สุภาพบุรุษยุคใหม่


บารัค โอบามา

   บารัค    โอบามา

อบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวายเป็นบุตรของนายบารัค โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ และเยอรมนี[โดยทั้งคู่พบรักกันขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวายที่มานัว ซึ่งพ่อของเขาได้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนต่างชาติ และได้แต่งงานกันในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกัน

หลังจากนั้น ดันแฮม แม่ของโอบามาก็ได้แต่งงานใหม่กับโลโล ซูโตโร และได้พาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเกิดของสามีใหม่ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 1967 โอบามาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุงจาการ์ตาจนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ โอบามาจึงได้ย้ายกลับโฮโนลูลูบ้านเกิดกับครอบครัวของแม่และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนปูนาฮัวตั้งแต่เกรด 5 จนสำเร็จการศึกษาในปี 1979 หลังจากจบไฮสกูล โอบามาก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ลอสแอนเจลิสที่วิทยาลัยออกซิเดนทอล (Occidental College) เป็นเวลา 2 ปีจากนั้นจึงได้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก สาขารัฐศาสตร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ระดับไฮสคูลนั้น เขายอมรับว่าเคยเสพกัญชา, โคเคน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเขาเปิดเผยที่เวทีประชุมพลเมืองสำหรับประธานาธิบดีปี 2008 ถือว่าเป็นความล้มเหลวเกี่ยวกับศีลธรรมความดีงาม[17][18]

โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1983 และได้เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศและกลุ่มวิจัยสาธารณประโยชน์แห่งนิวยอร์ก หลังจาก 4 ปีที่อยู่ในนิวยอร์ก โอบามาย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก เขาได้รับการจ้างเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ซึ่งเป็นองค์กรชุมชนริเริ่มตั้งจากศาสนา ซึ่งประกอบด้วย 8 โบสถ์คาทอลิก ในโลสแลนด์ พูลแมนตะวันตก และ ริเวอร์เดล ในด้านใต้ของเมืองชิคาโก และเขาได้ทำงานที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 จนถึง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988[19] ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ 3 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ผู้ร่วมงานได้เพิ่มขึ้นจาก 1 คน เป็น 13 คน และงบประมาณประจำปี เพิ่มขึ้นจากปีละ 7 หมื่นเหรียญสหรัฐ เป็น 4 แสนเหรียญสหรัฐ โดยมีการช่วยเหลือเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกอบรม, การกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย และ องค์กรสิทธิของผู้เช่าที่ดินในแอลเจลด์การ์เดนส์ (Altgeld Gardens)[20] โอบามายังได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาและผู้สอนในมูลนิธิกามาลีล (Gamaliel Foundation) ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งเกี่ยวกับองค์กรชุมชน[21] ในกลางปี ค.ศ. 1988 เขาได้เดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 3 สัปดาห์และไปเคนยา 5 สัปดาห์ ซึ่งเขาได้พบญาติๆ ชาวเคนยาหลายคนเป็นครั้งแรกด้วย[22]

จากนั้น เขาจึงเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี ค.ศ. 1988 สิ้นปีแรกเขาได้รับคัดเลือกจากการแข่งขันในการเขียนและเกรดของการเรียนให้เข้ามาเป็นบรรณาธิการคนหนึ่งของวารสาร Harvard Law Review[23] พอขึ้นปีที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 เขาได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการ(อาสาสมัครเต็มเวลา) และกำกับควบคุมนักเขียนถึง 80 คน[24] โอบามาเป็นชาวผิวดำคนแรกที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Law Review ข่าวการคัดเลือกได้มีการรายงานในวงกว้าง ตามด้วยประวัติส่วนตัวที่ละเอียดในสื่อระดับประเทศ ระหว่างฤดูร้อน เขาได้กลับไปชิคาโก ซึ่งเขาทำงานเป็นทนายความฝึกงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ที่สำนักงานกฎหมายของ Sidley & Austin ในปี ค.ศ. 1989 และ Hopkins & Sutter ในปี ค.ศ. 1990[25] หลังจากจบปริญญากฎหมาย Juris Doctor จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี 1991 จากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปชิคาโก[26][27] และเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ Dreams from My Father ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995[28]

ช่วงปี 1993 และ 2002 โอบามาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยในคณะกรรมการบริหารกองทุนไม้แห่งชิคาโก องค์กรที่ช่วยจัดสรรเงินทุนให้กับประชาชนและชุมชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเปรียบในชิคาโก[29] ต่อมาในปี 1999 ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้วยความช่วยเหลือของบิล อาเยอร์ส

ต่อมาเขาก็รับงานสอนนอกเวลาที่วิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก โอบามาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมเวลา 12 ปี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4 ปี (1992-1996) และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอาวุโสถึง 8 ปี (1996-2004) [30] และเขายังได้ร่วมกับ เดวิด ไมเนอร์ บาร์นฮิลล์ และกัลแลนด์ ที่เป็นบริษัททนายความมีเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้คดีในชั้นศาล และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน โอบามาเป็นสมาชิก 3 ปี (1993-1996) จึงลาออก[31][32]

โอบามา เคยเป็นสมาชิกสรรหาของบอร์ดบริหารแห่งพันธมิตรสาธารณะในปี ค.ศ. 1992 และได้ลาออกไปก่อนที่ มิเชล ภรรยาของเขาจะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของพันธมิตรสาธารณะแห่งชิคาโกในต้นปี ค.ศ. 1993[33] และยังเป็นสมาชิกของบอร์ดบริหารหลายที่ เช่น สภาทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมายแห่งชิคาโก, ศูนย์กลางเพื่อเทคโนโลยีเพื่อนบ้าน, ศูนย์ลูจีเนียเบิร์นโฮป (Lugenia Burns Hope Center)

[แก้] ประสบความสำเร็จทางการเมือง

[แก้] สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐอิลลินอยส์, 1997-2004

โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในปี ค.ศ. 1996 แทนที่ตำแหน่งของวุฒิสมาชิก อลิซ ปาล์มเมอร์ จากเขตปกครองที่ 13 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว โอบามาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ[34] เขาสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้กับแรงงานผู้มีรายได้ต่ำ เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และเพิ่มเงินสมทบสำหรับการดูแลเด็กเล็ก[35] ในปี ค.ศ. 2001 เป็นประธานร่วมในเรื่องของกฎหมายว่าด้วยการปกครอง เขาสนับสนุนกฎระเบียบที่เสนอโดยผู้ว่าการรัฐ Ryan เพื่อควบคุมเงินกู้ใช้จ่ายระหว่างเงิน และการให้จำนองที่เอาเปรียบ เพื่อลดปัญหาบ้านถูกยึด[36]

ต่อมา โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1998[37] และอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 2002 ส่วนในปี ค.ศ. 2000 นั้น เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพรแมรีเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาต่อ บอบบี รัช เจ้าของตำแหน่งคนเก่าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2 ต่อ 1[38][39]

ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2003 โอบามาได้เป็นประธานคณะกรรมการบริการสุขภาพและมนุษย์แห่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งตอนนั้น พรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง[40] หลังจากต้องตกเป็นรองอยู่นานนับทศวรรษ[41] ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกานั้น ตัวจากแทนตำรวจได้ให้เครดิตกับโอบามาอย่างมาก ในกรณีที่เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการประหารชีวิต[42] โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา[43] จนกระทั่งในปี 2004 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา[44]

[แก้] การหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004

กลางปี ค.ศ. 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เลือก เดวิด แอกเซลรอด มาเป็นที่ปรึกษาวางกลยุทธทางการเมือง โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 [45] หลังจากที่ปีเตอร์ ฟิตซเกอรัลด์ ผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อนจากพรรคริพับลิกัน และคาโรล โมเซลีย์ บรอน อดีตวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตตัดสินใจไม่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งในครั้งนี้ ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้กับผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน[46] การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์โดยใช้ภาพจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกา ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์[47] ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว[48] จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้

แต่ต่อมา คู่แข่งคนสำคัญของโอบามาคือ แจ็ค ไรอัน ผู้ชนะการเลือกตั้งแบบครั้งแรกจากพรรครีพับลิกัน ได้ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2004[49]

เดือนกรกฎาคม ปี 2004 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมพรรคเดโมแครตระดับชาติประจำปี 2004 ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์[50] โอบามาเล่าถึงประสบการณ์ของผู้เป็นตาของเขาได้ผ่านประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2มาในฐานะทหารผ่านศึก และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก เคหะแห่งชาติ (New Deal's FHA) โครงการสำหรับทหารผ่านศึก (G.I. Bill) จากนั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เขาได้ตั้งคำถามถึงการบริหารงานในช่วงสงครามอิรักของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเน้นในประเด็นหน้าที่ของอเมริกาที่พึงมีต่อทหารของประเทศ โอบามาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ถือพวกอย่างหนัก และได้ขอร้องให้อเมริกันชนหันมาฝักใฝ่ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่า "ประเทศนี้ไม่มีอเมริกาเสรีนิยมกับอเมริกาอนุรักษ์นิยม มีเพียงประเทศสหรัฐอเมริกา" ("There is not a liberal America and a conservative America; there's the United States of America.) [51] สุนทรพจน์ส่วนนี้ ได้มีการเผยแพร่ทาง PBS, CNN, MSNBC, Fox News และ C-SPAN แก่ผู้ชม 9.1 ล้านคน ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ทางการเมืองของโอบามาดีขึ้นมาก ทำให้เขาได้รับความนิยมขึ้นอย่างล้นหลาม ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งนี้[52]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง อลัน คีส์ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันในการชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ แทนที่ ไรอัน ที่ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้[53] คีส์นั้นแต่เดิมมีบ้านอยู่ในรัฐแมรีแลนด์ แต่เขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในรัฐอิลลินอยส์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้[54] แต่สุดท้ายแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 70 ขณะที่คีส์ได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ชัยชนะอันท่วมท้นของโอบามาครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความต่างของคะแนนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของรัฐอิลลินอยส์เลยทีเดียว[55]

[แก้] สมาชิกวุฒิสภา, 2005-2008

โอบามาได้สาบานตนในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2005[56] เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานที่วอชิงตัน เขาจึงได้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความสามารถสูงมาช่วยเหลือการทำงาน ซึ่งจำนวนสมาชิกในคณะที่ปรึกษาของเขานี้มีมากกว่าที่สมาชิกวุฒิสภาคนอื่นๆต้องการเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ในสมัยแรก[57] เขาว่าจ้างให้ พีท เราซ์ ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองระดับชาติวัย 30 ปี และยังว่าจ้าง ทอม แดสเชิล อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานวุฒิสภาแห่งพรรคเดโมแครตเข้ามาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นก็ว่าจ้าง คาเรน คอร์นบลูห์ นักเศรษฐศาสตร์, โรเบิร์ต รูบิน อดีตรักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย[58] โอบามาได้ให้ ซาแมนตา พาวเวอร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และแอนโทนี เลค กับ ซูซาน ไรซ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ให้เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของเขาด้วย[59]

ชื่อของโอบามาต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา เพราะเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา และเป็นคนที่ 3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน[60] เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกของ Congressional Black Caucus[61] นิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐอเมริกาได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น "นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์" จากผลการวิเคราะห์การโหวตให้คะแนนเสียงสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศในปี 2005-2007 และนิตยสาร National Journal ก็จัดว่าเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่"มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด" จากการโหวตในปี 2007[62][63] แต่โอบามากลับรู้สึกสงสัยในวิธีการสำรวจเพื่อให้ได้ผลโหวตนี้ โดยตำหนิว่าการแบ่งการเมืองออกเป็นสองข้างระหว่าง"อนุรักษ์นิยม"กับ"เสรีนิยม" เป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้เกิดความลำเอียงในผลการสำรวจ ซึ่งก็ทำให

คำสำคัญ (Tags): #บารัค โอบามา
หมายเลขบันทึก: 256779เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2009 16:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2012 18:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท