาแล้วครับไอติม “ จนเป็นที่รู้กันทั่วไปในย่านบ้านพักรถไฟ ช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงที่ขายไอติมดีที่สุดเพราะเป็นหน้าร้อนเกือบทุกวันจะแบกหรือสะพายไหล่ทั้งสองข้างเท่ากับมีไอติมทั้งสองกระติกเพื่อไม่ให้เสียเวลาไหน ๆ ก็ไหน ๆ ไม่อยากให้เสียเวลาต้องกลับไปรับเพิ่มอีกกระติกก็เลยสะพายขายสองกระติกพร้อมกันเลย (งก) บางวันขายได้ถึง สี่กระติกหมดสองกระติกแรกแล้วไปรับเพิ่มอีกสองกระติก แต่ก็มีบางวันรับมาสองกระติกขายได้กระติกกว่า ๆ ที่เหลือก็ส่งคืน ดีที่ว่าทางร้านรับคืน เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งก็จะซื้อของเล่นอีกส่วนหนึ่งก็เก็บไว้ไปกินขนมที่โรงเรียน
จริง ๆ แล้วในวัยเด็กไม่ค่อยได้เล่นเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไปเท่าไหร่ เพราะเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะมีแต่ค้าขาย แต่ก็มีบ้างที่ไม่ได้ไปค้าขายแล้วหันมาเล่นกับเพื่อน ๆ ในวัยเด็ก ๆ ด้วยกัน พูดถึงการละเล่นสมัยเด็ก ๆ สำหรับเด็กผู้ชายสมัยนั้นคงจะไม่พ้นเล่นลูกหิน ลูกหินจะเป็นลูกกลม ๆ พอ ๆ กับลูกปิงปองสมัยนี้ เอาไว้เล่นกันโยนลงหลุมใครใกล้หลุมที่สุดจะเป็นผู้เล่นก่อน แล้วตีลูกอื่น ๆ ให้ครบแต้ม ๑๐ หลังจากนั้นจะมีการอัดกัน ก็คือเอาลูกหินมาอัดใส่กันลูกใครเหนียวกว่ากันก็เป็นฝ่ายชนะไป บางทีเพื่อไม่ให้เสียเวลาท้ากันอัดกันเลยระหว่างลูกหินไม่ต้องมานับการลงหลุมให้ถึง ๑๐ ของใครจะแกร่งกว่ากันใครแกร่งกว่าไม่แตกถือว่าชนะ สมัยนั้นลูกหินขายดี ๒ ลูก สลึง จริง ๆ แรก ๆ ลูกหินของผมก็จะเหมือนกับลูกหินของคนอื่นในระยะแรก ๆ แต่ตอนหลัง จากการที่ได้เข้าไปโรงงานของพ่อตอนขายไอติมและเห็นเครื่องไม้เครื่องมือในโรงงานมีมากและมีความคิดว่าน่าจะฝากให้พ่อไปทำให้
หลังจากที่ฝากให้ทำลูกหินให้วันที่พ่อนำลูกหินมาให้เก็บเงียบไม่บอกให้เพื่อน ๆ รู้ว่าลูกหินของเราทำมาจากหินจริง ๆ ไม่ใช่ใช้ปูนปั้นเหมือนกับที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นได้เวลาพิสูจนความแข็งแกร่งของลูกหิน โดยอัดกับเพื่อน ๆ ทุกคนที่มาเล่นกับผมแพ้ผมหมดทุกคนจนไม่มีใครเล่นด้วย ทีนี้เล่นกับใคร ๆ ก็ไม่มีใครเล่นด้วยเพราะลูกหินของเพื่อน ๆ เป็นปูนปั้น หลังจากนั้นไม่นานความลับแตกว่าลูกหินของผมเป็นหินจริง ๆ ที่ให้พ่อเอาหินไปกลึงที่โรงงานรถไฟ ท้ายที่สุดแต่ละคนก็ให้พ่อของตนเองไปกลึงที่โรงงานรถไฟบ้าง นอกจากลูกหินแล้วมีเล่นลูกแก้ว เล่นหนังยาง ยิงกอง ล้อต๊อก กำทายเม็ดมะขาม ตักเม็ดมะขาม หมากเก็บ บางอย่างก็เล่นแบบโลดโพน เช่นเล่นลูกตะลัย เล่นพุไฟ
พูดถึงพุไฟเคยทำเล่นเองผสมเอง โดยใช้ดินเปอร์สิว ฟอสฟอรัส กัมมะถัน ตำผสมกัน ผันด้วยใบตองแห้งทำก้านด้วยก้านมะพร้าวมัดติดกันทำชนวนโผล่มานิดหนึ่งเพื่อทำเป็นที่จุด ตอนทำต้องมีการลองว่าจุดติดหรือไม่ มีอยู่ครั้งเมื่อผสมเสร็จทดลองจุดดู นึกว่าไม่ติดพอเอาหน้าเข้าไปใกล้เกิดติดขึ้นมาทั้งขนคิ้วขนาและผมไหม้เกรียมไปหมดการเล่นบางอย่างเล่นพิเรนสิ้นดีทดลองโน้นทดลองนี่ไปเรื่อย ๆ สาเหตุอาจจะเกิดจากการจัดการเรื่องเวลายังจัดการเรื่องเวลาไม่ถูก ทั้งวันธรรมดาและวันเสาร์อาทิตย์ พ่อแม่ก็ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำชัยอะไรมากมายเพราะอาจจะเห็นว่าเรียนก็พอไปได้ และข้อสำคัญพ่อแม่คงเห็นว่ารู้จักทำมาหากินหนังสือหนังหาแทบจะไม่ได้อ่านถือว่าตั้งใจเรียนในห้องเรียนแล้วคงไม่ต้องกลับบ้านมาอ่านหนังสืออีกซึ่งความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิดพลาดจนเป็นเหตุให้เรียนอยู่ที่โรงเรียนท่าอิฐได้แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ หลัง
จากนั้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนวัดอรัญญิกการาม ในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ครอบครัวประสบปัญหามาก สาเหตุมาจากพ่อและแม่ลงทุนออกรถสองแถวให้น้องชายแม่ขับ เพราะเห็นว่าน้องชายแม่ไม่มีงานทำ และอีกคันจ้างเขาขับ ทำได้ไม่นานก็เหลือเพียงคันเดียวให้น้องชายแม่ขับและสุดท้ายก็ต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นที่นาที่มีสะสมไว้ บ้านส่วนตัวที่มีอยู่ ต้องขายทุกอย่างที่มีอยู่สุดท้ายแม้กระทั้งรถสองแถวที่มีอยู่ต้องขายเป็นเศษเหล็ก แม่เองก็ต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านหลวงคือบ้านพักรถไฟ ถนนฤดีเปรม ถ้าจะให้เล่าว่าเพราะเหตุใดรายละเอียดลึก ๆ ก็รู้ไม่มากเท่าไหร่รู้แต่ว่าพ่อและแม่เริ่มทะเลาะกันมากขึ้น พ่อเริ่มดื่มเหล้ามากขึ้น จะรู้ก็ยามที่พ่อเมาบ่นรำพึงรำพันว่าน้อยใจในวาสนา แล้วก็บ่นว่าการที่ไม่ลงมือทำเองหรือยืมจมูกคนอื่นหายใจก็เป็นเช่นนี้แหละ หลังจากนั้นนับวันครอบครัวของเรามีแต่แย่ลง แย่ลง แล้วก็แย่ลง
สวัสดีครับ คุณลีลาวดี
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม
ด้วยจิตคาราวะ