ผู้เขียนอยากเล่าเรื่อของพ่อที่เส้นเลือดในสมองแตกให้ผู้อ่านได้รับรู้ เพราะมีบทเรียนรู้หลายๆอย่างและคงเป็นประโยชน์กับบุคลากรทางสาธารณสุขและญาติผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกหลายๆราย แต่ที่รอเวลาผ่านมา 5 เดือน เพราะอยากจะเล่าตั้งแต่แรกจนอาการในปัจจุบันนี้
บทเรียนเรื่องที่สอง : ระบบส่งต่อความเสี่ยงที่ควรป้องกัน
ก่อนออกจากโรงพยาบาลเอกชน อาจารย์องอาจโทรถามอาการ โรงพยาบาลใส่ท่อช่วยหายใจให้มั้ย ก็บอกอาจารย์ว่าไม่ได้ใส่ อาจารย์ก็ให้ระวังการหายใจเพราะผู้ป่วยระบบสมองคะแนนต่ำได้3คะแนนจาก15คะแนน ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ บอกอาจารย์องอาจว่าประมาณ 45 นาที คงถึงโรงพยาบาล จนอาจารย์องอาจต้องโทรมาตามถึงไหนกันแล้ว จะไปถึงไหนได้ มาได้ครึ่งทางควันรถขึ้น รถเสียต้องรอเปลี่ยนรถใหม่เสียเวลาไปอีก 30 นาที ตอนนั้นคิดว่าคนเราถ้าถึงที่ตายก็คงต้องตาย ด้วยความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นจากการไม่ป้องกันความเสี่ยงในการตรวจความพร้อมใช้ของรถหรือการบำรุงรักษาไม่ดี แต่ด้วยที่เข้าใจระบบการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ยังไม่ได้แทรกซึมอยู่ในหัวใจของทุกๆคน ประกอบกับเป็นบุคลากรทางสาธารณสุขก็เข้าใจปัญหานี้ ถ้าเป็นญาติคนอื่น โรงพยาบาลเอกชนคงถูกร้องเรียน ในช่วงเวลาที่รอเปลี่ยนรถ ผู้เขียนก็ได้แต่เพียงสอนน้องพยาบาลที่มาส่งนี่เป็นบทเรียนที่ต้องไปพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลนะ ก็ไม่รู้จะหงุดหงิดหรือโกรธไปทำไมได้แต่ทำใจ
นี่เป็นบทเรียนที่การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับระบบการส่งต่อ การตรวจความพร้อมใช้ของรถ อุปกรณ์ต่างๆในรถที่พร้อมช่วยชีวิตหรือการบำรุงรักษาเครื่องมือต่างๆ
สวัสดีครับผมคุณขนิษฐา
มาถามว่า คุณพ่อท่านนั้นถึงโรงพยาบาลทัน และปลอดภัยใช่มั้ยครับ?
เรื่องรถเสียนี้ไม่มีใครวางแผนไว้ แต่การดูแลความพร้อมก็สำคัญที่สุดครับ เอาใจช่วยทุกหน่วยนะครับ :)
ถึงทันค่ะ อยู่โรงพยาบาล2เดือนและตอนนี้กลับมาอยู่บ้านได้3เดือนแล้วค่ะอาการดีขึ้นจะมีเล่าต่อ ตอนต่อๆไปประมาณ7บทเรียน เล่าทีเดียวคนอ่านคงมึน