วันนี้ วิสาขบูชา... ผู้เขียนยุ่งตั้งแต่ตอนเช้า เพราะต้องไปสวดชยมงคลคาถาหรือชยันโตในพิธีวางศิลาฤกษ์ศาลาหลังใหม่ของวัดหัวป้อมใน กลับมาก็เตรียมตัวแสดงธรรมประจำวันพระ เสร็จแล้วตอนบ่ายก็มานั่งพิมพ์บทสวดมนต์ไหว้พระให้น้าสาวซึ่งรับปากท่านไว้หลายวันแล้ว เสร็จแล้วก็จำวัดกลางวันงีบใหญ่ ตอนเย็นตื่นมาก็ดูสถานที่ ติดตั้งเครื่องขยายเสียง เพราะภาคค่ำจะมีการเวียนเทียน ซึ่งกว่าจะเสร็จพิธีก็สามทุ่ม แต่ยังไม่ได้ขึ้นกุฏิเพราะยืนคุยธุระกับโยมบางท่านที่มาเวียนเทียน แล้วก็มานั่งปรับทุกข์กับหลวงพี่ที่กุฏิอีกพักหนึ่ง กว่าจะได้เข้าห้องก็ห้าทุ่มครึ่งพอดี...
ไม่ได้เขียนบันทึกหลายวันแล้ว ลองตรวจดูบันทึกครั้งก่อนก็รู้ว่าเขียนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๗ ของเดือนที่แล้ว นับได้ว่า ๒๐ วันพอดีที่ทิ้งช่วงไป... อันที่จริงผู้เขียนก็มิได้ไปไหน เพียงแต่เป็นเดือนห้า ซึ่งประเพณีปักษ์ใต้นิยมทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษ จึงทำให้ต้องไปที่โน้นที่นี้ โดยไปทำบุญเองบ้างหรือเค้านิมนต์ไปบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมดาทุกปี แต่เหนื่อยกายนั้น ไม่เท่าเหนื่อยใจ...
หลายวันก่อน ผู้เขียนก็ไปทำบุญอุทิศให้อดีตเจ้าอาวาสที่วัดคอหงส์ เพื่อนสหธรรมิกก็ปรารภว่า ปีนี้อาจารย์ไม่อยู่ (เจ้าอาวาสรูปก่อน มรณภาพเมื่อปีที่แล้ว) ไม่มีใครสั่ง จึงต้องสั่งตัวเอง... ผู้เขียนก็หัวเราะ แล้วก็นึกย้อนมาถึงตัวเอง เดียวนี้ก็ไม่มีใครสั่ง ต้องสั่งตัวเองเหมือนกัน... ซึ่งทั้งปิยมิตรและผู้เขียนเอง ที่ต้องสั่งตัวเองนั้น มิใช่ว่าเป็นเจ้าอาวาส หรือมีตำแหน่งใดในวัด นั่นคือ อยู่วัดมานาน จนไม่มีใครสั่ง แต่จำเป็นต้องทำ คล้ายกับต้องสั่งตัวเอง...
หลายเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานั้น เราคุยกับใครก็ไม่เข้าใจ สาเหตุก็คือ เขามิได้มีพื้นฐานทางความคิดเห็นและวิถีชีวิตในเรื่องนั้นๆ เป็นไปทำนองเดียวกับเรา... ชีวิตการอยู่ในวัดก็ทำนองนั้น กล่าวคือ จะรู้ซึ้งว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องมาบวชอยู่นานๆ... ตอนนี้ที่วัด ท่านเจ้าอาวาสอาพาธไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ รองเจ้าอาวาสซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนก็อาพาธ หลายสิ่งหลายอย่างจึงติดขัด ผู้เขียนบวชมาย่างปีที่ยี่สิบห้า ส่วนหลวงพี่อีกรูปก็บวชมาเกือบสามสิบปี จึงต้องพยายามสั่งตัวเองให้วัดดำเนินต่อไปได้...
สิบกว่าปีก่อน ผู้เขียนสนทนากับอาจารย์ปลื้มซึ่งท่านเป็นมหาเปรียญเก่าเคยบวชมานาน ปัจจุบันอายุย่างเข้าแปดสิบแล้ว โดยผู้เขียนปรารภว่าทำไม พระผู้ใหญ่หลายๆ ท่านจึงต้องการอำนาจ พยายามชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องนี้... ท่านให้ความเห็นน่าคิดว่า จะบอกว่าเป็นกิเลสก็เป็นกิเลส แต่คนทำงานเค้าต้องการอำนาจ เพราะถ้าไม่มีอำนาจทำไหร่ไม่ได้... ซึ่งในครั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตัวได้ว่า เมื่ออายุมากขึ้น ไฉนว่าเริ่มต้องการจะมีอำนาจ คงจะต้องการทำงานกระมั้ง แต่ผู้เขียนก็มิได้ใส่ใจกระไรนักในตอนนั้น
สรุปว่าผู้เขียนคงเหนื่อยใจไปอีกนาน... เพราะถ้าไม่ทำอะไร ปล่อยเลยตามเลยแล้วทนรับเพียงสภาพที่เกิดขึ้น แม้สบายกายก็เหนื่อยใจ เนื่องจากปล่อยวางไม่ได้... แต่ถ้าไม่ปล่อยเลยตามเลย พยายามทำเท่าที่ทำได้ ก็ต้องเหนื่อยใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะหลายคนก็หลายความเห็น หลายเรื่องหลายราว... และถ้ามีอำนาจอย่างแท้จริงแล้ว ก็คาดหมายล่วงหน้าได้ว่า ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน...
นมัสการพระคุณเจ้า มานั่งฟังคำ "บ่น" เป็นกุศลใจให้รู้ว่าพระต้องการอำนาจเหมือนกันครับ
ต้องการอำนาจ พยายามชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องนี้...
ผมก็เป็นนะครับ 555...
ตอนนี้ผมต้องการ อำนาจของ พละ 5... ครับพระอาจารย์
หลังจากเข้มข้นเอาจริงเอาจังกับเส้นทางธรรม...มาผ่อนคลายด้วยเรื่องธรรมดาของชีวิตด้วยเรื่องที่พระอาจารย์เล่า...
เส้นเอ็นก็หายเกร็งไปได้เหมือนกัน...555
กราบ 3 หน
ชีวิตจริงนี้แหละ สุดยอดดดดดดดด ! ! ! ! เพราะชีวิตในอุดมคติหรือในคัมภีร์นั้น จะไปถึงไม่ได้ ถ้าสะสางชีวิตจริงขณะนี้ไม่ได้...
เจริญพร
..ชีวิต คือ งาน ..งาน คือ การแก้ปัญหา = ชีวิต คือ การแก้ปัญหา..ปัญหา คือ ผลต่าง ของ ความต้องการ กับ สภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่..ถ้า..พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ มีอยู่ ก็ ไม่มี ปัญหา..และเมื่อไม่มีปัญหา ก็ ไม่ต้องแก้ปัญหา..เมื่อไม่ต้องแก้ ปัญหา ก็ไม่มีสิ่งขับเคลื่อน ชีวิต(ทุกข์)...ชีวิต ที่ เหลือ อยู่ จึงอาจยังขับเคลื่อนไป ด้วย พลังแห่งสุข คือ ความเบิกบาน ตื่นอยู่..ด้วยความ ไม่ยึดติด ไม่มีตัวตน..ตามครรลองของมันอีกชั่วขณะ..เพื่อประโยชน์..ของผู้อื่น..เท่าที่มันจะเป็นไป..นมัสการด้วยความเคารพรัก..