ทำอย่างไร เยาวชนไทย
จึงจะหันกลับมาสนใจ
เอกลักษณ์ของท้องถิ่น (ตอนที่ 2)
(ชำเลือง มณีวงษ์/ผู้เขียน)
ผมเป็นเพียงคน ๆ หนึ่ง ที่เดินทางบนถนนแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่นมานาน และได้รับประสบการณ์ตรงมาตลอดชีวิต อยากบอกว่า โดดเดี่ยว เหงา และไม่มั่นใจว่า จะเอาอยู่หรือไม่ ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปจนใกล้ที่จะถึง 60 ปี แล้วก็ตาม แต่ยังไม่เคยได้ยินคำยืนยันอย่างเด่นชัดและเป็นรูปธรรมว่า “พบแล้ว วิธีการที่จะทำให้คนรุ่นใหม่ สนใจศิลปวัฒนธรรมของไทยเรา และกล้าที่จะแสดงออกอย่างเต็มใจสมภาคภูมิ”
ผมได้ให้คำแนะนำจูงใจเยาวชนที่ผมรับหน้าที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ตั้งแต่ผมเริ่มเข้ารับราชการมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลานานกว่า 39 ปี ผมใช้วิธีการหลาย ๆ วิธีส่งสาระความรู้ถึงผู้เรียน โดยการตั้งเป้าหมาย (จุดประสงค์ หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หรือตัวชี้วัด) เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านศิลปะพื้นบ้าน การแสดงพื้นเมืองมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ได้รับคือ เยาวชนหรือนักเรียนในที่ผมสอนให้ความสนใจไม่ถึง 10% ผมประมาณว่า น่าจะมี 1-5% เท่านั้นที่มีความสนใจจริง ๆ
เวลาที่ผมทำงานด้านนี้กับเด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนในวิชาศิลปะ ไม่ว่าจะใช้ชื่อวิชาว่า วาดเขียน วิชาขับร้อง ต่อมาเรียกชื่อใหม่ว่า ทัศนศิลป์ ดนตรี-นาฏศิลป์ จนมาถึงหลักสูตรในยุคปัจจุบันเรียกชื่อเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ว่า ศิลปะ แถมด้วยการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรียกว่า บูรณาการวิชาอื่น ๆ เข้าไปก็ยังคงเงียบเหงา ดูนิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวมากนัก คนที่ทำงานด้านนี้มายาวนาน พอที่จะคาดเดาได้ว่า อีกไม่นานน่าที่จะมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นของไทย ๆ เริ่มที่จะจางหาย หรือสูญหายไป โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรมด้านการแดงเพลงพื้นบ้าน ข้อสังเกตนี้มาจากข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม ได้แก่
1. เยาวชนให้ความสนใจลดลง หรือน้อยลงไปทุกที มีเพียง 1-5% ที่สนใจจริง ๆ
2. เยาวชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม เป็นเพียงการเข้ามาชั่วระยะหนึ่งแล้วก็เลิกไป
3. เยาวชนที่เข้ามาเรียนรู้ด้านการแสดงเพลงพื้นบ้าน มีเป้าหมายไม่ยาวไกล
4. เยาวชนที่เข้ามาสัมผัสศิลปะการแสดงพื้นบ้านได้ระยะหนึ่งถูกเพื่อนชักจูงออกไป
5. เยาวชนมีความอ่อนไหวต่อจิตใจที่จะรับในสิ่งใหม่ ๆ โดยลืมความตั้งใจเดิม
จากปี พ.ศ. 2523-2552 เป็นเวลา 29 ปี ที่ผมรับราชการอยู่ที่นี่เป็นโรงเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ที่ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมด 1500-1900 คน (โดยประมาณ) มีนักเรียนเข้ามาสมัครอยู่ในชุมนุมศิลปะการแสดงท้องถิ่นเพียง 14-29 คน (บางปีมีน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ) ในขณะที่ผมเป็นครู แต่เป็นนักแสดงเพลงพื้นบ้านต่อเนื่องมานาน เพราะว่า ผมฝึกหัดเพลง และเล่นเพลงเพลงพื้นบ้านมากับนักเพลงรุ่นครูตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 รวมทั้งผมยืนอยู่บนเวทีการแสดงเพลงพื้นบ้าน ยืนอยู่หน้าห้องเรียนรู้ ยืนร้องเพลงพื้นบ้านอยู่หลังสะแตนด์ (มีดอกไม้ มีไมโครโฟน) ผมร้องเพลงแหล่ ขับเสภา เพลงเต้นกำ เพลงอีแซว เพลงฉ่อย ฯลฯ ขอบคุณวิทยากรในห้องประชุมอบรม สัมมนา มาแล้วนับพันครั้ง เมื่อผมนำเอาความรู้ ความสามารถมาขยายผลถึงผู้เรียน จาก ปี พ.ศ. 2525-2534 (10 ปีเศษ) ไม่มีนักเรียนให้ความสนใจเลยสักคนเดียว จนมาถึงปี พ.ศ. 2535-2552 เป็นเวลา 18 ปี ที่พอมีนักเรียนเข้ามารับรู้และฝึกการแสดงจนรับงานเป็นอาชีพได้ ทำให้ผมมองเห็นว่า งานอย่างนี้ทำยากมาก และการพัฒนาในภาพรวมไปสู่ความยั่งยืน เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า จะมีคนรุ่นใหม่ ๆ อีกสักกี่คนที่เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเยาวชนแบบจริงจัง เกาะติด ฝังแน่น ยอมอดทนอยู่กับความเหน็ดเหนื่อยอย่างที่ผมได้ทำมานาน จนผมไม่เคยนึกเลยว่าเป็นภาระที่จะต้องแบกเอาไว้
มิใช่ผมจะเป็นห่วงว่า เพลงพื้นบ้านบางอย่างหรือหลายอย่าง จะต้องสูญสิ้นไป แต่มีปัญหายอดฮิต เป็นคำถามที่สื่อมวลชนและผู้คนให้ความสนใจมากจริง ๆ กับคำถามที่ว่า “เด็ก ๆ ที่โรงเรียนของอาจารย์ มีมากไหม ครับ ที่หันมาสนใจเพลงอีแซว หรือเพลงพื้นบ้านที่อาจารย์ทำอยู่” ผมตอบไปว่า “มีน้อยครับ อยากตอบว่า มีน้อยมาก เพราะว่า เด็กที่จะหันมาสนใจเพลงพื้นบ้านได้นั้นมีปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่ครูเพลงจะต้องเอาชนะใจพวกเขาเหล่านั้นให้ได้ จึงจะสามารถรวบรวมเยาวชนเป็นกลุ่มสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้” เด็ก ๆ จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกมองว่า มีความสำคัญต่อการรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมความเจริญงอกงามที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นแทนคนรุ่นเก่า ๆ ที่จะต้องจากไปดังใบไม้แก่ ที่นับวันจะร่วงโรยและหลุดจากต้นหล่นลงดินและจะต้องมีใบไม้อ่อนที่ผลัดใบมาแทนที่ เพื่อรักษาชีวิตของต้นไม้เอาไว้ให้ได้
ท่านคิดว่า ยังมีวิธีการใด ๆ บ้าง ที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัดในการรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจและร่วมรักษาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของท้องถิ่นเอาไว้ให้จงได้
(ติดตามตอนที่ 3 ทำอย่างไร เยาวชนไทยจึงจะหันกลับมาสนใจเอกลักษณ์ของท้องถิ่น)
สวัสดดครับคุณชำเลือง
"ถ้าคนรุ่นเก่าไม่บันทึกเรื่องราวในอดีต คนรุ่นใหม่ขาดการใส่ใจค้นค้วา กาลเวลาทำลายเรื่องราวแต่หนหลังอย่างน่าเสียดาย"
มีความสุขในการทำงานนะคะ
สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก อยากให้เด็กๆเค้าสัมผัส ซึมซับ อนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านที่งดงามนี้ ให้คงอยู่ตลอดไปค่ะ
ทุกๆฝ่ายคงต้องช่วยกันปลูกฝัง รณรงค์ให้มากๆ
ขอบคุณในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่นะคะ
ชอบฟังเพลงอีแซวค่ะ เหมือน Rap แบบไทยๆ ค่ะ สนุกค่ะ และงามในทางภาษาค่ะ ส่วนคนร้องก็ต้องมีไหวพริบดีด้วยค่ะ
หากนำมาประยุกต์อาจจะทำให้เพลงอีแซวเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นไหมค่ะ :)
ส่งเสริมในโรงเรียน ในครอบครัว หมู่บ้านค่ะ ผู้ใหญ่ทุกคนช่วยกันค่ะ แล้วเด็กๆจะเห็นคุณค่าค่ะ
เพลงอีแซว เป็นอัตลักษณ์หรือตัวตน และภูมิปัญญาของคนไทยดั้งเดิมนะคะ เป็นวัฒนธรรมที่ควรจะรักษาไว้ และมีผู้สืบต่อๆกันไป
ดิฉันเอง ถึงจะไม่ค่อยมีโอกาสฟัวเพลงอีแซวนัก เพราะผู้คน แต่ละกลุ่มก็ต่างมีวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่ดิฉัน ก็เห็นด้วยและสนับสนุนเป็นอย่างมาก ในการที่หาทางทำให้เพลงอีแซว อยู่คู่ประเทศไทยต่อไปค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ดิฉันทำเรื่องเพลงพื้นบ้านอยู่เช่นเดียวกัน สมาชิกที่
เอาจริงเอาจังสืบทอดได้ไม่เกิน 50 คน แต่โชคดีที่ผู้บริหารระดับเขต
พื้นที่ ท่านเอาจริงเอาจังกำหนดเป็นนโยบายให้นักเรียนทุกคนในเขตพื้นที่
แสดงพื้นบ้านให้ได้ มีการประเมินกันจริงจัง ดิฉันเลยพอมองเห็นทางขึ้นบ้าง
ที่โรงเรียนก็ใช้เด็ก 50 คนนี้เป็นแกนนำค่ะ กีฬาสีก็บรรจุไว้ให้มีการแข่งขัน
ร้องเพลงพื้นบ้านบนอัฒจันทร์เชียร์ บังคับ ม. 6 ทำโครงงานเผยแพร่
ขยายผล ทำกันหลายทางค่ะ เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นดำรงอยู่ได้
เมื่อเดือนมีนาคม ดิฉันพาเด็กชุมนุมไปแลกเปลี่ยนกับอาจารย์พิสูจน์มาแล้วค่ะ
เพลงอีแซวยอดเยี่ยมมาก
ตั้งแต่มาสัมผัสgotoknowได้เห็นการร้องอีแซวชอบมากเลยและก็ยังไม่หายไปช่วงเวลาที่อาจารย์ยังอยู่....นั่งดูหนังตู้เป็นเรื่องราวของดนตรีแจ๊ส(ก็ชอบเหมือนอีแซวของเรา)มีอยู่ตอนหนึ่งของหนังนี้มีแบคกราวให้เห็นเป็นรูปวัดพระแก้วฟังดูดนตรีแจ๊สที่เขาเล่นว่ามันคุ้นหูแต่ยังฟังไม่ออกเพราะมันเป็นแจ๊สฟังๆอยู่สักพักถึงบางอ้ออ๋อฝรั่งเล่นเพลงรำวงเป็นแจ๊ส..ยอมรับว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับฟังไม่ได้ว่ารำวงแบบแจ๊สจะรกหูแต่อย่างไร
เรื่องความสคัญของท้องถิ่น ก็ควรจะให้พ่อแม่สอนลูก โดยพาลูกไปเรียนรู้ไปเที่ยวบริเวณท้องถิ่นที่ตนเองอยู่ พ่อแม่เล่าเรื่องดีเกี่ยวกับท้องถิ่นให้ลูกฟัง
ครูก็ช่วยเผยแพร่โดยการสอนด้วยค่ะ
สาธุ โลกาภิวัฒน์ นั่นเอง
ตอบความเห็นที่ 1 คุณวอญ่า-ผู้เฒ่า-หน้าตา...งั้น ๆ
ตอบความเห็นที่ 2 คุณสายธาร
ตอบความเห็นที่ 3 ดร.จันทวรรณ ปิยะวัฒน์
ชอบฟังเพลงอีแซวค่ะ เหมือน Rap แบบไทยๆ ค่ะ สนุกค่ะ และงามในทางภาษาค่ะ ส่วนคนร้องก็ต้องมีไหวพริบดีด้วยค่ะ หากนำมาประยุกต์อาจจะทำให้เพลงอีแซวเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นไหมค่ะ
ท่าน คือผู้รู้ สิ่งที่ท่านแสดงความเห็น เป็นหลักของความจริงในวันนี้ ศิลปะการแสดง รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีอาจต้องปรับบ้าง เพื่อให้ร่วมยุคกับปัจจุบันจึงจะไปด้วยกันได้
ตอบความเห็นที่ 4 คุณน้อยหน่า
ตอบความเห็นที่ 5 คุณเบดูอิน
ไปชมที่สุพรรณมาคะ..ชื่นชมเด็กๆที่มีความตั้งใจในการนำเสนอ..
น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เด็กหันมาสนใจศิลปะท้องถิ่นได้ดีทีเดียวนะคะ
ตอบความเห็นที่ 6 คุณศักดิ์พงษ์ หอมหวล
ตอบความเห็นที่ 7 คุณ Sasinand
ตอบความเห็นที่ 8 คุณนิชรา พรมประไพ (ม่วย)
ตอบความเห็นที่ 9 คุณยายธิ
ตอบความเห็นที่ 10 คุณ Berqer0123
ตอบความเห็นที่ 11 หนุ่มลุ่มน้ำปิง
"สาธุ โลกาภิวัฒน์ นั่นเอง"
ครับ วันนี้โลกไร้พรมแดน ไม่อาจที่จะขีดกั้นได้ วัฒนธรรมนำเข้าและส่งออกถูกแลกเปลี่ยนจนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เพียงแต่ว่า เราจะทำอย่างไร แยกเอาจุดเด่น ๆ ออกมาเพื่อที่จะแสดงความเป็นเจ้าของแผ่นดินในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้บ้าง
ตอบความเห็นที่ 17 Add