โรงเรียนสอนดูรถมือสอง


แมกกาซีนแปลก วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2552

"คาร์ เซ็นเตอร์ เน็ตเวิร์ค" โรงเรียนสอนดูรถมือสอง

นายสุนทร งามเกิดศิริ ประธานกรรมการ บริษัท คาร์ เซ็นเตอร์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจรถยนต์มานานกว่า 20 ปี ทั้งเป็นนายหน้า เป็นพนักงานขายรถยนต์ เป็นเจ้าของบริษัทจำหน่ายรถยนต์นำเข้าชื่อดังหลายยี่ห้อในนามมอเตอร์เวย์และล่าสุดได้เป็นผู้คิดค้นหลักสูตรฝึกอบรมรถยนต์มือสองแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย เนื่องจากคุณสุนทรเล็งเห็นว่าในปัจจุบันยังไม่มีโรงเรียนหรือสถาบันไหนที่เปิดสอน หรืออบรมเทคนิคในการดูรถยนต์และการขายรถยนต์มือสอง อีกทั้งยังต้องการให้คนไทยได้มีโอกาสสร้างรายได้เสริมให้กับตนเองและครอบครัวด้วย จึงได้ตัดสินใจตั้งสถาบันอบรมด้านการซื้อขายรถยนต์มือสองขึ้นมา

คาร์เซ็นเตอร์ เน็ตเวิร์คเน้นระบบการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยแบ่งเป็นภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เริ่มสอนตั้งแต่วิธีการดูรถยนต์ การเช็คสภาพรถไปจนถึงกลยุทธ์การทำตลาด และความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้านทั้งด้านรถยนต์ ขนส่ง กฎหมายและการตลาด หลักสูตรนักขายรถยนต์มือสองของคาร์ เซ็นเตอร์ เน็ตเวิร์ค ประกอบด้วย ความรู้หลัก 5 เรื่อง สิ่งแรกที่เน้นหนักคือเรื่องของจรรยาบรรณของนักขาย เพราะนักขายที่มีจรรยาบรรณส่งผลถึงความมั่นใจของลูกค้าในการซื้อรถ ต่อมาคือความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น เพื่อให้ทราบถึงองค์ประกอบต่างๆภายในรถ และทราบถึงขั้นตอนในการดูแลรักษาสภาพของรถ เช่น ต้องเติมลมเท่าไหร่ ถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่ สัญญาณไฟที่แผงหน้าปัดบอกอะไรเราบ้าง เป็นต้น เรื่องที่สาม เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของตัวถังรถยนต์ เพื่อว่าเมื่อเราสามารถและตรวจสอบสภาพของตัวรถได้ เราจะได้ทราบว่ารถคันนั้นๆ เคยประสบอุบัติเหตุมาหรือเปล่า มีรอยหรือตำหนิที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้มีความรู้ในการพิจารณาตรวจสอบรถได้อย่างถูกต้องไม่ถูกหลอก เรื่องที่สี่คือ เรื่องเกี่ยวกับเอกสารสัญญาซื้อขาย เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้เรื่องของหนังสือสัญญา เอกสารใบโอน ใบมอบอำนาจ สัญญาค้ำประกันต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดการเรื่องของสัญญาซื้อขายของตนเอง หรือของลูกค้าในอนาคต และสุดท้าย ความรู้เรื่องช่องทางการขายและการตลาดของรถยนต์มือสอง เพื่อให้ผู้รับการอบรม มีความรอบรู้ในเรื่องของวงการขายของรถยนต์มือสอง การประชาสัมพันธ์หรือการจัดการส่งเสริมการขายอย่างไร เป็นต้น หลักสูตรดังกล่าวมุ่งเน้นให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้จริงๆ ซึ่งหากผู้เข้ารับการอบรมต้องการทำงานในสายงานด้านการขายรถ ทางคุณสุนทร ก็ยินดีแนะนำพันธมิตรทางธุรกิจ ที่สามารถรองรับบุคลากรตรงจุดนี้ได้ ส่วนค่าอบรมหลักสูตรนักขายรถยนต์มือสอง ประมาณ 5,000 บาท และใช้ระยะเวลาในการอบรม 3 ครั้ง 3 วัน วันละ 6 ชั่วโมง

 

ปัจจุบันสถาบันเปิดอบรมไปแล้วหลายรุ่น โดยผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้เรียนที่กำลังมองหาลู่ทางใหม่ๆ และอีกส่วนเป็นกลุ่มที่มีความต้องการจะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเบื้องต้นผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับตนเองได้เป็นอย่างดี และประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ สามารถทำธุรกิจด้านการซื้อขายรถยนต์ได้ โดยเป็นลักษณะการซื้อมาและขายไป นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าร่วมงานกับบริษัทฯ ได้อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถาบันจะผลิตบุคลากรด้านนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่จำนวนมาก แต่เชื่อว่าตลาดซึ้อขายรถเก่าและยังไปได้อีกไกลและยังสามารถรองรับบุคลากรด้านนี้ได้อีกมาก ซึ่งหากผู้ประกอบการมีความพร้อมไม่ต้องกลัวว่าจะหาลูกค้าไม่ได้ เพราะการหาลูกค้าในตลาดนี้เป็นลักษณะลูกค้าของใครก็ลูกค้าของคนนั้น

นายสุนทร งามเกิดศิริ นับเป็นบุคคลตัวอย่างที่มีความมุมานะและอดทนในการทำงาน เมื่อครั้งที่คุณสุนทรเรียนจบใหม่ๆ มีความสนใจการซ่อม วิทยุ โทรทัศน์ จึงไปฝึกที่โรงเรียนแสงทองโทรทัศน์ ต่อมาได้ไปขอทำงานตามร้านค้าแต่โดนปฏิเสธเนื่องจากขาขวาลีบมาแต่กำเนิด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้นั่งรถเมล์กลับบ้านเห็นเต็นท์รถเขียนว่า ที่นี่รับขายรถมือสองจึงได้ลองโทรศัพท์ไปสอบถามว่าถ้ามีลูกค้าต้องการรถจะแนะนำให้ทางร้าน ทางร้านจะมีค่าแนะนำอะไรให้หรือเปล่า เถ้าแก่ร้านบอกว่ามี จากตรงนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพขายรถยนต์มือสองของคุณสุนทร แต่การเริ่มต้นธุรกิจในช่วงแรกๆนั้นเรียกได้ว่าเส้นทางไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะกว่าจะรู้เรื่องรถมือสองจริงๆก็ต้องผ่านการลองผิดลองถูก โดนคนเขาหลอกหลายครั้ง เพราะเริ่มจากไม่มีหลักการดูรถ เรียนรู้แบบครูพักลักจำไปเรื่อยๆ กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็ได้จากการสั่งสมประสบการณ์มาคิดต่อยอด และเมื่อคุณสุนทรได้มีโอกาสทำงานตรงนี้แล้วจึงอยากถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีอยู่ให้กับคนรุ่นหลัง ดังนั้นคนที่ไม่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงอยู่ในวงการรถมือสอง แต่ถ้ามีใจรักแล้วล่ะก็ มีโอกาสก็สามารถทำอาชีพนี้ได้เช่นกัน คุณสุนทรกล่าวถึงหลักสูตรของเขาว่า “อันดับหนึ่งคือต้องรู้หลักจรรยาบรรณ ต้องเป็นคนดีก่อน เพราะผมคิดว่าการเป็นคนดีเป็นสินทรัพย์ แม้ว่าจะจับต้องไม่เห็น แต่ว่ามีคุณค่ามาก เราปลูกฝังให้เค้าเริ่มต้นจากการเป็นคนดี มีความดีความมั่นคงต่ออาชีพการงาน เป็นหัวใจของความสำเร็จ, อันดับสองคือว่า เค้าจะเรียนรู้อย่างไรในลักษณะเบื้องต้น ถ้าสมมติว่ารถที่ใช้งานอยู่นั้นแต่ละส่วนบอกอะไรแก่เรา เราจะต้องชี้จุดไหน ตรงนั้นเราก็จะมีวิทยากรมาสอน อันดับสามก็เป็นหัวใจเทคนิคการดูรถอย่างไรว่าคันนี้ไม่เกิดควันดำ เทคนิคการดูฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ระบบภายใน อันดับที่สี่คือการตลาดทุกรูปแบบ จะทำอย่างเมื่อเรียนแล้วต้องปฏิบัติได้ ในส่วนของการประเมินผลการเรียนก็ไม่ได้มีเกณฑ์การให้คะแนนยุ่งยากซับซ้อนอะไรมาก ต้องเป็นคนที่รักในอาชีพรถยนต์และใฝ่ฝึกฝนตนเอง ต้องเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะตอนนี้จะเป็นนักขายรถยนต์แบบธรรมดาไม่ได้ ต้องมีความเป็นมืออาชีพ เรามีสถานที่ให้เค้าฝึกงานได้ เพราะที่โรงเรียนของเราจะมีห้องอบรม ห้องสมุดรถยนต์ให้ลูกศิษย์ของเราศึกษาหาความรู้ตลอด”

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่คาร์เซ็นเตอร์ เน็ตเวิร์ค โทร 0-2514-0833, 0-2514-0855

แนะนำวิธีการเลือกซื้อรถมือสอง

ขั้นตอนที่ 1 ตรวจเช็คโครงสร้างภายนอกตัวจากด้านหน้าไปจรดด้านท้ายรถ สังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขอยึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่องให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนมาอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน

ขั้นตอนที่ 2 ตรวจเช็คสภาพตัวถังภายนอกและสีรถให้ดูว่าสภาพของสีรอบ ๆ ตัวรถว่ามีการบวมปูดของสีหรือสีซีดด่าง ผุเป็นสนิม มากน้อยแค่ไหน เพราะการทำสีนั้นแต่ละส่วน แต่ละบริเวณนั้น เช่น บังโคลน ค่าทำสีชิ้นละ 2,000 - 3,000 บาท ถ้าต้องทำสีมากหลาย ๆ  จุด ค่าทำสีจะสูงมาก

ขั้นตอนที่ 3 ตรวจเช็คเครื่องยนต์ เมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้ดูว่าเครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่ และให้ฟังดูว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีเสียงดังแต็ก...แต็ก ของวาล์วหรือไม่ หรือเสียงดังกั๊ก ๆ ที่เกิดจากแคมชาฟท์หรือเพลาข้อเหวี่ยง สลักลูกสูบหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าเครื่องยนต์มีปัญหาใหญ่แน่ ๆ ต่อมาให้ลองฟังดูว่ามีเสียงของลูกปืนไดชาร์จ ไดสตาร์ทด้วย จากการฟังก็มาถึงการใช้วิธีดมกลิ่นที่ท่อไอเสียดู ถ้ามีกลิ่นฉุนรุนแรงหรือมีควันสีดำออกมาเวลาเร่งเครื่องก็แสดงว่าเผาไหม้ไม่หมดเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ และรถคันนั้นจะกินน้ำมันมากกว่าปกติอีกด้วย หรือถ้าเป็นควันสีขาวไหลออกทางปลายท่อ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าเครื่องหลวมมากเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 4 ตรวจเช็คระบบแอร์ ตรวจเช็คตู้แอร์ดูว่ามีเสียงของพัดลมดังผิดปกติหรือไม่ เสียงของคอมแอร์ดังขึ้นมาไหม  ซึ่งทดลองได้ไม่ยากนัก แค่ปิด-เปิดแอร์แล้วฟังเสียงดู  ถ้ามีเสียงดังตอนเปิด และเงียบลงตอนปิดก็แสดงว่าคอมแอร์เริ่มมีปัญหาแล้วล่ะ

ขั้นตอนที่ 5 ตรวจเช็คระบบเกียร์ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้  ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ลองเข้าเกียร์ D โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อย ๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง 2,500-3,000 รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 ถึงหลักแสนแล้วแต่อาการ เกียร์ธรรมดาก็เช่นกัน ให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อย ๆ ปล่อยคลัชดู ถ้าเครื่องดับแสดงว่าคลัชยังดีอยู่ แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว

ขั้นตอนที่ 6 การตรวจเช็คสภาพห้องโดยสาร ให้ตรวจเช็คอย่างละเอียดว่าระบบไฟสัญญาณต่าง ๆ บนหน้าปัดขณะที่บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON จะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด

ขั้นตอนสุดท้าย ลองขับด้วยตัวเอง การทดลองขับบนถนนที่มีสภาพถนนต่าง ๆ หลาย ๆ แบบจะยิ่งช่วยให้การตรวจสอบนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงที่ทดลองขับให้พยายามฟังเสียงเครื่องยนต์ดูว่ามีอะไรผิดปกติไหม เข็มวัดอุณหภูมิความร้อนของเครื่องอยู่ในระดับปกติหรือไม่ จับอาการการทำงานของเกียร์  ซึ่งถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติให้สังเกตดูว่าเกียร์เปลี่ยนครบทุกเกียร์ไหม มีการเปลี่ยนเกียร์ที่ต่อเนื่องและนิ่มนวลหรือไม่ กระตุกมากเกินไปไหม ส่วนถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาก็ให้ลองเปลี่ยนเกียร์ดูให้ครบทุกเกียร์จะได้รู้ว่าเกียร์มีปัญหาไหม ถ้าหากมีเสียงดัง แก๊ก แก๊ก...ขึ้นมาตอนเปลี่ยนเกียร์ทั้งที่เหยียบคลัตช์สุดแล้วแสดงว่าชุดซินโครเมชเกียร์นั้นชำรุดแล้ว หรือเข้าเกียร์ยากก็อาจจะเกิดจากผ้าคลัตช์หมด สุดท้ายให้ดูสภาพของยางที่ติดอยู่กับรถว่า มีการสึกหรอเพียงใด โดยให้ลองเอาเล็บจิกไปที่ดอกยาง ถ้ายางแข็งมากจนเล็บจิกไม่เป็นรอยหรือเวลาที่วิ่งแล้วมีเสียงของยางกระทบพื้นถนนที่ดังมากก็แสดงว่ายางนั้นเสื่อมสภาพแล้ว       เรื่องของศูนย์ล้อก็ต้องระวังด้วย เพราะถ้าแค่ศูนย์ล้อคลาดเคลื่อนธรรมดานั้นสามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเคลื่อนจนไม่สามารถตั้งได้แสดงว่ารถคันนี้ต้องประสบอุบัติเหตุมาอย่างแน่นอน

*** ทั้งหมดนี้เป็นการดูรถยนต์มือสองอย่างละเอียดพอสมควร ซึ่งเวลาปฏิบัติจริงคงไม่สามารถทำได้ทุกหัวข้อ แต่ถ้าไม่สนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โอกาสจะผิดพลาดและผิดหวังก็เกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน อย่างไรก็ดีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ และความพอใจของผู้ซื้อว่าราคากับคุณภาพเหมาะสมกันแค่ไหน  ในบางครั้งจ่ายแพงกว่าอีกนิด  แต่หลาย ๆ สิ่งครบสมบูรณ์กว่า อาจจะดีกว่าจ่ายน้อยแต่ต้องมานั่งซ่อมบานปลายกันในภายหลัง

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 256257เขียนเมื่อ 19 เมษายน 2009 16:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

สวัสดีค่ะ

***เป็นบันทึกดีมีประโยชน์

***ขอบคุณคนชื่อมีชื่อออกเสียงเหมือนกัน

เสียดายครับที่เจอบันทึกนี้ช้าไปหน่อย

เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ สำหรับการมีโรงเรียนแบบนี้

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นน่ะค่ะ

โทรไปแล้ว เบอร์โทรมันไม่ใช่ คุณควรตรวจเช็ครายละเอียดให้ดีก่อนนะครับ ก่อนจะเอามาลง

ขอโทษทีน่ะค่ะ สงสัยจะเปลี่ยนเบอร์

แก้เบอร์ใหม่ให้แล้วน่ะค่ะ

เป็นเบอร์เดียวกับที่อยู่ในภาพค่ะ ลองโทรไปแล้วถูกต้อง

ลองสอบถามข้อมูลดูน่ะค่ะ

เมือไรจะเปิดสอนอีกครับ ถ้าเปิดสอนเมือไรติดต่อด้วยนะครับ 0896442016

รบกวนโทรไปสอบถามที่เบอร์โทร

02 5140833 5140855

น่ะค่ะ

ขอบคุณ คุณกานต์มาก คือใจร้อนอยากเรียน เห็นเพื่อนๆๆๆซื้อขายรถอยากเป็นม้งครับ

ผมโทรไปแล้วเค้าบอกจะติดต่อกลับก็ยังไม่มีเลยไม่รู้ว่ายังเปิดสอนอยู่หรือเปล่า

ถ้าไปเรียนแล้วเป็นอย่างไรบ้างช่วยมาบอกด้วยน่ะค่ะ

กำลังอยากซื้อรถมือสองเหมือนกัน

อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ

การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม โดย อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ

ขอเรียนทุกท่านไว้ก่อนนะครับว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงประสบการณ์ของผมเท่านั้นผมอาจจะตั้งกฎเกณท์ไว้ค่อนข้างสูงและคิดเสมอว่ารถไม่ได้มีคันเดียวต้องหาที่ดีที่สุดถ้าสงสัยคือหยุดทันทีไปหาใหม่เพราะเป็นความหวังและความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่มีต่อผมและผมจะดูตามความคิดของผมและให้ผู้ซื้อเป็นคนคุยกับคนขายและผมจะไม่พูดหรือตอบคำถามใดๆทั้งสิ้นให้ดูเหมือนพวกรับจ้างดูรถทั่วๆไปและผมจะให้ผู้ซื้อเลือกไว้2หรือ3คันซึ่งผมจะไล่ดูตามลำดับ (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- เมื่อผมเดินทางไปถึงสถานที่ที่รถคันที่เขาจะให้ดูให้จอดอยู่ผมก็จะเริ่มดูจากสภาพภายนอกก่อนโดยเคาะตัวถังรอบๆรถว่าเป็นเสียงของเหล็ก(เสียงแก๊งๆใสๆ)หรือว่าเป็นเสียงทึบๆ(ปุ๊คๆ)ของสีโป๊วถ้าเป็นจุดที่ไม่สำคัญและบริเวณไม่กว้างเช่นแก้ม ด้านข้าง ด้านท้ายหรือประตูก็ถือว่ายังยอมรับได้(อันนี้เป็นเรื่องปกติการที่จะไม่เฉี่ยวไม่ชนเลยเป็นไปได้ยากมาก)แต่ถ้าเจอด้านข้างหรือด้านหน้าเป็นหรือด้านท้ายหรือหลังคาที่เป็นบริเวณกว้างผมก็จะไม่สนใจรถคันนั้นทันที

- ถ้ายอมรับได้ก็จะมาดูเรื่องสีรถว่ามีสภาพเรียบร้อยแค่ไหน ชนิดของสีที่ใช้ที่ใช้ต่างกันหรือไม่(สีธรรมดา-ลูไซด์-สีเกร็ด)มีตรงไหนที่พื้นสีเข้ม-ซีดแตกต่างกันโดยจะเน้นไปที่สีของฝากระโปรงเทียบกับแก้มทั้งสองข้างถ้าสีไม่เหมือนกันแสดงว่ามีการทำสีมา(อาจจะจากการชนหรือไม่ก็ได้)จากนั้นจะนำทั้งหมดไปเทียบกับหลังคาและฝาท้ายแต่จะเน้นที่หลังคาเพราะ ถ้าหลังคาถูกทำสีที่เกิดจากการชนคือการชนที่รุนแรงมากหรือคว่ำมาไม่น่าคบแน่ๆอันนี้จะดูที่ขอบยางของกระจกหน้าและกระจกหลังถ้าทำสีมาสีจะแตกตรงมุมขอบให้เห็น ดูความสม่ำเสมอของขอบประตูด้านบน-ล่างว่ามีเอียงหรือบิดหรือต่ำๆสูงๆหรือไม่ทั้งสี่บานถ้าพบตรงจุดนี้ก็จะหยุดเช่นกันยิ่งถ้าเจอประเภทสาดสีมาทั้งคันผมจะไม่สนใจรถคันนั้นเลย

- ถ้าผ่านจุดนี้ผมก็จะเปิดดูที่ห้องโดยสารผมจะเปิดพื้นให้ถึงพรมชั้นล่างสุดโดยเฉพาะตรงที่พักเท้าด้าหน้าทั้งสองข้าง(ข้างหลังไม่เน้นมาก)และจะดมดูจะต้องไม่มีกลิ่นอับของความชื้นเหมือนซักผ้าตากไว้ในร่มเพราถ้ามีเป็นไปได้ว่าระบบแอร์รั่ว-มีการผุของเหล็กที่ผนังกั้นห้องโดยสารกับห้องเครื่อง-มีการรื้อหรือยกเครื่องออกจากตัวรถแล้วประกอบไม่ดีจนมีน้ำรั่วเข้ามาได้(อาจจะซ่อมหรือชนมา)เชื่อไหมบางคันเจอน้ำใต้พรมเลยก็มี ถ้าเจอก็หยุดเช่นกันอันนี้ไม่มีข้อแม้

- ถ้าผ่านก็จะดูขอบกระจกหน้า(ดูจากข้างใน)อาจจะต้องถอดขอบออกถ้าเป็นกระจกจากโรงงานจะต้องไม่มีเศษซิลิโคนให้เห็นและขอบทุกด้านต้องแนบสนิท(ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆจะดูที่ยี่ห้อทุกบานต้องยี่ห้อเดียวกัน)ถ้ามีเศษซิลิโคนหรือกระจกแนบข้างแต่อีกข้างโด่งอันนี้ก็แสดงว่าเคยเปลี่ยนกระจกหน้ามา(ไม่ว่าด้วยเหตูใดก็ตาม)ผมก็จะหยุดเช่นกัน

- ถ้าผ่านก็ดูต่อคราวนี้ก็บิดสวิทช์กุญแจดูสัญญานเตือนต่างๆต้องติดครบแล้วก็สตาร์ทเครื่องดูสัญญานเตือนทุกตัวต้องทำงานตามปกติถ้าไม่ก็ดูอีกทีว่ารับได้หรือเปล่า(เช่นรูปแบตเตอรี่อาจเป็นไปได้ถ้ารถจอดนานจนแบตหมดก็จะเก็บความสงสัยไว้ก่อน)จากนั้นก็จะเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีในรถทั้งหมดตัวไหนทำงานไม่ทำงานก็จำไว้และจะค้างไฟหน้าไว้ที่ไฟสูงเปิดแอร์แรงสุด แล้วค่อยเปิดกระโปรงหน้า (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- มาดูที่ห้องเครื่องในส่วนนี้ค่อนข้างเน้นมากถ้าเจอตรงไหนจะหยุดทันทีอันแรกก็เปิดฝาหม้อน้ำทิ้งไว้(บางรุ่นไม่มีก็เปิดที่พักน้ำแทน)จากนั้นก็เริ่มฟังเสียงและใช้มือกับที่ตัวเครื่องดูการสั่นเสทือนที่จะบอกถึงความเรียบของเคื่องยนต์ในรอบเดินเบาต้องไม่มีการกระตุก การสั่นต้องต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ(ไม่ใช่สั่นบ้างหยุดบ้าง) ฟังเสียงสายพาน-ลูกรอก-พัดลมต้องไม่ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวเกินพอดี ดูขอบห้องเครื่องด้านหน้า-ซ้าย-ขวาต้องมีร่องรอยของจุดสป็อตของการอาร์คไฟฟ้าที่ใช้ในการประกอบ(เป็นหลุมที่มีระยะห่างเท่าๆกันถ้ามีการชนสีโป๊วจะอุดรอยพวกนี้เป็นเรียบหมด) (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- จากนั้นก็จะดูชุดโคมไฟหน้าว่าเรียบเสมอกับกับไฟเลี้ยวหรือเปล่ามีการปรับเอียงไว้หรือไม่ถ้าเอียงก็ปรับให้ตรงและเสมอเป็นปกติซะแล้วเดินไปด้านหน้าห่างจากรถประมาณ 10-15เมตรแล้วหันมาดูไฟหน้ารถ(ที่ผมเปิดทิ้งไว้ที่ไฟสูง)สังเกตุไฟทั้งสองข้างจะต้องมีความสูงที่ใกล้เคียงกันถ้าสูงข้างต่ำข้าง(อันนี้ก็เหมือนตอนกลางคืนที่บางครั้งเราขับสวนคันอื่นไฟข้างนึงสูงอีกข้างนึงต่ำ)แต่ผมได้ปรับโคมให้เสมอกันแล้วอันนี้ร้อยทั้งร้อยบอกได้เลยชนด้านหน้าหรือเฉียงๆข้างใดข้างหนึ่งมาหลีกให้ห่าง (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- ถ้าผ่านก็กลับมาที่รถดึงสายคันเร่งๆเครื่องดูว่าเร่งดีหรือไม่ต้องไม่มีสดุดหรือสำรักน้ำมันและเสียงแขกของวาล์ว(แก๊กๆ)ต้องไม่ดังจนน่าเกลียด ตอนนี้เครื่องร้อนแล้วก็จะมาดูน้ำหม้อน้ำหรือหม้อพัก(ที่เปิดฝาทิ้งไว้แต่ทีแรก)การไหลวนต้องไม่มีฟองอากาศ(ยิ่งเร่งเครื่องฟองยิ่งใหญ่ขึ้น)ถ้ามีแสดงว่าเครื่องเคยโอเวอร์ฮีตมาจนฝาสูบโก่งไม่ควรคบ ถ้าผ่านก็จะก้มดูด้านล่างว่ามีน้ำแอร์หยดอย่างสม่ำเสมอดี(ถ้าไม่มีหยดเลยก็ไม่เอา)และต้องไม่มีอย่างอื่นหยดนอกจากน้ำแอร์จากนั้นก็ไปปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดไว้แล้วดับเครื่องที่สำคัญคือระหว่างที่เช็คอยู่ถ้าคนขายไปดับเครื่องผมก็จะไม่ดูต่อเช่นกัน(แสดงว่าต้องการปกปิดบางอย่าง)แล้วก็มาดูรอยรั่วของน้ำตามท่อน้ำหรือน้ำมันในระบบว่ามีใหม่ๆออกมาตรงไหนบ้าง(อันนี้พอรับได้บ้างแต่เก็บข้อมูลไว้)ดูตามจุดประกบต่างๆเช่นฝาครอบวาล์ว-เครื่อง-หัวเกียร์ว่ามีร่องรอยของสารซีลป้องกันรั่วหรืไม่(สีส้มหรือสีขาว)ถ้ามีก็แสดงว่าจุดนั้นๆมีการถอดซ่อมมาแล้ว(เก็บเป็นข้อมูลไว้)รอซักพักแล้วก็มุดดูพวกลูกยางกันฝุ่น-กันโคลง-ยางหุ้มเร็คพวงมาลัยว่ามีจุดไหนชำรุดเสียหายหรือจาระบีรั่วหมดบ้าง(พอรับได้ก็เก็บข้อมูลไว้)จากนั้นก็ปิดฝาหม้อน้ำหรือหม้อพักเช็คระดับของเหลวทุกอย่างเช็คการยุบตัวของโช้คต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไปและต้องไม่มีเสียงกระทบกันของเหล็ก(เก็บข้อมูลไว้) จากนั้นก็ทดลองขับ(ถ้าไม่ให้ลองขับก็หยุดเช่นกัน)ดูความสม่ำเสมอของอัตราเร่งต้องไม่กระตุก รอบเครื่องกับความเร็วต้องสัมพันธ์กันไม่ใช่รอบสูงแล้วแต่รถไม่วิ่งก็ใช้ไม่ได้ พยามหาถนนที่โล่งอัดและลากเกียร์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือต้องไม่มีการสดุดของเครื่องเลยและการสับเปลี่ยนเกียร์(ธรรมดา)จะต้องลื่นเข้าง่ายไม่มีเสียงโครกครากให้ได้ยินอันหมายถึงความเสื่อมสภาพของครัทช์หรือครัทช์ที่เคยไหม้มาก่อน จากนั้นก็รักษาความเร็วไว้ที่100-120แล้วเบรคแรงๆที่ดีต้องไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าด-อาการปัด-พวงมาลัยสั่น-รถสั่นทั้งคันต้องไม่มีให้เห็นถ้าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรพอรับได้(เก็บข้อมูลไว้) ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็จะเบรคจนรถหยุดเลยเครื่องต้องไม่ดับด้วยจากนั้นผมก็จะเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันหาที่โล่งหมุนพวงมาลัยซ้าย-ขวาสุด(ทีละด้าน)แล้วเร่งเครื่องออกตัวแรงๆต้องไม่มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆของเพลาหรือลูกหมาก(ถ้ามีก็เก็บข้อมูลไว้) (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

ตลอกเวลาที่ลองขับที่หน้าปัดต้องไม่มีสัญญานอะไรกระพริบขึ้นมาและเกร์ความร้อนต้องนิ่งประมาณกลางๆ(หรือที่ใดที่หนึ่ง)โดยไม่เลื่อนขึ้นลงจึงจะถือว่าเยี่ยม เมื่อออกจากปั๊มมาก็จะมองหาหมู่บ้านจัดสรรเจอปุ๊บก็เลี้ยวเข้าไปเลยหาช่องที่มีเนินปูนต์กันรถวิ่งเร็วหรือแมงกะไซค์แล้วจะอัดประมาณ60ลุยทดสอบช่วงล่างซัก2-3จุดเพื่อทดสอบช่วงล่างจะต้องไม่มีเสียงดังของเหล็กกระทบกันให้ได้ยินแต่ถ้าเป็นเสียงทึบๆของโช้คหรือสปริงก็ปกติ ในระหว่างการทดลองขับ(ผมจะไปกับผู้ขายเท่านั้นให้ผู้ซื้อคอยที่เต็นท์หรือที่บ้านของผู้ขาย)ถ้ามีการเสนอเงินให้ผมเพื่อให้เชียร์รถของเขาจนขายได้(เพราะเขาคิดว่าผมเป็นพวกรับจ้างดูรถทั่วๆไป)ผมก็จะเลิกสนใจรถคันนั้นทันทีเช่นกัน(เคยมีเสนอให้ต่ำสุด5พันและสูงสุด2หมื่น) จากนั้นก็เอารถไปคืนแล้วลงจากรถมาดูสภาพของยางว่าจะยังสามารถใช้งานต่อไปได้มากน้อยเพียงใด(เพื่อเป็นข้อมูล)ถ้ายางมีกลิ่นเหม็นไหม้หนือสึกแบบดำอย่างเห็นได้ชัดและกดดูที่ดอกแข็งๆ(ทั้งที่ยังร้อนอยู่)แสดงว่าหมดสภาพเพราะถึงแม้จะไปเซาะร่องยางมาการวิ่งดังกล่าวจะแสดงผลทันที จากนั้นก็กลับออกไปดูคันที่สองและที่สามตามลำดับ(บอกว่าขอเวลาคิดก่อนอย่าหลงกลวางเงินมัดจำโดยเด็ดขาดขายได้ก็ให้เขาขายไป)เมื่อครบแล้วก็กลับบ้าน(อันนี้ผมกลับจริงๆนะครับ)แล้วก็มาสรุปให้ผู้ซื้อฟังว่าแต่ละคันเป็นอย่างไร ซื้อมาต้องซ่อมอะไร ใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่คันไหนน่าสนใจที่สุดตามลำดับหนึ่งสองสามแล้วให้ผู้ซื้อไปตัดสินใจและไปต่อรองราคากันเอาเองผมไม่เกี่ยว(แต่ทุกคันที่ผมไปดูให้ผมรับประกันซ่อมให้ด้วยตลอดอายุการใช้งานและผมจะให้เครดิตกับเต็นท์ที่มีการรับประกันหลังการขายเป็นลายลักษณ์อักษรสูงกว่าเต็นท์ทั่วๆไป) และขอย้ำว่าการดูรถบ้านสำหรับผมจะใช้วิธีการโทรถามสถานที่หรือเลขที่บ้านก่อนแต่จะนัดดูรถในอีก5-7วันหรืออาจจะยังไม่นัดเลยจากนั้นผมจะไปหาบ้านหรือสถานที่ดังกล่าวจนเจอแล้วจะซุ่มดูอยู่1-2วันต้องขับตามดูการใช้งานและสภาพที่พอดูได้จากระยะไกลด้วยผมจะเลือกเฉพาะรถที่มีการใช้งานอยู่เท่านั้น ถ้าเจอแบบคลุมผ้าหรือจอดทิ้งไว้ก็ไม่เอาครับหรือบางทีขับตามไปเจอเลี้ยวเข้าอู่อันนี้ก็ไม่เอา หาบ้านไม่เจอก็ไม่เอา นัดนอกสถานที่ก็ไม่เอา ยิ่งเป็นเบอร์บ้านยิ่งเช็คง่ายถาม 13(เดี๋ยวนี้เป็น 1133 แล้ว)ถามหาชื่อเจ้าของบ้านของเบอร์นั้นๆว่าตรงกับเจ้าของรถหรือไม่บางทีก็ไม่ตรงกันก็ไม่เอา(อาจจะมีเต็นท์มาเช่าหน้าบ้านขาย) ดังนั้นการดูรถบ้านสำหรับผมแล้วจะยากกว่าการดูรถเต็นท์ครับเพราะดูได้แค่อาทิตย์ละไม่เกิน 2 คันทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงคร่าวๆ(แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว)ยังมีรายละเอียดปรีกย่อยอีกมากพอดูเหมือนกันครับแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ขอย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นกฏที่ผมสร้างขึ้นมาเองอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ครับไม่จำเป็นต้องเชื่อครับเพราะ ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ

การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม(ตอน2)

ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า...?ป้องกันตัวยังไงไม่ให้โดนหลอก?.....

ที่มา

เรื่องนี้โดยส่วนตัวแล้วเป็นเรื่องที่ดีและดีกว่าตอนแรกเสียอีก แต่มันออกจะหมิ่นเหม่มากไปหน่อย แม้ผมจะเคยทำลักษณะนี้มาก่อนตั้งแต่การเริ่มต้นหรือดูรถยังไม่เป็นเท่าไหร่แต่กาลเวลาก็ทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปเพราะตรงนี้มันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวในการเลือกซื้อรถมือสองจริงๆที่ลดโอกาสเสี่ยงได้มากที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับใครหรือกลุ่มผู้ประกอบการณ์ใดๆทั้งสิ้น

ความจริงแล้วผมพยามสื่อในเรื่องการซื้อรถมือสองไปแล้วทั้งจากบทความหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น...

?การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม?

?ผมก็อยากมีรถ(มือสอง)ซักคัน?

?อาชีพรับจ้างดูรถมือสองไว้ใจได้แค่ไหน?

แต่ก็ยังมีสมาชิกในชมรมคนรักรถบางท่านที่ประสพปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ(บางราย)ที่ขาดคุณธรรมและไร้จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ แม้บทความที่เคยพูดเรื่องการป้องกันจากหลายๆแง่ที่เคยยกมาในบทความที่แล้วๆมาแต่มันก็อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันตัวเอง บางท่านอาจจะมองว่าสิ่งที่ผมเขียนให้อ่านกันนั้นใช้เวลามากเกินไปหรืออาจจะหารถใหม่ได้เลย ซึ่งท่านเหล่านั้นอาจจะไม่เคยเจอปัญหามาก่อนก็เลยยังไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของการถูกเอาเปรียบแบบซึ่งหน้าแถมไม่ผิดกฎหมายด้วยว่ามันเป็นยังไง แต่ถ้าท่านเจอเหตุการณ์ด้วยตนแม้แค่ครั้งหนึ่งครั้งเดียว ท่านอาจจะเข้าใจเรื่องราวหรือสิ่งต่างๆที่ผมเคยพูดเคยย้ำหรือจะรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าถ้าท่านสามารถทำในสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้วนั้นได้มันคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกมาด้วยความขมขื่น ความเจ็บปวด เงินที่ต้องเสียไป เวลาที่เสียไปในภายหลังจากการซื้อรถมาแล้วนะครับ

มาถึงตรงนี้คงเน้นหลักๆจริงๆแบบปลอดภัยมากที่สุดเพื่อป้องกันตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะท่านที่อาจจะมีทุนไม่มากและไม่ค่อยรู้เรื่องรถมากนัก ขั้นตอนต่างๆที่จะลำดับให้ฟังเป็นขั้นตอนในการเลือกซื้อนะครับไม่ใช่การเลือกรถ ดังนี้ครับ

1. การเลือกเต็นท์

1. ผมจะมองไปที่เต็นท์ที่มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆและมีรถคันที่เราเลือกไว้อยู่ในโฆษณานั้นด้วยอย่างน้อย 2สื่อ และในคำที่ลงไว้จะต้องระบุหรือกล่าวไปในทำนองที่ว่า?รถพร้อมใช้?และ/หรือ?รับประกันทุกคัน?และ/หรือ??รับประกันคุณภาพ?และ/หรือ?รับประกันไม่มีคว่ำ?และ/หรือ?รับประกันไม่มีชนหนัก?และ/หรือ?ถ้าพบว่ามีปัญหายินดีคืนเงิน?และ/หรือ?รับประกันที่ระบุหลังการขายเป็นระยะเวลาที่แน่นอนอย่างน้อยที่สุด 7วันเช่นซ่อมฟรี?เพราะข้อความเหล่านี้สามารถเป็นข้อผูกมัดได้ในกรณีที่เกิดปัญหาถือว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวง ถ้าแน่จริงต้องกล้าลงโฆษณาซิ

2. ลงลึกในรายละเอียดกับทางเต็นท์ว่าที่เขารับประกันนั้นมีอะไรบ้างอย่างน้อยสุดภายใน 7 วันถ้ามีปัญหาสามารถเคลมอะไรได้บ้างและทางเต็นท์สามารถออกหนังสือรับรองการรับประกันให้ได้หรือเปล่า ถ้ารถคันนั้นๆดีจริงตามกล่าวอ้างเขาสามารถออกหนังสือรับรองระบุการรับประกันให้ได้ ถ้ามีการบ่ายเบี่ยงแสดงว่าของปลอมครับเพราะแค่ 7วันยังไม่กล้ารับรองแสดงว่ารถคันนั้นๆพร้อมที่จะเกิดปัญหาได้ทุกเวลา

2. การเก็บหลักฐาน โดยเก็บโฆษณาทุกชิ้นที่เกี่ยวข้องกับรถคันที่จะซื้อเท่าที่จะหาได้ที่ระบุตามข้อ 1.1

3. การจ่ายหรือวางเงินจอง

1. หาพยานที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องไปด้วยในการณีที่ต้องเซ็นต์หรือเป็นพยานตามข้อ 1.2

2. จะต้องได้หนังสือรับรองการรับประกันตามข้อ 1.2 ก่อนจ่ายเงิน

3. ขอให้มีการระบุวันที่รับรถหรือการนัดในใบจองหรือใบนัดทำสัญญา

4. ขอให้มีการระบุอย่างชัดเจนว่าวันรับรถจะมีการแก้ไขจุดใดให้บ้างหรือรถจะอยู่ในสภาพใดถ้ามีสิ่งที่ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนยกเว้นที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์(อันนี้พูดไปแล้วในบทความเดิมเรื่องการเลือกรถมืองสองในมุมมองของผมตอนแรกที่กล่าวมาข้างต้น)หรือระบบแอร์เช่น แอร์ไม่เย็นทางเต็นท์มักอ้างว่าน้ำยาหมดวันรับรถจะเติมให้ขอให้สัญนิฐานเลยว่าตู้แอร์รั่วเพราะโอกาสที่น้ำยาแอร์จะรั่วซึมออกจากระบบที่เป็นระบบปิดนั้นเกิดขึ้นน้อยมากค่าซ่อมราว 3พันขึ้นไปและจะมีปัญหาหลังซื้อไปราว 10-45วัน(ตามแต่จะรั่วมากหรือน้อย)และเสียเวลาอีกประมาณ 6-48ชั่วโมง

5. ต่อรองการวางเงินจองให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่น 2-5 พัน(ไม่ควรเกิน 10พัน) ยิ่งมีการเรียกเงินมัดจำสูงเท่าไหร่ยิ่งเป็นการส่อแววความไม่ซื่อสัตย์มากเท่านั้น

6. ตกลงกันก่อนว่าขอถ่ายภาพรถคันที่จะวางเงินมัดจำถ้าไม่ยินยอมก็ยกเลิกไปเลย

7. ทำการถ่ายรูปรถคันนั้นด้วยกล้องธรรมดา(ที่ใช้ฟิล์ม)ทุกซอกทุกมุมให้ละเอียดและทำการล้างอัดทันที(ไม่เกิน 1 วันหลังจากถ่าย)พร้อมเก็บหลักฐานการล้างอัดรูปไว้ด้วยเพื่อเป็นการป้องกันการเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ออกจากตัวรถและเป็นหลักฐานว่าจะมีการซ่อมหรือแก้ไขตามข้อตกลง(อาจจะมีการใช้นิ้วหรือมือชี้ระหว่างถ่ายรูปในจุดที่ตกลงกันว่าจะแก้ไขให้เรียบร้อย)

8. หรือจะจ่ายคนละครึ่งขอให้ระบุลงในใบจองให้เรียบร้อยตกลงกันให้เรียบร้อยว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนเช่นค่าโอน ใครจะเป็นคนจ่าย

9. ตรวจเช็คหลักฐานต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดให้เรียบร้อย พร้อมกับให้เอกสารส่วนของเราถ้าเป็นการเช่าซื้อ

10. วางเงินมัดจำและนัดทำสัญญาหรือนัดวันจัดสินเชื่อ

4. ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อ

1. วันที่ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อและวันรับรถให้เป็นวันเดียวกันและให้เร็วที่สุดนับจากวันจองวันต่อวันยิ่งดี

2. ตรวจดูให้แน่ชัดว่าคนที่ทำสัญญากับเราเป็นผู้ประกอบการตัวจริง

3. ถ้ามีการไม่ทำตามข้อกำหนดหรือไม่สามารถส่งมอบรถตามกำหนดให้ยกเลิกสัญญาโดยไปแจ้งความนำบันทึกมาขอรับเงินมัดจำคืนถือว่าเป็นการผิดสัญญาในการส่งมอบรถ(ทีเราไม่ไปตามกำหนดเขายังสามารถริบเงินมัดจำของเราได้เลย)

4. ในขั้นตอนการรับ-มอบรถให้ปฎิบัติตามข้อ 3.7คือการถ่ายรูปเพื่อเป็นการยืนยันว่ารถที่เรามาดูอยู่ในสภาพที่ได้ตกลงกันไว้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพโดยที่เราไม่ยินยอมหรือตามสภาพที่ได้ตกลงในวันที่เราจองรถ

5. ถ้ารถเกิดปัญหาในระยะประกันตามที่ระบุการรับประกันจะทำยังไง

1. จอดรถทันที(ถ้าวิ่งไม่ได้)นำหลักฐานที่มีทั้งหมดรวมถึงหนังสือและสื่อที่ระบุการรับประกันไปลงบันทึกประจำวันที่ที่สถานีตำรวจ โดยระบุด้วยว่าจะนำรถกลับไปที่เต็นท์ถ้ารถวิ่งได้หรือจะลากไปกรณีที่วิ่งไม่ได้เพื่อให้ทางเต็นท์รับผิดชอบตามเงื่อนไขรับประกัน

2. หลังลงบันทึกแล้วแจ้งไปที่เต็นท์ว่ารถเกิดปัญหาสอบถามว่าจะช่วยเหลือยังไง

3. ถ้าการติดต่อไปนั้นมีการบ่ายเบี่ยงให้ลากรถ(ในสภาพที่ถูกต้องกรณีที่วิ่งไม่ได้)กลับไปฝากจอดไว้ที่เต็นท์แต่ถ้ารถยังวิ่งได้ก็ขับไปฝากจอดที่เต็นท์และนัดวันมารับรถหลังการซ่อม(((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

4. ถ้าทางเต็นท์บ่ายเบี่ยงที่จะซ่อมหรือปัดความรับผิดชอบแจ้งความดำเนินคดีทางกฎหมายทันทีอย่ารอช้าและไม่ควรทำแค่ที่เดียวอาจจะร้องผ่านไปยัง ส.ค.บ. หรือผ่านสื่ออีกทางด้วยอย่างน้อยก็เป็นการป้องกันตัวจากอำนาจมืดเพราะสามารถร้องเรียนได้เนื่องจากเราเป็นผู้เสียหายและมีหลักฐานที่จำดำเนินคดีแล้วว่ามีการทำผิดสัญญา-โฆษณาเกินจริงหรือเป็นเท็จ-ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า โดยเรียกร้องความเสียหายทั้งเงินทองและทางจิตใจ-ค่าเสียเวลาเข้าไปด้วย

5. ถ้ามีการเจรจาต่อรองอย่าอ่อนข้ออย่างเด็ดขาด อย่างน้อยควรจบด้วยการเปลี่ยนรถคันที่สภาพดีในราคาที่เท่ากันหรือการคืนเงินหรือยกเลิกสัญญา

............คงคร่าวๆแค่นี้นะครับเพราะความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่อยากจะเขียนถึงเลยเพราะเราหาทางป้องกันทางผู้ประกอบการก็จะรู้ว่าเราจะทำอะไรแต่เมื่อมันเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วก็เลยตัดสินใจเขียนมาให้ศึกษาเป็นแนวทางกันนะครับ...........

............ยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่ากรณีที่ผมสงสัย-ลังเล-ไม่แน่ใจผมจะหยุดและไม่ยอมเสี่ยง บางท่านอาจจะมองว่าเป็นการใช้เวลามากเกินไปแต่ถ้ามองว่าเป็นการป้องกันปัญหาที่ตามมาถ้าเจอแค่ครั้งเดียวก็จะรู้ว่าเวลาที่เสียไปก่อนซื้อรถนั้นสุดจะคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเวลาที่จะเสียไปหลังซื้อรถครับ..............

.............หลายๆท่านอาจจะคิดว่ามันคือต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับการซื้อรถเพราะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าขั้นตอนก่อนซื้ออาจจะเสียเงินเพิ่มอีก 5พันถึง 1 หมื่นแต่เมื่อเกิดปัญหาอาจจะเสียหลายหมื่นและเมื่อคิดเป็นค่าที่ต้องมานั่งเป็นทุกข์ยังไงก็คุ้มครับ..............

.............และขอยืนยันอีกครั้งว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มุ่งร้ายใครหรือมีส่วนได้-เสียกับผู้ประกอบการรายใดทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นเพียงเทคนิคส่วนตัวเท่านั้นแม้วันข้างหน้าเมื่อข้อความนี้เผยแพร่ออกไปย่อมมีการระวังและเตรียมตัวเพื่อป้องกันในสิ่งที่พูดไปทั้งหมดก็ตาม แต่กว่าจะถึงวันนั้น...ผู้ที่เข้ามาอ่านข้อความทั้งหมดนี้และนำไปใช้ประโยชน์ทันกาลก่อนที่ผู้ประกอบการจะรู้ตัวน่าจะมีบ้างแม้เพียงแค่คนเดียวก็ถือว่าผมได้ทำในสิ่งมุ่งหวังแล้วตั้งใจแล้วครับ...........

การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม(ตอน 3)

ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า..?ซื้อรถมือสองที่อายุรถกี่ปีคุ้มค่าที่สุด?....

เคยมีถามกันมาบ่อยๆทั้งทางเมล์และในชมรมคนรักรถว่าซื้อรถมือสองที่อายุรถกี่ปีดีหรืออายุรถกี่ปีที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งถ้าเป็นคำถามในชมรมคนรักรถก็จะออกแนวกว้างๆแต่ถ้าถามกันมาทางเมล์จะเน้นที่ความคิดเห็นและทัศนะส่วนตัวของผมเป็นหลัก ความจริงแล้วเรื่องนี้ผมร่างไว้นานแล้วและคิดจะนำเสนอมาเหมือนกัน แต่เกรงเรื่องผลกระทบที่จะตามมาก็เลยไม่มีโอกาสเรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราวเสียที จนระยะหลังๆมาที่นำมาตอบคำถามทางเมล์กลับได้รับการตอบรับที่ดีจึงคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่าหรือแม้จะส่งผลบ้างก็ไม่น่าจะรุนแรงอะไรเพราะยังไงมันก็เป็นเพียงแนวคิดและมุมมองของคนๆนึงเท่านั้น ไม่น่าจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆได้

แม้รถใหม่จะเป็นสุดยอดปรารถนาของคนส่วนใหญ่ และรถมือสองก็เป็นที่ต้องการของคนที่อาจจะกำลังไม่พอที่จะเล่นรถใหม่ที่อาจจะรอจนราคามันร่วงลงมากหรือราคาต่ำกว่าครึ่งลงมาแล้วซึ่งตรงนั้นอายุรถมันอาจจะมากแล้วหรือเริ่มเข้าสู่ระยะซ่อมแบบเต็มตัวแล้ว แต่มีจุดกึ่งกลางระหว่างนั้นของการเป็นรถเก่าที่ยังมีกลิ่นไอของรถใหม่อยู่ แถมราคาก็น่าสนใจมากบวกกับยังได้ความสบายใจในการใช้งานอีกระยะหนึ่งด้วย (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

โดยส่วนตัวแล้วถ้าไม่ยึดติดกับค่านิยมป้ายแดง และอยากได้รถดีๆใช้งานในสภาพใหม่ราคาคุ้มค่าน่าลงทุนแลกกับความสบายใจผมเห็นว่าจุดน่าสนใจที่สุดอยู่ที่รถมือสองอายุ 2-3 ปีหรือสุกงอมเต็มที่คืออายุรถปีที่ 3ครับ สาเหตุเพราะอะไรหรือทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ก็ลองมาฟังเหตุผลกันดูนะครับว่า.......

1. รถอายุ 1-2 ปีราคาจะตกก็จริงแต่จะยังเปลี่ยนแปลงและแปรผันตลอดเวลาเพราะตัวใหม่ราคาจะสูงขึ้น ตัวเก่าราคาก็จะตกน้อย หรือถ้าเปลี่ยนรุ่น-โฉมไปราคาก็จะตกมาก แถมรถที่ขายๆบางคันสภาพสวยไม่แพ้รถใหม่ป้ายแดงจึงโก่งราคาขึ้นไปอีก ซึ่งส่วนใหญ่ช่วง 1-2 ปีแรกราคาจะตกแกว่งอยู่ที่ 80-90%จากราคารถใหม่ ยิ่งเป็นรถยอดนิยมที่ยอดขายสูงราคาก็จะแกว่งอยู่ช่วง 85-95%เลยทีเดียว

2. รถอายุ 2-3 ปีราคาจะตกลงอีกก็จริงแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับปีที่ 1-2เพราะจะเป็นการตกลงในด้านของราคาแค่ราว 5000-20000เท่านั้นเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นเทียบกับราคารถใหม่แล้วก็ยังจัดว่าราคายังอยู่ในช่วงเดียวกันกับรถปีที่ 1-2คือช่วง 80-90%จากราคารถใหม่เพราะถ้ามองรายละเอียดดีๆมันเหมือนว่าจะมีการลดเยอะแต่จริงๆเป็นการเพิ่มราคาขึ้นไปแล้วขีดฆ่าหรือมาร์คใหม่ว่าราคาพิเศษจากราคาปกติก็เลยดูเหมือนว่าจะลดลง 2-5หมื่นทั้งที่ความจริงอาจจะแค่ 5000 เท่านั้น ระยะนี้เป็นระยะที่มีการดูท่าทีของผู้ซื้อว่ารถจะปรับเปลี่ยนโฉมบ้างหรือเปล่าเพราะมีบ่อยครั้งที่จะมีการปรับปรุงโฉมหลังจากเปิดตัวไปแล้วราว 2 ปีและจะเปิดจำหน่ายราวปลายปีที่สองหลังจากโฉมเดิม ทำให้จำนวนผู้ซื้อรถช่วงนี้มีน้อยเพราะส่วนมากจะรอดูว่าราคาจะตกอีกหรือเปล่าถ้ามีโฉมใหม่ออกมา ขณะเดียวกันผู้ขายที่เปลี่ยนรถบ่อยๆมักเทขายออกมาช่วงนี้เนื่องจากราคาค่อนข้างทรงตัว

3. พอขึ้นปีที่ 3 ราคารถที่ทรงตัวอยู่จะเริ่มลดลงต่ำกว่า 80%จากราคารถใหม่และมีการอ่อนตัวลงต่ำสุดถึง 60%จากราคารถใหม่เนื่องจากปริมาณที่ปล่อยออกมาจากปีที่ 1-2-3 และผลจากการรอดูท่าทีของผู้ซื้อพอมาถึงปีที่3 จำนวนรถที่ขายจึงมีมาก ตลอดจนรถที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ที่ยังโก่งราคาไว้ต้องลดราคาลงมาสู้เพราะดอกเบี้ยเริ่มทบต้นแล้วยิ่งมาเจอกับจำนวนรถที่มีมากๆการแข่งขันที่เกิดขึ้นของผู้ประกอบการณ์จึงมีสูง ในช่วงปีที่ 3 จึงเป็นปีทองที่มีช่วงของราคาห่างกันมากช่วง 60-80%จากราคารถใหม่และไม่กระโดดเกิน 80%อีกแล้ว ตัวเลือกก็มาก-จำนวนรถก็มาก กำลังการต่อรองของผู้ซื้อจึงมีสูงที่สุดในปีนี้

4. ในปีที่ 4 และปีที่ 5 ราคารถจะเริ่มตกลงน้อยแค่ 10-20%เหมือนปีที่ 1และ ปีที่ 2 ยิง่เป็นรถตลาดยอดนิยมราคาอาจจะตกลงเต็มที่ก็แค่ราว 5-10%เท่านั้นและโอกาสที่จะมีการแหกตาปรับราคาขึ้นเพื่อนำมาจัดรายการลดราคาลงก็เกิดขึ้นมากทำให้ราคาที่ลดลงจริงๆอาจจะน้อยกว่า 5%ด้วยซ้ำ ขณะที่รถในปีที่ 3นั้นโอกาสที่ราคาจะตกมีมากถึง 20-40% อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะรถรุ่นใหม่ที่ออกมาภายในปีที่ 2 จะเปลี่ยนโฉมกันทั้งนั้นราคารถในปีที่ 3 จึงชลอตัวเพื่อดูแนวโน้มของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของรถคนที่จะขายก็จะต้องรีบขายเพราะกลัวราคาจะตก คนที่จะซื้อก็รอดูรุ่นใหม่ๆเป็นช่วงกั๊กๆพอดีที่รถใหม่กำลังคลอด-รถเก่าล้นตลาดหรือมีมากกว่าความต้องการ

5. รถแค่ 3 ปีเป็นรถที่อุปกรณ์ต่างๆเข้าที่ดีแล้วและเป็นช่วงที่สมบูรณ์สุดขีดก็ว่าได้ซื้อมาถ่ายของเหลวก็อัดได้เลยไม่ต้องไปคอยห่วงเรื่องการรัน-อินหรือถ้ามีข้อบกพร่องเช่นการรั่วต่างๆของน้ำมันก็สามารถเห็นได้เลยว่าผิดปกติซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้น ถ้ามันมีการรั่วซึมในเบื้องต้นเราจึงบอกได้เลยว่ารถคันนั้นมีปัญหาหรือเปล่า และเมื่อพบปัญหาก็สามารถมองหาคันใหม่ได้ง่ายเพราะตัวเลือกมีเยอะนั่นเอง

6. รถส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะประกันหรือพึ่งจะหมดประกันสามารถตรวจเช็คได้ง่ายว่าเจ้าของเดิมผ่านอะไรมาบ้าง ดูแลรถเป็นยังไง กอปรกับตัวเลือกก็มากเราจึงสามารถเป็นผู้กำหนดสิ่งที่เราต้องการได้เช่นเอารถที่วิ่งไม่เกิน 5หมื่นโล-ไม่เคยมีประวัติเคลมประกันหรือมีน้อยเป็นต้น

7. อายุรถส่วนใหญ่จะเริ่มซ่อมราวปีที่ 5-6 ดังนั้นเราสามารถใช้รถได้เหมือนใหม่โดยไม่ต้องทำอะไรราว 2-3ปี ถ้าเทียบกับตอนที่เป็นป้ายแดงเจ้าของเดิมต้องจ่ายเงิน 100%เพื่อซื้อรถมาใช้งาน 2-3 ปีแล้วขายรถขาดทุนไปราว 20-40% หรือมองในทางกลับกันถ้าเรามาซื้อปีที่ 3 เราก็จะจ่ายแค่ 60-80%ของราคารถใหม่เพื่อใช้งาน 2-3 ปีเช่นกันเพียงแต่มันไม่มีป้ายแดงปะหน้าแค่นั้นเอง

8. ถ้าซื้อป้ายแดงมาขายในปีที่ 2-3ก็จะขาดทุนราว 10-20%สำหรับรถยอดนิยมและอาจจะสูงถึง 20-40%สำหรับรถทั่วๆไป ถ้าซื้อรถยอดนิยมปีที่ 3 แล้วไปขายปีที่ 5-6 ก็จะขาดทุนราว 10-30%ซึ่งถ้ามองตรงนี้จะเหมือนว่าซื้อปีที่ 3 ขาดทุนมากกว่าแต่ถ้าไปมองตรงเม็ดเงินที่ต้องจ่ายตอนซื้อจะพบว่าเม็ดเงินที่ได้จากการขาย แล้วเอาส่วนต่างมาติดดอกเบี้ยซัก 2-3ปีอันนี้ถ้าคิดลงลึกเข้าไปก็จะเหลือขาดทุนจริงแค่ 5-15%เท่านั้นซึ่งถูกกว่าป้ายแดงอีกครับในคุณภาพที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เท่ห์เท่านั้น ยิ่งเป็นรถทั้วๆไปยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นว่าขาดทุนน้อยกว่าหรือเต็มที่ก็เท่าๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือจำนวนเงินที่ซื้อรถครั้งแรกเพราะการซื้อป้ายแดงต้องลงทุน 100% แต่ซื้อมือสองปีที่ 3 ลงทุนแค่ 60-80%เท่านั้น.

..............คงคร่าวๆเท่านี้นะครับ ยังไงลองๆดูเพิ่มเติมจากข้อมูลที่คุณหรือฐานข้อมูลอื่นๆด้านราคาที่ซื้อ-ขายกันจริงๆที่มีอยู่มากมายตามสื่อต่างๆแล้วลองมานั่งวิเคราะห์ด้วยตัวคุณเองจะดีกว่าว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า โปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการพิจารณาจากข้อมูลจริงทั้งหมดที่คุณมีอยู่ก่อนตัดสินใจครับ..........

..............ความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไปของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันเพราะบางท่านก็อาจจะมองว่าการแลกป้ายแดงมานั้นคือความคุ้มค่าแล้ว ส่วนมุมมองตรงนี้คือการใช้งานจริงอย่างสบายใจไร้ปัญหากับการลงทุนที่ต่ำกว่าโดยตัดเรื่องค่านิยมของป้ายแดงออกไปครับ............. (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))

085-325-2353

วิธีการเลือกซื้อรถมือสอง

ร่วมแสดงความคิดเห็น (11)

ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ารถยนต์คือสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเพื่อความสะดวกสบายหรือเพื่อการทำธุรกิจ ครั้นจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงคันโก้ บางทีมันก็อาจจะไม่สมเหตุสมผลกับทุนทรัพย์เรานัก โดยเฉพาะถ้าเป็นรถคันแรก เราอาจจะใช้อย่างคุ้มค่าสมบุกสมบัน ทนมือทนเท้าสักหน่อย ถ้าจะเป็นรถใหม่ใจมันก็ไม่ถึง อย่ากระนั้นเลยลองมามองหารถใช้แล้วเสียก่อนดีกว่า เอาล่ะครับเมื่อตกลงปลงใจได้อย่างนี้แล้ว เราจะมีวิธีการดูรถมือสองอย่างไร ถึงจะได้รถดีๆ มาใช้ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องดูต้องพิจารณาให้อย่างละเอียด ก็มันไม่เสร็จสรรพง่ายดายเหมือนรถใหม่นี่นา นี่เป็นข้อแนะนำในการดูรถมือสอง ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อรถมือสอง และวิธีตรวจสอบรถแบบที่ท่านสามารถดูเองได้ครับ

1. โครงสร้างของรถ

ก่อนที่ท่านจะซื้อรถมือสอง ให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกของตัวรถก่อน จากด้านหน้าไป จรดด้านท้ายรถ สังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขายึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถ

โดยส่วนตัวแล้วถูกกว่าก็จริงแต่ถ้าไม่ซื้อสดผมว่าพอพอกันหรือไม่ก็ถึงขั้นแพงกว่าได้ถ้าลองบวกดอกเบี้ย และvat แล้วนะ ลองคำนวณดูซิ ผมลองมาแล้วถ้าดาวน์ไม่เกิน 50 เปอร์เซนต์ แล้วโห เลย แพงจัง วัดดวงด้วย สุดท้ายเลยต้องยอมซื้อป้ายแดงเลย

กานต์ก็พึ่งซื้อรถมือสองมานะค่ะ altis 1.8 E ปี 2006 ปลายๆ เรียกว่าใช้มาแค่ 3 ปี เจ้าของเตนท์บอกว่าเป็นรถประจำตำแหน่งไปซื้อโควต้ามาจากบริษัทที่เค้าโล๊ะ ชื่อเก่าเป็นของ japan car rent ที่เตนท์นี้เจ้าของเขามีสาขาอยู่ประมาณ 3 ที่ มีที่ภูเก็ตด้วย เน้นซื้อง่าย ขายไว มีโปรโมชั่นฟรีดาวน์ แต่พอจัดไฟแนนซ์จริงๆก็ใช้เวลานานหน่อยเพราะราคารถสูง ก็ดาวน์อยู่ไม่กี่หมื่น สรุปออกรถรวมประกันที่ 5 หมื่นกว่า ทำกับธนชาติ ให้เยอะกว่าที่อื่นแต่จะจุกจิกกว่าคือต้องมีคนค้ำ รายได้คนค้ำต้องถึง ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 สรุปรวมมือ 1 รุ่นนี้ล้านกว่า แต่ถ้าผ่อน 6 ปี รวมดอกเบี้ย ตกอยู่ 720000 ก็เกือบ 800,000 แต่ถ้าเราไปออกรถมือ 1 ก็คงไม่มีเงินดาวน์เป็นแสน (ไม่อยากรอเก็บแล้ว น่าจะยากกว่า) และก็คงได้แต่รุ่น 5 แสนกว่า พวกคันเล็กค่ะ แต่ข้อดีของรถมือ 1 คือดอกถูกคิดว่าน่าจะอยู่แค่ ร้อยละ 2

ส่วนสภาพรถถอยออกมาก็วิ่งไปเที่ยวสงกรานต์กันที่สมุยเลย ตอนนี้ 5 เดือนแล้ววิ่งไปต่างจังหวัดประจำ เต็มที่ 180 กม/ชมที่เคยวิ่ง ยังไม่มีปัญหาอะไร เคยมีเรื่องระบบไฟนิดหน่อย กดเอากระจกข้างคนขับลงไม่ได้ แต่อยู่ๆก็หายเอง เห็นทางอู่ว่าน้ำอาจจะเข้าไปที่ระบบไฟ ส่วนคนขับเค้าบอกว่าเรื่องเบรครถโตโยต้ามันจะกระชากกว่า แต่กานต์ว่ามันเป็นทีคนขับเค้าชอบซิ่ง และปาดมากกว่ารวมทั้งขับในกรุงเทพเบรคกระชั้นอยู่บ่อยๆ

แต่ก็ยังคิดกันว่าถ้าครั้งหน้าอาจจะเลือกฮอนด้า เพราะดูสมรรถนะน่าจะดีกว่า จังหวะตอนนั้นชอบรุ่นนี้เลยซื้อมา

แบ่งปันประสบการณ์กัน อันนี้ก็แล้วแต่ความเหมาะสมและความพึงพอใจของแต่ละคนนะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท