๔ ธ. ค. ๔๘
ออกไปวิ่งริมออกกำลังที่ถนนหน้าโรงแรม ชื่อถนน Sivatha
เป็นถนนไม่มีเลน
คือไม่มีเส้นแบ่งเลน ดูจากความกว้างประมาณ ๓
เลน ข้อดีคือมีส่วนทางเดินริมถนนกว้างมาก ประมาณ ๖
เมตร
มีรางระบายน้ำใต้ดินริมถนนแต่ไม่ทำงาน
เพราะมีแต่การสร้าง แต่ไม่มีการบำรุงรักษา
อันนี้ผมว่าอาจจะมี ๒ สาเหตุ (๑)
มีคนสนใจแต่การสร้างเพราะได้ประโยชน์จากธุรกิจก่อสร้าง
ทั้งที่เป็นประโยชน์บนดิน และประโยชน์ใต้ดิน (๒)
ไม่เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะทำหน้าที่ได้ต้องมีอย่างน้อย ๒
องค์ประกอบ คือวัตถุ (รูปธรรม) กับความเอาใจใส่ดูแล
ไม่ว่าจะเป็นลูกเมีย หรือบ้าน หรือสถานสาธารณะ
ความรู้สึกแรกที่ออกมาเห็นริมถนนคือขยะเกลื่อนกลาด
แสดงระดับวัฒนธรรมว่าด้วยความสะอาดของเมือง
ผมวิ่งริมถนน (ทางเท้ารก วิ่งไม่ได้) มุ่งใต้ผ่านธนาคารกรุงไทย
บริษัทแคมชิน (Camshin)
ที่มีโลโก้เหมือนบริษัทชินในเมืองไทย
ไปจนถึงบริเวณที่น่าจะเป็นท่ารถโดยสารซึ่งเริ่มจะออกนอกเมืองก็วิ่งกลับ
บริเวณนี้เขาเก็บต้นมะพร้าวสูงเกือบ ๒๐
เมตรไว้หลายต้น ระหว่างทางกลับสังเกตเห็นโรงแรม De
la Paix ใหม่เอี่ยมปลูกต้นตาลตโนดขนาดสูง ๓ – ๔ เมตร
โดยวิธีย้ายต้นมาปลูก
ให้เห็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีไม้ประดับที่มากับการท่องเที่ยว
วิ่งกลับมาถึงโรงแรมอังกอร์
สตาร์เห็นถนนซอยตรงข้ามโรงแรมมีต้นไม้ใหญ่มากสองข้างทางจึงเดินไปดู
และเลยไปถึงสี่แยกไฟแดงก็พบว่าเป็นถนนสายที่ ๖
ซึ่งเป็นถนนสายหลักเส้นหนึ่งของประเทศ
ผมหมายตาเป้าจับภาพไว้หลายที่
เอาไว้ให้สว่างอีกหน่อยจะมาเก็บภาพไว้
เรื่องประเทศกัมพูชาจากวิกิพีเดียมีประโยชน์มาก
ทำให้ผมทราบว่าพลเมืองกัมพูชา
เชื้อชาติที่มีมากอันดับสองคือจาม
ที่สมัยก่อนเรียกแขกจาม
คนกรุงเทพจะรู้จักมุสลิมบ้านครัวแถวเจริญผล
นั่นแหละครับคนจาม
คนเชื้อสายจามที่โด่งดังที่สุดในขณะนี้น่าจะเป็น ผบ. ทบ. พลเอกสนธิ
บุณยะกลิน
จะเห็นว่าคนจามได้ผสมกลมกลืนกับสังคมไทยจนเป็นคนไทยเต็มตัวไปแล้ว
ไม่ถือเป็นชนกลุ่มน้อย
ภาพใหญ่ของพื้นที่ที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน
มีคนตั้งถิ่นฐานกว่า ๓ พันปี
ผมแบ่งอารยธรรมในดินแดนนี้เป็น ๓ ช่วง คือ (๑)
ช่วงก่อนอาณาจักรขอม จุดเด่นคืออาณาจักรฟูนัน และอาณาจักรเจนละ
ในช่วงคริสตศตวรรษที่ ๒ – ๔ (๒) ช่วงอาณาจักรขอม
ซึ่งรุ่งเรืองในคริสต์ศตวรรษที่ ๙ – ๑๓
ในสมัยที่รุ่งเรืองสูงสุด อาณาจักรขอมกว้างไกลมาก
ทางตะวันตกไปถึงพม่า
ทางตะวันออกไปถึงเวียดนาม
ทางตอนเหนือไปจดจีน
และทางใต้ถึงแหลมมะลายู
ปราสาทเมืองสิงห์ที่กาญจนบุรี และพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี
เป็นพยานหลักฐานว่าอิทธิพลของขอมไปถึงบริเวณนนั้น
ช่วงนี้ขอมรบกับอาณาจักรจัมปา
ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม สยามก็ไปช่วยรบด้วย
ดังปรากฏในภาพสลักหินที่นครวัด มีทั้งกองทัพละโว้
และกองทัพสยาม (๓) ช่วงหลังอาณาจักรขอม
ร่องรอยที่ผมอยากมาดู คือ ช่วงที่ ๒ และ ๓
น้ำตกกะบาลสะเปียน
ศิวลึงค์ใต้ธาร
นี่เป็นจุดแรกและจุดสุดยอดของวันนี้
เพราะต้องนั่งรถไปกว่าชั่วโมงและลงจากรถเดินไปประมาณ ๓
กม. เป็นทางขึ้นเขา ที่มีช่วงชัน หรือต้องปีน ๓
จุด เมื่อกลับมาได้อย่างเรียบร้อย
ผู้สูงอายุทุกคนเกิดความมั่นใจในสุขภาพของตนเอง
สิ่งที่ไปดูตีความได้หลายอย่าง
ตามวิธีมองของคนสมัยนี้ (๑)
เป็นร่องรอยของความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของศิวลึงค์
จึงแกะสลักหินใต้น้ำในลำธารต้นน้ำเป็นหัวกลมๆ
แล้วบอกว่าเป็นศิวลึงค์
และบอกว่าน้ำที่ผ่านศิวลึงค์เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
(๒)
ผมเดาว่าคนที่มาแกะสลักศิวลึงค์จำนวนพันนี้คงจะได้รับคำบอกว่าได้บุญสูงส่ง
จึงมีแรงบันดาลใจสูงมากในการทำงานในป่าทึบต้นน้ำ
ทำให้งานยากๆ สามารถบรรลุได้ โดยศรัทธา (๓)
มีคนบอกว่านี่เป็นวิธีสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้น้ำ
ไม่ให้ผู้คนทำลายต้นน้ำ หรือทำความสกปรก (๔)
ดูจากกิจการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของเสียมราฐในขณะนี้
เห็นได้ชัดเจนว่าผลของการทำงานที่ยากอย่างมหัศจรรย์เหล่านี้
ช่วยทำรายได้เลี้ยงลูกหลานคนเขมรโบราณเจ้าของผลงาน
นอกจากศิวลึงค์
เราเห็นรูปสลักโยนีใต้น้ำหนึ่งที่
แวดล้อมด้วยศิวลึงค์จำนวนร้อย
ชม
“พันลึงค์” ใต้น้ำและบางส่วนเหนือน้ำแล้ว
เราปีนลงไปดูน้ำตก ชักรูป
แล้วเดินกลับด้วยความอิ่มเอม ทริปนี้ใช้เวลาเดิน ๒
ชม. เศษ
นารายณ์บรรทมสินธุ์ และศิวลึงค์นับพัน ศิวลึงค์เรียงแถว
ศิวลึงค์และโยนี ศิวลึงค์นับพันในลำธาร
บันทายศรี
ปราสาทที่ฝีมือแกะสลักละเอียดงดงามที่สุด
ทำด้วยหินทรายสีชมพู
ชื่ออาจแปลว่าปราสาทแห่งความงาม หรือปราสาทแห่งสตรี
ก็ได้ ความพิเศษคือไม่ได้สร้างโดยกษัตริย์
แต่สร้างโดยที่ปรึกษาของราชา
ชื่อจริงคือปราสาทแห่งเทวะทั้งสาม คือเทวะผู้สร้าง ผู้ปกปักรักษา
และผู้ทำลาย
ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
ลวดลายแกะสลักหินประณีตที่สุด |
ลวดลายแกะสลักหินสีชมพู |
สุดยอดความงามของหินแกะสลัก |
โตนเลสาป
นั่งรถผ่านสลัม
มีบ้านเคลื่อนที่ทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง เสาสี่ต้น
สามารถยกโดยคนสี่คน หนีน้ำได้
ลงเรือแล่นชมทะเลสาบ มีเรือนแพ
และเรือที่ใช้เป็นบ้าน
มีโรงเรียนลอยน้ำ
สถานีตำรวจลอยน้ำ
ห้องสมุดเคลื่อนที่
ศูนย์การค้าลอยน้ำ ได้เห็นชีวิตชาวน้ำ
ซึ่งต่างจากชีวิตคนไทยที่เป็นวัฒนธรรมบก
ยิ่งขึ้นทุกวัน
มีเด็กชาวเวียดนามมาแสดงการนั่งในกะละมังผาดโผนเพื่อขอเงิน
เป็นอาชีพอย่างหนึ่ง
ระหว่างทางเกิดรุ้งกินน้ำสองวง ไปได้หน่อยฝนตก
คนที่ขึ้นไปนั่งชั้นดาดฟ้าต้องลงมาในเรือ
บ้าน |
รุ้งกินน้ำเหนือฟ้าเรือนแพ |
สองพี่น้องวณิพกนักแสดง |
อาหารเย็นและชมการแสดง
ที่ภัตตาคาร โตนเล แม่โขง อาหารบุฟเฟ่ต์
หลากหลายมาก และรสถูกปากคนไทย การแสดงมี
รำเบิกโรง รำทำนา รำนกยูง
(คล้ายฟ้อนนกไทใหญ่) รำเก็บไข่มดแดง
รามเกียรติ และฟ้อนนางอัปสรา
รามเกียรติเขมร |
รำนกยูง |
รำอวยพร |
ซื้อหนังสือ
๒ เล่ม ในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ คือเล่มละ ๒๐๐
บาท
ซี้อที่อาคารห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว
และภายหลังได้ซื้อเพิ่มอีก รวมเป็น ๓ เล่ม
1. Along the Royal Road to Angkor. By Hitoshi Tamura &
Yoshiaki Ishizawa
2. Ancient Angkor Book Guide. By Michael Freeman and Claude
Jacques.
3. Lonely Planet 2005. Cambodia.
เล่มนี้ซื้อจากเด็กที่ปราสาทนาคพัน ราคา ๒๐๐
บาทเช่นกัน
ไม่มีความเห็น