ทบทวนตนเองอีกครั้ง...
R2R นี่เรากำลังกระตุ้นให้เกิดอะไรกันแน่ในสังคม... มองไปทางไหน ต่างเห็นผู้คนพากันวิ่งเข้าสู่การเรียนรู้เรื่องวิจัย... เรียนไปทำร้ายตนเองไป ที่ว่าอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร?
ก็หมายความว่า ==> เรียนไปก็เครียดไป เพราะเรียนไปไม่เข้าใจ ปรจารย์ระดับไหนมาสอนก็ไม่เข้าใจ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะทำไมถึงไม่เข้าใจ ... ก็เพราะที่เรียนน่ะมันเป็นการเรียนแบบแยกส่วน ไม่ได้หลอมรวมไปเนื้อเดียวกัน เรียนไปตั้งกี่ไม้ ก็ไม่เข้าใจ
จากประสบการณ์ตนเอง...เริ่มเรียนทุกครั้ง ก็ต้องเรียนวิจัยใหม่เสมอ...
เรียนไปได้รู้นิดเดียวเอง เป็นการได้ข้อมูลมากกว่า (Data/Information) แต่ความรู้ (Knowledge)ไปเกิดตอนไหน ก็ไปเกิดตอนที่ลงมือทำวิจัยนั่นแหละ ถึงได้รู้เรื่องว่านี่คือ วิจัย (เป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ)...ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่คนหน้างานไปสมัครเรียนวิจัย หรือทำโครงการเชิญวิทยากรมาสอนวิจัย ทำไมถึงทำกันไมได้ เพราะการเรียนที่ว่านั้นเป็นการเรียนแยกส่วน...
เรานั้นไม่ได้ต้องการเป็นนักวิจัย...หน้าที่เราน่ะไม่ใช่นักวิจัย
แต่หน้าที่เราน่ะคือ คนทำงาน...คนทำงานที่มีงานประจำทำทุกวัน จนบางครั้งก็ล้นมือ
สิ่งที่ทำประจำทุกวันน่ะ ... จะทำอย่างไร ถึงจะพัฒนาและดีขึ้น การพัฒนาน่ะ ต้องเป็นการพัฒนาที่มาจากปัญญาและความปรารถนาที่อยากจะพัฒนา อยากจะทำให้งานที่ทำอยู่นี่มันดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น เจริญขึ้น ... ไม่ใช่การทำซ้ำอันเดิมไปทุกวัน...
กระบวนการที่ทำให้เจริญขึ้นได้นั้น...ต้องมาจากกระบวนการคิดอันเป็นระบบ...คิดแก้ไข ปรับปรุงอันไหนไม่เวิร์คก็นำมาดูพิจารณาหาสาเหตุ หรืออันไหนมันเวิร์คดีอยู่แล้ว ก็ทำให้มันดีขึ้นไป ...
การเรียนรู้นั้นต้องนำการงานที่ทำอยู่มาเชื่อมโยงและมองเห็นให้ชัด
ไม่ใช่ไปเริ่มต้นเรียนวิจัยว่ามีกี่ประเภท แบบไหน...
แต่ควรเริ่มต้นมองมาที่งานตนเองทำให้ออก...หาจุดหรือประเด็นที่จะนำไปพัฒนาได้ เมื่อมองออกแล้ว ต่อไปนั่นแหละถึงจะเป็นเรื่องนำกระบวนการวิจัยมาเป็นเครื่องมือเดินทางไปสู่การพัฒนานั้น
เป้าหมาย... "การงานที่ทำอยู่นี้ต้องดีขึ้น เจริญขึ้น"
เป็นความเจริญทั้งการงานและคนทำงาน ไม่ใช่เจริญแต่งาน แต่คนทำงานต้องทนทุกข์ด้วยความเครียดและกดดัน ... เพราะความหมายของการพัฒนานั้น คือ ความเจริญขึ้น ==> ซึ่งเจริญขึ้นนี่ก็คือ หมายถึงดีขึ้น เมื่อไรก็ตาม ที่ไม่ได้อยู่ใต้ความหมายนี้ นั่นน่ะไม่ได้หมายถึงพัฒนาขึ้น เจริญขึ้น...
การพัฒนางานประจำก็เช่นเดียวกัน...ก็หมายถึง การทำงานประจำนี้ให้ดีขึ้นเจริญขึ้น
ด้วยวิธีไหนล่ะ...?
ก็ด้วยวิธี... "วิจัย"...
ทำไมต้องเป็นวิจัย...?
ก็เพราะวิจัยเป็นกระบวนการที่เป็นระบบ ระเบียบ เป็นเหตุเป็นผล น่าเชื่อถือ เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่การหาคำตอบ...มีหลักการอ้างอิง...
มนุษย์เราน่ะ ได้พรสวรรค์จากธรรมชาติที่ให้สมอง ให้การเรียนรู้ ให้เกิดปัญญา...
กระบวนการทางปัญญาที่เป็นการเรียนรู้แบบนักวิจัย ที่เริ่มต้นด้วยคำถาม ต่อมเอ๊ะ! ทำงาน แล้วแสวงหาคำตอบแบบไม่มั่ว... ทุกๆ คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์น่ะได้มีส่วนนี้อยู่แล้ว
ในการทำ R2R = Routine to Research นั่นน่ะ...เป็นกระตุ้นกระบวนการทางปัญญาของคนหน้างานให้ได้ดึงทักษะ (ทางวิจัย) ที่มีอยู่แล้วในตนเองออกมาใช้
ส่วนเรื่องรายละเอียดเรื่อง Research Methodoly หรือระเบียบวิธีวิจัย เป็นเสมือนแผนที่และข้อมูลนำทาง หรือเข็มทิศ...หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะไปสู่การหาคำตอบนั้นของเรา
เมื่อไรใครเริ่มต้นไป...เรียนวิจัย...
เมื่อนั้นจะตกม้าตายด้วยความท้อแท้ก่อน...
หากคนหน้างาน ที่ต้องการพัฒนางานประจำของตนเอง ...จะเริ่มต้น พึงเริ่มต้นมองตนเองให้ออกก่อน ว่าตนเองนั้นกำลังทำงานอะไร งานประจำของตนเองนั้นคือ อะไร มีคุณค่าอย่างไร มีประเด็นไหนที่น่าจะเพิ่มคุณค่านั้นให้เพิ่มมากขึ้นได้...เพิ่มคุณค่าแล้วได้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นและตนเองอย่างไร...
เมื่อมองออกนี่แหละ...
จะเป็นหนทางที่พอจะคลำทางเดินไปได้ไปสู่การพัฒนางานประจำของตนเอง...
ปัญหา..ที่พบจากคนตั้งต้นไปเรียนระเบียบวิธีวิจัยก่อน คือ ความงงงวยว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อน ถามว่าลักษณะนี้ทำต่อได้ไหม ผิดไหม ...==> คำตอบก็คือ ทำได้ไม่ผิด แต่เครียด กดดัน และบางคนก็กลัวการทำวิจัยไปเลย... นี่แหละเราถึงส่งเสริมให้คนหน้างาน คนปฏิบัติงานรายวัน ไม่กล้าพัฒนางานประจำของตนเอง เพราะขยาด ขลาดกลัวการทำวิจัย...
คุยคนเดียวเรื่อง R2R
คุยบ่อยๆ หากไม่คุยกลัวหลงทาง
๑๕ เมษายน ๒๕๕๒
------------------------------------------------------
มาเยี่ยมยามเรียนรู้ จาก ฅน รุ่นใหม่ ครับ
ขอบพระคุณค่ะท่าน อ.หมอ JJ
เรื่องที่ต่างกาลเวลา...ยังไม่เหมือนเดิมเลยค่ะท่าน
เพียรเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ค่ะ...
(^___^)
สวัสดีค่ะ น้องกะปุ๋ม
ด้วยความเคารพอาจารย์วิจารย์ พานิช และ
ด้วยความรักน้องกะปุ๋มเสมอค่ะ
พี่ติ๋ว.
"ด้วยความเคารพอาจารย์ วิจารย์ พานิช"
...ขอแก้ไขเป็น
ด้วยความเคารพอาจารย์วิจารณ์ พานิช ค่ะ
สวัสดีค่ะ...พี่ติ๋ว...
เมื่อวานเห็นแว้ปๆ แต่ยังไม่ได้เข้ามาตอบ...
ขอบพระคุณพี่ติ๋ว...ที่มาสนับสนุนคนหน้างานเสมอ
กะปุ๋มก็พยายามทำเท่าที่ทำได้ และพึงทำในส่วนที่เป็นหน้าที่ของตนเองค่ะ...มากกว่านี้ก็มีบารมีไม่มากพอ แต่อย่างน้อยหากได้สัมพันธ์กันเอง กะปุ๋มก็จะแนะนำไม่ให้เริ่มต้นหรือตั้งต้นที่ระเบียบวิธีจัยก่อนค่ะ แต่จะให้คิดแบบเป็นกระบวนการวิจัยมากกว่า...
ฝึกคนให้คิดเป็นแบบวิจัย คือ มุ่งแสวงหาคำตอบ
แต่วิธีการให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับหนทางของแต่ละเรื่องราวและบุคคล และตอบคำถามหน้างานนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นสูตรสำเร็จตายตัวแน่นอน...และที่สำคัญจะดูความพร้อมของคนหน้างานก่อนค่ะ
(^___^)
รักและคิดถึงพี่ติ๋วเสมอนะคะ
กะปุ๋ม
ผมว่าถ้าจะไม่เหนื่อยจะต้อง R-R-R ครับ
คือ จาก routine ทำ research แล้วเอาผลมาทำเป็น routine อีก
แล้วคนทำก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น และเกิดความภาคภูมิใจ จะนำไปสู่ความสุขครับ
ขอบพระคุณค่ะ.... นพ.สาโรจน์ - สันตยากร
อย่างที่ท่านกรุณาเสนอกะปุ๋มมองเป็นภาพหมุนเป็นเกลียว...แบบไม่หยุดนิ่งเลยนะคะ...เมื่อถึงตอนนั้น ชีวิตการทำงานของคนหน้างานคงจะสนุกนะคะ... และที่สำคัญคือ จุดเริ่มนี่แหละค่ะ ที่จะไม่นำพาให้คนหน้างานตื่นกลัว และขยาดจนถอยหนีไป... :)
เมื่อใดที่ลองเรียนรู้สัก เมื่อนั้น ... วงล้อแห่งเกลียวนี้จะค่อยไหลไปได้เอง เมื่อนั้นการเคลื่อนเข้าสู่ความเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจะมีมากขึ้นในการทำ R-2-R-2-R-2-R...
(^____^)