ในวันนี้ที่ฟ้าหม่นหมอง เสียงฟ้าร้อง แผ่นดินสั่นสะเทือนเหมือนฝนทำท่าจะตกใหญ่ ศิลาก็ได้รับโทรศัพท์ของกัลยาณมิตรที่มีจิตใจงดงามท่านหนึ่ง
เราสนทนาภาษาคนธรรมดาอย่างเข้าใจ …มีคำพูดหลายคำที่ฟังแล้วอึ้งและประทับใจ
ขอสรุปย่อ ๆ พอได้ใจความไว้เป็นบทเรียนให้ตนเองได้กลับมาทบทวนอีกครั้ง
หัวข้อที่ 1 เราคุยกันถึงเรื่อง “อารมณ์หดหู่”
กัลยาณมิตรท่านบอกว่า เป็นธรรมดาของคนเราในสังคมทำงานที่จะต้องเจอะเจอสภาวะของจิตที่หดหู่เศร้าหมอง เมื่อเกิดอารมณ์นั้นขึ้น ท่านก็จะปลีกวิเวก สันโดษตนเอง อยู่กับตัวเองแบบรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง จนกระทั่งมันหายไปเอง
ศิลาก็แลกเปลี่ยนไปบ้างว่า โดยส่วนตัว เวลาหดหู่ก็จะอยู่กับตัวเองเช่นเดียวกัน อาการก็จะคล้าย ๆ กัน ต่างกันเล็กน้อยตรงที่ว่าหากศิลาไม่บอกคนใกล้ตัวว่าหดหู่แล้วนะ เขาก็จะไม่ทราบ เพราะแสดงอาการปกติ และออกจะไปในทางหาอะไรมาทำให้หนักอึ้งผิดปกติ และสดใสร่าเริงจนคนภายนอกก็อาจจะดูไม่ออก
ปัญหาคือไม่ว่าจะอย่างไร หากเกิดอาการนี้แล้วก็จำเป็นต้องยอมรับกับตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ อย่าหนี อย่ารังเกียจอารมณ์ด้านลบของตนเอง หรืออย่าเก็บกดอารมณ์นี้ด้วยการนำอารมณ์อื่นมาปิดบัง บิดเบือน
ถามถึงสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้คนเราหดหู่…ไม่ต้องไปหาเหตุผลเลยนะคะ …ไม่มี… ถึงมีก็อาจเป็นเหตุผลที่ปรุงแต่งทั้งนั้น ไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่ทำให้หดหู่ แต่สนใจ ดูอาการหดหู่ก็พอแล้ว
หัวข้อที่ 2 อย่ากลัว “ความโง่”
เราคุยกันเรื่องความไม่รู้ หรือความโง่ …กัลยาณมิตรท่านบอกว่าเคยกลัวว่าเราจะไม่รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ …ตอนหลังก็ทำความเข้าใจใหม่ว่าไม่รู้ก็ดีเหมือนกันจะได้เป็นประเด็นในการเข้าหาผู้รู้เพื่อการแลกเปลี่ยนกับเขา ประมาณว่าหาเรื่องผูกมิตร จะได้กัลยาณมิตรใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ศิลาเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากเราทำตัวรู้ไปเสียหมด หรือทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเรารู้ ก็อาจจะยิ่งทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเรา “ไม่รู้จริง” หลายครั้งที่ศิลาได้ยอมรับตรง ๆ ว่า “ไม่รู้ในเรื่องนั้น เรื่องนี้นะ เป็นเพียงผู้กำลังศึกษาเท่านั้น” สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดแล้วนั้น ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งจะไม่เกิดการทบทวนและเปลี่ยนแปลงใหม่ … วันดีคืนดี เราเข้า (ถึง) ใจในเรื่องเดียวกันใหม่ เราอาจจะกลับมาแก้ไขสิ่งที่เราบันทึกไปก็ได้
จึงไม่ได้รู้สึกละอายใจหากจะมีใครยืนต่อว่าว่า “เราไม่รู้เรื่องนั้นจริง ๆ ” สิ่งที่ทำให้เราละอายใจคือว่าเราหลอกตัวเองและใคร ๆ ว่าเรารู้โดยที่เราไม่รู้ต่างหาก แต่ตลอดเวลาศิลาได้บอกกับตัวเองเสมอว่า เรื่องใดที่เรากำลังศึกษาอยู่และกำลังเขียนอยู่คือการฝึกฝนตนจากความไม่รู้ และไม่กลัวที่จะบอกว่า “โง่” ในเรื่องใด ๆ
เราสองคน (ศิลากับกัลยาณมิตร) ได้ข้อสรุปที่ตรงกันคือว่าหากมีใครทำให้เรารู้สึกว่า “คุณไม่รู้ในเรื่องนั้นจริงนะ” เราก็จะน้อมรับกลับมาดูตัวเอง แก้ไข พัฒนาตนเองต่อไป
ในหัวข้อสนทนานี้ สอดคล้องกับที่พ่อบ้านของศิลาก็ได้มาสอนศิลาเพิ่มเติมว่าเวลาที่มีใครมาวิพากษ์วิจารณ์เรา .. จะมีผู้รับฟังอยู่สามประเภทนะ
1. ถูกตำหนิ แล้วเพ่งโทษเขากลับไป "ดูตัวคุณเองบ้างหรือยัง"
2. ถูกตำหนิ แล้วหมดกำลังใจท้อแท้ "ดูตัวเองแล้วเศร้าจัง"
3. ถูกตำหนิ แล้วมาสำรวจตัวเองเพื่อแก้ไข"ดูตัวเองแล้วต้องฝึกฝนให้จงหนัก"
เลือกเอาว่าจะเป็นคนประเภทไหน … ไม่ต้องบอกก็รู้นะคะว่าจะเลือกข้อไหนกัน
เขาจะพูดเสมอว่า...อย่าไปมองคนอื่นนะ ให้มองที่ตัวเอง...
ผู้ให้ความรู้เป็นทานต้องทำลายตัวเอง อย่ามองตัวเองว่าเป็นผู้รู้ และมองว่าผู้อื่นไม่รู้หรือรู้น้อยกว่า แต่ควรมองกลับมาที่ตัวเองในฐานะที่ก็เคยเป็น“ผู้ไม่รู้” มาก่อน หรือ ขณะนี้ อาจจะไม่รู้จริงในบางเรื่องอยู่ก็ได้...การให้ความรู้จึงควรเปี่ยมด้วยเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
"ครูผู้รู้ที่ใจ" ใช่ว่าหาได้ง่าย ๆ... ตลอดชีวิต คิดว่าโชคดีที่เจอครูส่วนใหญ่ที่จะคอยให้กำลังใจศิษย์อยู่เสมอ...โดยพูดความจริงที่ชี้แนะแนวทางแก้ไข หนทางสว่างไสวให้ศิษย์รู้เพื่อพัฒนาตน...น้อยครั้งมากที่จะเจอคนมาตัดสินตัวเราโดยไม่ชี้ทางให้
หัวข้อที่ 3 ชวนไปฟังธรรมบรรยายที่วัด
หัวข้อนี้ น่าสนใจค่ะ กัลยาณมิตรท่านชวนขับรถไปฟังธรรมบรรยายที่ต่างจังหวัด วันธรรมดา ออกเดินทางแต่เช้ามืด เพราะพระอาจารย์ท่านจะเริ่มเทศนาตอน 7.00 น. ตรงกับใจของศิลากับพ่อบ้านที่เคยตั้งใจกันไว้ว่าจะไปพอดี พ่อบ้านบอกว่าได้เลย แต่ขอให้เป็นเรื่องของธรรมะจัดสรร เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง…แล้วทำไมต้องมีคำว่าได้เลย ให้หลงดีใจด้วยล่ะ? เราก็นึกว่าจะไปกันเร็ว ๆ นี้
สำหรับสาเหตุที่อยากไปกัน อย่างแรกเลยคือศรัทธา เวลาที่คนเดินดินกินเกาเหลา (ไม่มีเส้น) อย่างเรา อาจจะสร้างบุญบารมีมาไม่มากนัก การที่ได้ไปไหว้พระที่เป็นที่เคารพศรัทธาย่อมสร้างพลังใจทำให้เราอยากทำในสิ่งที่ตั้งมั่นไว้ ด้วยฉันทะ...จะบรรลุผลหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะไม่ได้มีความอยาก (ตัณหา) อะไรมากนัก
เมื่อเช้ามืดนี้ก็ได้ฟังธรรมที่มีผู้ถามพระท่านว่า
ทำอย่างไรจึงจะปฏิธรรมจนบรรลุได้ รู้สึกว่ากิเลสเต็มไปหมดเลย รู้สึกท้อแท้ใจมาก ชาตินี้คงไม่มีบุญวาสนาแล้วกระมังคะ
พระท่านก็บอกว่า ดีแล้วนะมองเห็นกิเลสตนเอง แต่ก็อย่าท้อนะ หากว่าปัจจุบันมองดูตัวเองเช่นไร อนาคตก็จะเป็นเช่นปัจจุบันนั้นเอง...
ลิขิตฟ้าหรือจะเท่าลิขิตคน
"จงย้อนกลับมาดูตัวเอง มองตัวเองในฐานะผู้ปฏิบัติ มิใช่ผู้เผยแพร่"
ทุกถ้อยคำที่เขียนในทุก ๆ บันทึกจึงเป็นเรื่องของการฝึกฝน มิใช่จะโน้มน้าวให้ใครหลงเชื่อ เพียงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนปฏิบัติและเห็นเอง แม้เพียงเท่าหางอึ่ง....และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอจงเชื่อในความดึของตนที่แม้จะทำได้
แค่งู ๆ ปลา ๆ ก็ค่อย ๆ เริ่มต้นไต่เต้าไปนะ...
รอยยิ้มแห่งหัวใจเกิดขึ้นได้หากย้อนกลับมามองตนเอง
------------------------------------------------------
ขอจบตามสไตล์ศิลาแบบผู้ไม่รู้ โดยขอยกเรื่อง "ปัญญา" มาอ้างอิง จากแหล่งข้อมูล http://www.dhammajak.net/book/panya/panya01.php
ในมิลินทปัญหา พระนาคเสนได้กล่าวถึงลักษณะของปัญญา ๒ ประการ คือ
๑.ปัญญามีการตัดเป็นลักษณะ ข้อนี้มีอุปมาว่า ในการเกี่ยวข้าว ชาวนาจะจับกอข้าวด้วยมือข้างหนึ่ง จับเคียวด้วยมืออีกข้าง แล้วตัดให้ขาดด้วยเคียวที่ถือไว้ ฉันใด ในการเจริญภาวนา ผู้บำเพ็ญเพียรควบคุมใจไว้ด้วยโยนิโสมนสิการ แล้วตัดกิเลสด้วยปัญญา
๒. ปัญญามีการทำให้สว่างเป็นลักษณะ ข้อนี้มีอุปมาว่า เมื่อบุคคลส่องประทีปเข้าไปในที่มืด แสงประทีปย่อมกำจัดความมืด ทำให้เกิดแสงสว่าง รูปทั้งหลายย่อมปรากฏชัด ฉันใด เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็กำจัดความมืด คืออวิชชา ทำให้เกิดแสงสว่าง คือวิชชา ทำให้เกิดแสงสว่าง คือญาณ ทำอริยสัจทั้งหลายให้ปรากฏขึ้น ฉันนั้น
-----------------------------------------------------
ในสังคีติสูตร (บาลีเล่ม ๑๑ ข้อ ๒๒๘ ย่อว่า ๑๑/๒๒๘) กล่าวถึง ปัญญา ๓ คือ
๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด (เองไม่ได้ฟังมจากคนอื่น)
๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง (การอ่าน หรือ การศึกษาเล่าเรียน)
๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการอบรมจิตใจ (ละกิเลสได้ด้วยปัญญาชนิดนี้)
-----------------------------------------------
ในสังคีติสูตร กล่าวถึงปัญญา ๓ อีกหมวดหนึ่ง คือ
๑. อายโกศล รอบรู้ในความเจริญ (รู้เหตุที่ทำให้อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ)
๒. อปายโกศล รอบรู้ในความเสื่อม (รู้เหตุที่ทำให้กุศลธรรมเสื่อม อกุศลธรรมเจริญ)
๔. อุปายโกศล รอบรู้ในความเจริญและความเสื่อม
ในอวกุชชิตสูตร (๒๐/๔๖๙) กล่าวถึงบุคคล ๓ จำพวก คือ
๑. ผู้มีปัญญาดังหม้อคว่ำ ได้แก่ ผู้ที่รับฟังหรือเรียนอะไรแล้วก็ไม่เข้าใจ เปรียบเหมือนหม้อคว่ำซึ่งไม่อาจรองรับน้ำที่เทลงมาได้เลย
๒. ผู้มีปัญญาดังหน้าตัก ได้แก่ ผู้ที่รับฟังหรือเรียนอะไรแล้วพอเข้าใจได้ แต่หลังจากนั้นก็ลืมหมด เปรียบเหมือนผู้ที่กำลังนั่งเคี้ยวกินขนมต่างๆ ซึ่งวางอยู่บนหน้าตัก แต่เมื่อเขาเผลอตัวลุกขึ้น ขนมก็หล่นลงพื้นหมด
๓. ผู้มีปัญญามาก ได้แก่ ผู้ที่รับฟังหรือเรียนอะไรแล้วเข้าใจและจำได้ไม่ลืม เปรียบเหมือนหม้อหงายซึ่งรองรับน้ำที่เทลงมาได้หมด
---------------------------------------------------------------
ในสังคีติสูตร กล่าวถึงปัญญา ๔ คือ
๑. ทุกขญาณ ความรู้ในทุกข์
๒. ทุกขสมุทยญาณ ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด
๓. ทุกขนิโรธญาณ ความรู้ในความดับทุกข์
๕. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ ความรู้ในการปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธรรมบท (๒๕/๓๐) ว่า ปัญญาย่อมเกิดจากการประกอบความเพียร (ไม่ใช่เกิดเองโดยบังเอิญ) ปัญญาที่เกิดจากการประกอบความเพียรเรียกว่า โยคปัญญา แม้เชาวน์ หรือไหวพริบที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดซึ่งเรียกว่า สชาติกปัญญา ก็คือปัญญาบารมีที่เกิดจากการอบรมในชาติก่อน
หลักธรรมสำหรับอบรมปัญญาให้เจริญขึ้น เรียกว่า ปัญญาวุฒิธรรม (๒๑/๒๔๘) มี ๔ คือ
๑. คบสัตบุรุษ คือ หาแหล่งวิชาหรือครูที่มีความรู้และคุณธรรมดี
๒. ฟังสัทธรรม คือ ใส่ใจเล่าเรียนโดยฟังจากครูหรืออ่านจากตำรา
๓. คิดให้แยบคาย คือ พิจารณาให้ทราบถึงเหตุและผล คุณและโทษ ของสิ่งที่เรียนรู้
๔. นำสิ่งที่ได้ไตร่ตรองแล้วมาปฏิบัติให้ถูกต้องตามความมุ่งหมาย
ปัญญาหรือความรอบรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากราวกับแก้วสารพัดนึกประจำชีวิต เพราะเมื่อมีอุปสรรคหรือปัญหาเกิดขึ้น ผู้มีปัญญาย่อมวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำว่า สาเหตุเกิดจากอะไร เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ...
--------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
เวลาหดหู่บางครั้งไม่อยากทำอะไรเลย...
มาชื่นชมคนทำดีนะคะ...
ฟังธรรมมากๆชาติหน้าจะเป็นคนมีปัญญาดี...
น้องศิลาคะ
บันทึกนี้ช่วยเพิ่มปัญญาให้ครูต้อยค่ะ แต่ครูต้อยมิอาจจดจำคำบาลีได้มากมายเพียงเข้าใจนิดๆว่าที่ปฏิบัติมานั้นมีส่วนตรงบ้างเช่น 5 ดี ครูต้อยฝึกคิดดี่ พูดดี ทำดี คบเพื่อนดี และอยู๋ในที่ๆดีค่ะ อีกทั้งพยายามฝึกให้เป็นโยนิโสมนสิการ และดูท่าว่าจะใกล้เคียงกับปัญญาวุฒิธรรม ที่น้องศิลาแนะนำค่ะ
ขอบคุณที่นำความรู้มาให้ครูต้อยได้เติมเต็มค่ะ
สาธุ อนุโมทนาบุญนะคะ
สวัสดีค่ะ
คุณศิลาที่มากด้วยความรู้
และประสบการณ์...
สำหรับดาวลูกไก่แล้วจะรู้อารมณ์ตัวเองเสมอค่ะ และเป็นบ่อยๆ เรื่องอารมณ์หดหู่แล้วตามด้วยรู้สึกเซื่องซึม (ไม่ถึงซึมเศร้า) แต่สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ เป็นคนที่ทุกข์หรือสุข แสดงออกมาบนใบหน้าทั้งหมด คนอื่นรู้หมดว่าเรากำลังรู้สึกอะไร ซึ่งไม่คิดว่าจะดีเลย ต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะนะคะ เข้าใจว่านั่นหมายถึงยังไม่รู้จักการสะกดความรู้สึก รู้ตัว รู้การตามอารมณ์ตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น-ตระหนกออกมานอกหน้า อยากมีธรรมจัดสรร(บ่อยๆ) อย่างคุณศิลาค่ะ ที่มีโอกาสเข้าหาพระธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ
ขอเติมอีกนิดค่ะ ดอกไม้สวยมากค่ะ และขอบพระคุณนะคะที่มาให้กำลังใจศิลาอยู่เสมอ
ทุกคนมีความหดหู่บางครั้งในจังหวะชีวิต
วิธีการบริหารจัดการแบบที่คุณนำเสนอใช้ได้ผลดคะ
บ่ายวันแสงแดดขยันทำงาน ที่เมืองนนท์กับรถขายของล้อเข็น
"ชาเย็น ชาดำเย็น กาแฟเย็น โอวัลติลเย็น นมเย็น มาแล้วครับ บ บ บ "
เสียงก้องไปทั่วซอยเลยทีเดียว ...ต่อมอยากกิน ทำงานอย่างหนักแข่งกับเสียงที่ได้ยิน
ร้อนก็ร้อน ...แหม
----------------------------------------------------------------------
อ.ศิลาครับ
อากาศร้อนๆ ที่ เมืองหลวง อ่านบันทึกแล้วใจเย็นทันใดนะครับ
ผมชอบใจกับวรรคยาวๆที่ว่า
" …ตอนหลังก็ทำความเข้าใจใหม่ว่าไม่รู้ก็ดีเหมือนกันจะได้เป็นประเด็นในการเข้าหาผู้รู้เพื่อการแลกเปลี่ยนกับเขา ประมาณว่าหาเรื่องผูกมิตร จะได้กัลยาณมิตรใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ศิลาเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากเราทำตัวรู้ไปเสียหมด หรือทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเรารู้ ก็อาจจะยิ่งทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเรา “ไม่รู้จริง” หลายครั้งที่ศิลาได้ยอมรับตรง ๆ ว่า “ไม่รู้ในเรื่องนั้น เรื่องนี้นะ เป็นเพียงผู้กำลังศึกษาเท่านั้น” สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดแล้วนั้น ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งจะไม่เกิดการทบทวนและเปลี่ยนแปลงใหม่ … วันดีคืนดี เราเข้า (ถึง) ใจในเรื่องเดียวกันใหม่ เราอาจจะกลับมาแก้ไขสิ่งที่เราบันทึกไปก็ได้..."
"สำหรับดาวลูกไก่แล้วจะรู้อารมณ์ตัวเองเสมอค่ะ และเป็นบ่อยๆ เรื่องอารมณ์หดหู่แล้วตามด้วยรู้สึกเซื่องซึม (ไม่ถึงซึมเศร้า) แต่สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ เป็นคนที่ทุกข์หรือสุข แสดงออกมาบนใบหน้าทั้งหมด คนอื่นรู้หมดว่าเรากำลังรู้สึกอะไร ซึ่งไม่คิดว่าจะดีเลย ต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะนะคะ เข้าใจว่านั่นหมายถึงยังไม่รู้จักการสะกดความรู้สึก รู้ตัว รู้การตามอารมณ์ตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น-ตระหนกออกมานอกหน้า"
บางโอกาสการแสดงอารมณ์โดยเปิดเผยเป็นเรื่องที่จำเป็นและเห็นด้วยค่ะที่คุณดาวลูกไก่แสดงบางอารมณ์ออกมาทางสีหน้าบ้าง จะทำให้ผู้อื่นรับตัวเราตั้งแต่แรก เชื่อวาอารมณ์ที่แสดงออกคงไม่ได้รุนแรงอะไร เพราะปกติคุณดาวลูกไก่มักจะใจเย็นอยู่แล้ว คงมีบ้างที่อึดอัดคับข้องใจที่คนอื่นไม่ทันความคิดที่ลึกซึ้งของเรา ศิลาก็เคยเป็นสมัยก่อนและเผลอถอนใจหลายครั้ง จนตอนหลังก็เปลี่ยนมุมมองใหม่
อาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมา สังเกตว่าอารมณ์ขี้รำคาญ หงุดหงิดง่ายของตนเองจะเกิดขึ้นไม่บ่อยแล้ว น่าจะมาจากการมองโลกในมุมมองใหม่
การแก้ปัญหาอารมณ์ภายในของเราที่ต้นเหตุน่าจะเป็นเรื่องของการปรับโลกทัศน์ ... หากเราสะกดอารมณ์ไว้อาจจะทำได้บางชั่วขณะ เสมือนว่าไอน้ำจะพุ่งออกมาแล้วเรานำฝาหม้อมาปิดเอาไว้ ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ...อาจจะเป็นความเข้าใจของศิลาที่ยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ต้องรอให้มีการพิสูจน์จากประสบการณ์ของกัลยาณมิตรหลาย ๆ ท่านร่วมกันค่ะ ตอนนี้ขอเชิญชวนคุณดาวลูกไก่คนแรกเลย มาฝึกการเปลี่ยนโลกทัศน์แทนการปิดฝาหม้อเอาไว้ อิอิ ขำ ๆ ค่ะ สิ่งที่ศิลาเขียนคือสมมติฐานทั้งสิ้นค่ะ รอการปฏิบัติซ้ำ ๆ
อยากมีธรรมจัดสรร(บ่อยๆ) อย่างคุณศิลาค่ะ ที่มีโอกาสเข้าหาพระธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ
เพิ่งหัดคลานอยู่ค่ะ โชคดีที่ได้คู่ทางธรรมที่ดีงามคอยตักเตือนอยู่เสมอ และเราก็โน้มใจฟังอยู่เรื่อย ๆ วันไหนไม่มีใครมาเทศนาให้ฟัง ก็โทร ไปก่อกวนให้เขาต้องเทศน์ให้ฟัง...แปลกแต่จริงค่ะ ชอบถูกทุบ สงสัยเคยเป็นกระท้อนมาก่อน
มีฝาหม้อมาบริจาคค่ะ(คือไม่ใช้แล้ว ^O^) ครั้งแรกคุยเรื่องอารมณ์หดหู่ มารอบสองคุยเรื่องความไม่รู้บ้างนะคะ
ตั้งแต่คนเราเริ่มเปิดใจรับการเรียนรู้และจัดการกับความรู้ แบ่งปันให้ไปต่อยอด คนเราก็เริ่มยอมรับไปด้วยว่า สิ่งที่รู้ในวันนี้ ถ้าใครๆ บอกว่าถูกต้อง ใช่แล้ว ฟันธง แต่ในวันข้างหน้า เมื่อรู้มากขึ้น พิสูจน์ด้วย เจอทางออกที่ดีๆ กว่าเดิม หรือแม้แต่จะตรงกันข้ามคือหลงทางทั้งหมู่ แปลว่า ความรู้เดิมอาจจะโดนฟันธง(ที่ขาดเพราะโดนฟันครั้งแรก ^O^)ใหม่ว่า ไม่ใช่ ไม่ดี เรื่องที่รู้ใหม่นี่สิดี(กว่า) (เคย)รู้เปลี่ยนเป็นไม่รู้ รู้ไม่จริง แต่คนยอมรับมากขึ้นว่าไม่ใช่ความผิด หรือความโง่เขลา ทุกอย่างถือเป็น Lesson Learn บทเรียน(ศัพท์ในวงการ KM) นะคะ สรุปว่าเห็นชอบ อย่ากลัวความโง่ค่ะ (...โทษเบาขึ้นเยอะเลย)
แต่คนที่ไม่ยอมเปิดใจแบ่งปัน และเรียนรู้หลักการจัดการกับความสัมพันธ์ผู้คน ก็จะหลงว่าตัวเองรู้อยู่เรื่อยๆ ไป แต่เราจะแสร้งทำว่าไม่รู้แล้วปล่อยให้เขาแสดงความรู้ที่อาจรู้จริง รู้ไม่จริงอยู่เรื่อยๆ ก็สงสารตัวเอง สงสารคนอื่นๆ ด้วย อิอิ(ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา หมายถึงดาวลูกไก่เขียนอะไรมาไม่รู้เรื่องนะค่ะ ฮา)
มาทักทายและบอกว่า....
วันนี้อารมณ์ดีจังเลย!!!!
ทุกๆ เรื่องของชีวิต ผมคุยกับตัวเองเสมอว่า เราเป็นเพียงผู้เรียนรู้ และบันทึกเรื่องราวเหล่านั้น ทั้งที่รู้และไม่รู้ไว้ให้มากที่สุด เพราะเชื่อว่า สักวันจะตกผลึกได้เอง ทั้งโดยตัวเราและคนอื่นช่วยกระทำให้ตกผลึก
ขอบคุณครับ..