โรคที่ไม่ร้ายแรง เช่น โรคปวดหัว โรคความดันโลหิต โรคประสาทหรือโรคอื่นๆ ที่มีอาการไม่รุนแรงนัก ก็พอจะเคยเห็นเคยได้ยินว่าใช้พลังสมาธิจิตรักษาให้หายได้ แต่โรคร้ายๆ เช่น โรคมะเร็ง ยังเคยเห็นรักษาให้หาย อย่างมากก็แค่ยืดเวลาออกไปอีกได้หน่อยหนึ่งแต่ได้อ่านในหนังสือ "วิธีแก้เซ้งและสร้างสุข" โดย ศจ.นพ.ประเวศ วะสี ท่านได้เขียนไว้น่าสนใจ เพราะท่านเป็นหมอ และเป็นหมอแมกไซไซด้วย ท่านกล่าวว่าที่ประเทศออสเตรเลีย มีนายแพทย์คนหนึ่งชื่อดอกเตอร์เมียร์ส ได้ทำการวิจัยการรักษาโรคมะเร็ง โดยการให้คนไข้ทำสมาธิ ไม่ใช่มะเร็งหลอกๆ แต่เป็นมะเร็งที่ได้รับการตรวจโดยการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว บางรายก็แพร่กระจายไปตับ ไปปอด และไปที่อื่นๆ จนแพทย์บอกว่าหมดหวังแล้ว
หมอก็สอนให้คนไข้ทำสมาธิ ทำสามาธิอย่างเดียวโดยไม่ได้ให้ยาใช้เวลาประมาณ ๖ เดือน หลังจากทำสมาธิทุกวันๆ ปรากฏว่ามะเร็งยุบ บางรายหายไปเลย เขาอธิบายว่า จิตใจที่เครียดทำให้หน้าที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ที ลิมโฟซัยต์ บอกพร่อง เมื่อจิตเป็นสมาธิสารเคมีบางอย่างที่ร่างกายหลั่งออกมาจะมีน้อยลง หน้าที่ของ ที ลิมโฟซัยต์ จึงดีขึ้น เมื่อ ที ลิมโฟซัยต์ดีขึ้นจึงไปรุกไล่ทำลายเซลล์ที่เป็นมะเร็งทำให้มะเร็งยุบหรือหายไปเลย
นอกจากจะหายจากโรคมะเร็งแล้ว คนที่ปฏิบัติสมาธิยังได้พบความสุขจากการทำสมาธิย่างล้นเหลือ ถึงกับอุทานออกมาว่า "ฉันดีใจที่เป็นมะเร็ง ในชีวิตฉันไม่เคยพบความสุขอย่างช่วง ๖ เดือน ที่แล้วเลย" และตอนท้ายคุณหมอประเวศ วะสี ยังได้ย้ำเตือนชาวพุทธเราว่า "พวกเรา ชาวพุทธ" ไม่ต้องรอให้เป็นมะเร็งก่อนแล้วค่อยใสในฝึกทำสมาธิ
สำหรับเรื่องการใช้พลังจิตรักษาโรคนั้น ครูบาอาจารย์หรือท่านที่ปฏิบัติธรรมจนมีพลังจิตเป็นจำนวนมากท่านได้ใช้พลังจิตรักษาโรค โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในป่าในถ้ำ ซึ่งชุกชุมไปด้วยโรค จำเป็นต้องอาศัยพลังจิตเป็นอย่างมาก แม้แต่ในเมืองหลวงก็ยังมีพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เวลาเจ็บป่วยแทนที่จะไปหาหมดเพื่อรับการตรวจรักษา แต่ท่านก็ยังใช้พลังสมาธิจิตรักษาโรคด้วยตัวท่านเอง
ดังเช่น ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ วัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งท่านพระมหาสงัด สุวิเวโก เขียนไว้ในหนังสือชีวประวัติของท่านเจ้าคุณธรรมวิตกโก ว่า.....แม้ว่าสังขารร่างกายของท่านจะถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ท่านก็ไม่รู้สักหวั่นไหวไปตามอาการของโรคร้าย
ตามปกติท่านจะลงโบสถ์ทำวัตรสวดมนต์ไม่ขาดทั้งเช้าและเย็น โดยท่านมีปณิธานว่า "ถ้าวันไหนไม่ได้ลงไหว้พระสวดมนต์ในโบสถ์ตายดีกว่า" เคยมีอยู่ ๑-๒ วัน ที่ท่านไม่ได้ลงโบสถ์ ครั้งนั้นท่านถูกงูกัดเท้าบวมเดินไม่ได้ และอีกครั้งหนึ่งท่านเป็นโรครูมาตีซัม ไขข้ออักเสบ หัวเข่าข้างขวาบวมแดง แต่ท่านยังให้ไม้เท้ายันกายไปลงโบสถ์ นิมนต์ให้ท่านไปหาหมอก็ไม่ไป แต่อยู่ต่ออีกไม่กี่วันโรคนั้นก็หายเป็นปกติโดยไม่ได้ฉันยา ไม่ได้ทายา แต่ท่านใช้ธรรมโอสถรักษา ท่านพูดว่า "มันเป็นเอง มันก็ต้องหายเอง" เมื่อ เม.ย. ๑๓ ท่านเป็นโรคชนิดหนึ่ง เป็นฝีสบาย มันมีอายุ ๕ ปี ถ้ามันแตกเมื่อไรก็ต้องตาย พอถึงเดือน ต.ค. ๑๓ ฝีร้ายก็แตกออก มีน้ำเหลืองไหลซึมอยู่เสมอ ตอนนั้นท่านใช้กระดาษชำระซับน้ำเหลืองเอาไว้ แม้ขณะไหว้พระสวดมนต์ท่านก็ต้องมีกระดาษชำระคอยซับไว้ เพราะน้ำเหลืองจะหยดถูกสังฆาฏิ ดูเหมือนว่าท่านไม่ได้กังวล หรือเอาใจใส่ต่อโรคร้ายนี้ เพราะอำนาจพลังจิตอันยิ่งใหญ่ของท่านทำให้โรคร้ายไม่กำเริบ
อีกท่านหนึ่งเป็นฆราวาส (ขอสงวนนาม) เป็นผู้ปฏิบิตธรรมจนมีพลังจิตพอที่จะ ลด ละ เลิก กิเลสให้เบาบางลงไปได้บ้าง คราวหนึ่งท่านเป็นไข้หนาวสั่น เอาผ้าห่มตั้ง ๓ ผืนมาห่มให้ก็ยังบอกว่าไม่หายหนาว ท่านบอกว่า หนาวเหน็บถึงกระดูก เมื่อทำอย่างไรก็ไม่หายหนาว ท่านจึงสลัดผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่งสมาธิ พักหนึ่งสังเกตว่ามีเหงื่อออกตามหน้าไหลเป็นทาง เสื้อนอนที่ใอยู่ก็เปียก ใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที ท่านก็ออกจากสมาธิ บอกว่าหายแล้วไม่หนาวแล้ว
นี้แค่อำนาจพลังจิตเล็กๆ น้อยๆ ยังเอ้อำนวยประโยชน์ได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นท่านที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบที่สูงยิ่งขึ้นไปจะมีพลังอำนาจจิตมากมายมหาศาลขนาดไหน
ปัจจุบันนี้ ปรากฏว่ามีคนป่วยเป็นโรคร้ายที่รักษายาก ส่วนมากมักจะไม่หาย โรคนั้นคือโรคมะเร็ง ที่พูดเรื่องนี้ก็ถ้าหากมีการให้คนไข้ปฏิบัติสมาธิร่วมกับการรักษาทางยา การรักษาทางจิตที่จะได้ผลต้องรีบรักษาตอนแรกที่ทคนไข้ยังแข็งแรงอยู่ เพราะคนไข้จะสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ฝึกได้ คนไข้ต้องฝึกปฏิบัติลงมือทำด้วยตัวเอง รักษาตัวเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นรักษาให้ คนอื่นเพียงช่วยแนะนำเท่านั้น แต่ถ้ารักษาตอนที่คนไข้มีอาการหนักแล้วคงไม่ได้ผลอะไร เพราะคนไข้ช่วยตัวเองไม่ได้ ผู้เขียนเคยทดลองแนะนำให้คนไข้ปฏิบัติ ไม่ค่อยจะได้ผลเพราะไม่ค่อยจะได้รับความร่วมมือจากคนไข้ แต่ถ้าหมอจัดทำโครงการเอง คงต้องได้รับความร่วมมือจากคนไข้ แต่ถ้าหมอจัดทำโครงการเอง คงต้องได้รับความร่วมมือจากคนไข้ เพราะคนไข้มีความศรัทธาเชื่อถือ และไว้วางใจหมอเป็นทุนอยู่แล้ว แนะนำอะไรคไข้ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม
อันนี้มีคนพูดหลายคน ผมก็ว่าจริงครับ