กฎหมายบอกว่า ถ้าจะหย่าได้ จะต้องมีเหตุของการหย่านะครับ เคยมีคดีอยู่คดีหนึ่ง สามีเป็นเจ้าชู้มาก ภรรยาเบื่อและเอือมระอาเต็มที่ แต่ไม่สามารถจับได้สักที สามีก็ปากแข็ง....ถามเท่าก็ไม่ยอมรับ ภรรยาจึงจ้างนักสืบออกสืบ ทำให้สามารถรู้การเคลื่อนไหวของสามีตัวแสบทั้งหมด ว่าวันไหนไปกับใคร...ที่ไหน นักสืบถ่ายรูปมาให้ทั้งหมด.....ชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้...เลย ภรรยาแค้นมากอย่างนี้ต้องฟ้องหย่า...ขอให้ศาลสั่งให้หย่า คิดว่าศาลจะตัดสินอย่างไร โจทก์ฟ้องว่า ....จำเลยอุปการะเลี้ยงดูยกย่องหญิงอื่นฉันภรรยา
ในการสืบพยานโจทก์ โจทก์นำสืบโดยแสดงรูปถ่ายให้ศาลดู...วันเสาร์..รูปถ่ายไปกับน้องส้มในห้างโลตัส
วันอาทิตย์..รูปถ่ายหาน้องแตงไปกินไก่ที่ร้าน KFC วันจันทร์ไปดูหนังกับน้องน้อยที่สยาม สแควร์ วันอังคารไปเที่ยว RCA กับน้องนุช .....และไปเที่ยวกับน้องน้ำที่หัวหินในวันศุกร์ 7 วัน 7 คนไม่ซ้ำหน้ากัน ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งให้หย่าด้วย
จำเลย นำสืบว่า บุคคลในรูปเป็นจำเลยจริงทุกภาพ และสาวๆในรูปเป็นเพื่อนหญิง...ที่ไปเทียวหาความสำราญ สนุกสนานเฮฮาชั่วครั้งชั่วครา ไม่ใช่ภรรยา ทุกคนกินกันแบบบุฟเฟ่ต์ คือหากินเอง ไม่ได้อุปการะเลี้ยงดู ไม่มีผูกพัน ขอศาลได้โปรดยกฟ้อง
คดีสู้ถึง 3 ศาล ศาลฎีกาตัดสินว่า การที่จำเลยไปกับหญิงไม่ซ้ำหน้า ไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปกินข้าว ไม่ถือว่าเป็นการยกย่องหญิงอื่นฉันภรรยา การกระทำเช่นนี้ เป็นเพียง การหาความสุข ความเพลิดเพลิน ของชายหนุ่มที่มีภรรยาแล้ว ศาลตัดสินยกฟ้อง
เรียกว่าจะต้องจับให้ได้ว่ามีการส่งเสียและอุปการะเลี้ยงดูกันจริงๆๆ เช่น ซื้อบ้าน รถ....อื่นๆให้ อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่น หมายถึงการให้ความช่วยเหลือหญิงที่มิใช่ภริยาตนในสิ่งที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินทองไว้ใช้สอย ให้เครื่องอุปโภคบริโภคหรือทรัพย์สินอื่นๆ ส่วนการยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา หมายถึงการแสดงโดยเปิดเผยให้บุคคลทั่วไปทราบว่าหญิงอื่นนั้นเป็นภรรยาตนหรือมีความสัมพันธ์ฉันภริยา เช่นโดยการพาหญิงอื่นไปออกงานสังคมโดยเปิดเผยและแนะนำเพื่อนฝูงให้รู้จักว่าเป็นภริยาตน
ไม่มีความเห็น