นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากในระยะนี้ ยอมรับว่ามาจากที่ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นจำนวนที่สูงมาก และย่อมมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าส่งออกของไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีหน้าที่ติดตามดูแลกระทรวงการคลัง ไม่มีอำนาจให้นโยบายแก่ ธปท.ในเรื่องค่าเงินบาท เป็นหน้าที่ของ ธปท.ต้องดูแลเรื่องนี้เองให้ครอบคลุม ต้องเปรียบเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่แข่งขันทางการค้าทั้งหมด เพราะหากจะดูเปรียบเทียบแค่สกุลเงินบาทกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐคงไม่เพียงพอ
เนื่องจากช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นโดยธรรมชาติ และมีผลต่อภาคการส่งออก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง จึงเป็นหน้าที่ของ ธปท. พิจารณาให้ครบรอบด้าน เปรียบเทียบค่าเงินบาทกับเงินสกุลอื่นๆ ด้วย ไม่เฉพาะเงินบาทเมื่อเทียบดอลลาร์เท่านั้น
ส่วนกรณีที่นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แนะนำว่า ควรบริหารจัดการให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าที่ระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มเงินให้กับประชาชนผ่านทางผู้ส่งออกที่จะได้เงินบาทจากการขายสินค้าเข้ามามากขึ้นนั้น ยอมรับว่า หากค่าเงินบาทแข็งกว่าคู่แข่งขันทางการค้าจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลงไป
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ควรจะดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ต้องดูแลให้มีความสมดุล ไม่ควรแข็งค่าหรืออ่อนค่าเกินไป จะต้องพิจารณาภาพรวมของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขันทางการค้าที่สำคัญ เช่น ค่าเงินวอนของเกาหลี ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นต้น
มติชนรายวัน 12 พฤษภาคม 2552
ไม่มีความเห็น