24. วิ่งตามช้าง....ในด่านช้าง


ฝนเริ่มลงเม็ด พวกเราก็ออกวิ่ง ตอนนั้นยังไม่มืดผมมองเห็นรอยเท้าช้างอย่างชัดเจน

       เปิดเทอมแรกการสอนของครูคนเดียวไม่ยุ่งยากมากนัก เช้าสอนเลขโดยเขียนโจทย์เลขบนกระดานดำแล้วให้เด็กทำในกระดานชนวน เขียนเรียงชั้นตั้งแต่ ป.4 ลงมาจนถึง ป.1 พอเขียนครบทุกชั้น ก็พอดีเด็ก ป.4 ทำแบบฝึกหัดเสร็จ ผมก็ไปอธิบายวิธีทำในชั้น ป.4 ให้เด็กเปลี่ยนกันตรวจ อธิบายทุกข้อแล้วก็ไปอธิบายชั้น ป.3 และชั้น ป.2 ส่วนชั้น ป.1 แรก ๆ ก็เพียงให้รู้จักตัวเลขก่อน โดยให้เด็กที่สอบตกพาอ่านตัวเลข แล้วให้คัดเลข 1-10 เดือนแรกเด็กเขียนเลขได้ก็นับว่าเก่งแล้ว 

       ตอนบ่ายเป็นวิชาภาษาไทย เริ่มสอนก็ให้เด็กชั้น ป.4 และ ป.3 คัดตามหนังสือก่อน แล้วผมมาเขียนบทเรียนบนกระดานดำให้เด็กชั้น ป.2 อ่านทีละคนบนกระดานดำคนอื่นๆ อ่านตาม ส่วนเด็ก ป.1 สอนอักษรไทยวันละตัว โดยผมเขียนอักษรไทยบนกระดานดำ แล้วให้เด็กอ่านทีละคน คนอื่นอ่านตามเช่นกัน พออ่านครบทุกคนก็ให้คัดลงบนกระดานชนวนจนเต็มกระดานชนวน เสร็จแล้วนำส่งครู ตอนที่เด็ก ป.1 และ ป.2 อ่านจบก็พอดีเด็ก ป.3 และ ป.4 คัดเสร็จ ผมก็ให้เด็กอ่านทีละคน แต่ตอนนี้เด็กที่เหลือไม่ต้องอ่านตาม คอยฟังเงียบๆ หากเด็กอ่านผิดผมก็จะบอกให้อ่านใหม่ หากอ่านไม่ได้ก็จะช่วยเขาสะกดคำ กระบวนการนี้เสร็จก็พอดีถึงเวลาเลิกโรงเรียน การสอนดำเนินไปเช่นนี้ทุกวัน จนหมดสัปดาห์

        เย็นวันศุกร์พ่อเหรียญบอกผมว่า พรุ่งนี้ได้นัดกับทิดมีและชาวบ้านอีกสามคน จะไปตามรอยหมูป่า เพราะสองวันมานี้ฝนตกตลอดเหมาะสำหรับตามรอยหมูป่า ผมตื่นเต้นทันทีและขอไปด้วย

        "ไปครั้งนี้ไกลมากนะครู" พ่อเหรียญบอก "เป็นป่าใหญ่ห่างจากบ้านเราคงสิบกิโลได้ละมั้ง และอาจจะเข้าไปในเขตประเทศลาว ครูจะเดินไหวหรือ"

        "ไหวแน่" ผมบอกด้วยความอยากไป "ผมจะนอนตั้งแต่หัวค่ำจะได้มีเรี่ยวแรงเยอะๆ"

         พ่อเหรียญหัวเราะแล้วพยักหน้าตกลงให้ผมไปด้วย แล้วแกก็ร้องบอกหลินให้เตรียมจัดเสบียงการเดินป่าให้ผมด้วย

        เช้าวันเสาร์พวกเราหกคนเดินออกจากบ้านคำบากตั้งแต่แดดยังไม่ร้อน ทิดมีเดินนำหน้าเหมือนเช่นเคย คราวนี้ผมเดินถัดมาเพราะอยากจะคุยกับทิดมีในขณะเดินทาง

        "หมูป่ามีเยอะไหมครับ ทิดมี" ผมเริ่มคำถามแรกหลังจากที่เราเดินผ่านโรงเรียนและข้ามลำธารเล็กๆ หลังโรงเรียนแล้ว

        "มันก็เยอะอยู่หรอก แต่ก็ใช่ว่าจะเจอมันง่ายๆ" คำตอบของทิดมีทำให้ความฮึกเหิมของผมลดลงทันที "แต่ฝนตกดินอ่อนอย่างนี้คงพอตามรอยมันง่าย" ทิดมีพูดต่อซึ่งทำให้ผมพอมีหวังขึ้นมาอีก

        พวกเราเดินเงียบๆ ไปตามทางคดเคี้ยวเล็กๆ สองข้างทางเป็นป่าโปร่งบ้าง ทุ่งหญ้าเล็กๆ บ้าง เลาะเลียบไปตามไหล่เขาและหุบเขา จนตะวันตรงศรีษะ พวกเราก็มาถึงเชิงเขาลูกหนึ่ง

       "พักกินข้าวก่อนเถอะ" พ่อเหรียญพูดมาจากท้ายสุด "เดี๋ยวครูจะไม่มีแรงขึ้นเขา" แกพูดจบก็หัวเราะ ผมได้แต่ยิ้ม ส่วนใจนึกขอบคุณเพราะตอนนั้นผมหิวแล้ว

       พวกเราแวะเข้าข้างทาง ใต้ต้นไม้ใหญ่ วางสัมภาระลง ล้วงห่อข้าวของแต่ละคนออกมาวางรวมกัน แล้วนั่งล้อมวงกินข้าวเที่ยง ซึ่งผมเป็นคนอิ่มคนสุดท้ายเหมือนเดิม

       หลังอาหารผมสังเกตว่าไม่มีใครสูบบุหรี่เลย จึงถามด้วยความสงสัย

       "เข้าป่าใหญ่เขาไม่สูบยาหรอก" พ่อเหรียญเป็นคนตอบ แล้วแกก็ไม่พูดต่อ แต่ผมก็นึกออกในทันทีว่า ยาฉุนมีกลิ่นแรง จะทำให้สัตว์ได้กลิ่นแล้วหนีไปหมดนั่นเอง

        พวกเรานั่งพักครู่เดียวก็ออกเดินต่อ คราวนี้เป็นการเดินขึ้นเขาที่มีความชันประมาณสี่สิบองศา พอเดินขึ้นไปได้สักพัก สภาพของป่าก็เปลี่ยนไป จากป่าโปร่งเป็นป่าทึบ ต้นไม้ใหญ่มีมากขึ้นแผ่กิ่งก้านบดบังแสงอาทิตย์ จนทำให้อากาศเย็นลงกว่าตอนก่อนขึ้นเขาเป็นอันมาก พวกเราไต่เขาขึ้นไปท่ามกลางป่าที่ค้อนข้างทึบ และอากาศเย็น จนมาถึงบนเขา่ สภาพป่าก็เปลี่ยนไปอีก คราวนี้เป็นทุ่งโล่งพอๆ กับสนามฟุตบอล ข้างหน้าไกลออกไปเป็นแนวป่าใหญ่ 

         ถึงตอนนี้ทิดมีกับพ่อเหรียญได้ปรึกษากัน ที่จะแยกกันเดินเป็นสองสายเพื่อหารอยหมูป่า ผมไปกับพ่อเหรียญและชาวบ้านอีกหนึ่งคน ทิดมีไปกับชาวบ้านอีกสองคน โดยกำหนดทางเดินเป็นวงโค้งแล้วมาบรรจบกันตอนใกล้ค่ำ

         บนเขาสูงทุ่งโล่ง ลมพัดแรง อากาศสบายๆ แต่ตอนนั้นผมมีเหงื่อโชกแผ่นหลังด้วยความตื่นเต้น สายตามองกวาดไปทั่ว ปืนแก๊ปประจำตัวอยู่ในท่าแบกที่พร้อมจะปลดออกมายิงได้ทันที แต่...เราไม่เจอสัตว์เลย รอยหมูป่าก็ไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงนกที่ร้องมาแต่ไกล จนใกล้ค่ำทิดมีกับชาวบ้านสองคนก็มารวมกัน

        "เห็นรอยหมูป่าไหม" พ่อเหรียญถามทิดมี ทำให้ผมจ้องทิดมีด้วยความหวัง

        "เจอ" ทิดมีบอกสั้นๆ หน้าตาเฉย แต่ผมใจเต้นโครมคราม กำลังจะถามต่อ แต่ทิดมีพูดตัดบทว่า

        "ฝนจะตกแล้ว รีบไปหาที่หลบฝนเถอะ" ผมเพิ่งสัมผัสว่าอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว จึงรีบเดินตามทิดมีที่เดินออกไปก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว

        ทิดมีพาเดินเข้าไปในแนวป่าที่อยู่ข้างหน้า พอเข้าไปไม่ลึกนักผมก็สังเกตเห็นว่า ทางเดินของเราเป็นทางกว้างขนาดสองวาเศษ พื้นเป็นดินเรียบแน่นแทบไม่มีหญ้าขึ้นเลย สองข้างทางเป็นป่าทึบมีกิ่งไม้สอดรับกันเหนือทางเดินขึ้นไปประมาณสี่เมตร ผมขนลุกซู่ นี่กระมังที่ชาวบ้านป่าเรียกว่า "ด่านช้าง"

        ฝนเริ่มลงเม็ด พวกเราก็ออกวิ่ง ตอนนั้นยังไม่มืด ผมมองเห็นรอยเท้าช้างอย่างชัดเจน เห็นแม้แต่รอยเล็บ ช้างตัวนั้นมันวิ่งไปข้างหน้าทางเดียวกับพวกเรา ผมเริ่มกลัวและคิดหาทางแก้ปัญหาหากเจอช้างป่าอยู่ข้างหน้าผมจะทำอย่างไร แต่คิดไม่ออกได้แต่วิ่งไปด้วยและสวดมนต์ในใจไปด้วย แล้วโชคก็เข้าข้างเรา ก่อนมืดทิดมีก็พาวิ่งออกนอกด่านช้าง ไปยังลำธารเล็กๆ และมีเพิงหินเป็นถ้ำตื้นๆ อยู่ริมลำธาร

อ่านต่อ ตอน 25.หิน..เหล็ก..ไฟ กับไม้น้ำมัน...ธรรมชาติที่ลงตัว

หมายเลขบันทึก: 254551เขียนเมื่อ 9 เมษายน 2009 00:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2018 20:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

สวัสดีค่ะ อ.เปลวเทียน

เข้ามาทักทายค่ะ

การเดินป่า น่าจะสงบดีนะคะ

ขอให้มีความสุขในการทำงานนะคะ

หวัดดีค่ะอาจารย์เปลวเทียน

น่าสนุกจังนะคะ ป่าใหญ่ๆอย่างที่อาจารย์เล่าดิฉันยังไม่เคยเจอเลยค่ะ คงตื่นเต้นน่าดูเลยนะคะ 

อยากรู้จังถ้าเจอช้างจริงๆอาจารย์จะทำไงคะ  จะวิ่งหนีไหมคะ (อิอิอิ)

ช้างตัวออกจะโตๆ  ช้างป่าด้วยคงจะดุน่าดูค่ะ

จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ

กลยุทธ์ที่อาจารย์ใช้สอนเด็ก ป 1-4 โดยครูคนเดียวเก่งจริงๆค่ะ

คงเหนื่อยน่าดูนะคะ

แต่วันหนึ่งคงผ่านไปเร็วมากเลยค่ะ  วิ่งไปห้องโน้นมาห้องนี้ เสียงคงแทบไม่มีแน่ๆเลยค่ะพอหมดชั่วโมงสอน   

 ครูหนุ่มไฟแรง   แต่อาจารย์ใจเย็นจริงๆนะคะ  เด็กไม่ใช่จะสอนง่ายๆ 

นับถือค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณเปลวเทียน

เข้ามาทักทายค่ะ นอกเรื่องหน่อยนะคะ

มีอะไรดีๆทางนั้น เกี่ยวกับวันสงกรานต์

เก็บมาฝากบ้างนะคะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณเปลวเทียน

อ่านเรื่องราวของท่านแล้วทำให้นึกถึงชีวิตวัยเยาว์ พ่อเป็นครูคนเดียว แล้วก็มีชาวบ้านตามไปล่าหมูป่าด้วยเหมือนกัน แต่เป็นโรงเรียน/ป่าในจังหวัดพังงา สมัยนั้นอยู่ในเขตกิ่งอำเภอเกาะคอเขาค่ะ เป็นความประทับใจไม่รู้ลืม วันนี้ ลูกพ่อได้ไปทำงานในโรงเรียนที่มีครู ๒ คน (ครู ๑ คน ผอ.อีก ๑ คน)วันแรกเข้าห้องนักเรียน ก็เริ่มงง เอ จะทำอย่างไรดี แต่พอดีเข้าช่วงสอบปลายภาค เลยรอดไป แต่เทอมหน้า ไม่รอดแน่ ขอเชิญท่านเปลวเทียนได้โปรดแนะนำ/ให้ข้อคิดด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ใช่ครับ ครูภัทรานิษฐ์ เจริญธรรม

สงบมาก หลุดจากความวุ่นวายทั้งปวง

แต่บนยอดเขาหากใกล้บ้านจะได้ยินเสียงในหมู่บ้านชัดเจนดีเลยนะครับ จนเกือบสองทุ่มถึงจะเงียบ คราวนี้เงียบจริงๆ จนมีคนเขาบอกว่า "ได้ยินเสียงในความเงียบ"

เรื่องสงกรานต์ตั้งใจจะเขียนเหมือนกันครับ แต่....คงเป็นสงกรานต์ที่อุบลฯ เพราะจะกลับบ้านครับ ฮิฮิ

เจอช้างจริงๆ ไม่แบนก็เละสิครับ หรือไม่งั้นก็ทั้งแบนทั้งเละ แต่.....คงไม่เป็นไร คนดีผีคุ้ม ฮิฮิ

ตอนต่อไป...ไม่มีช้างแล้วครับ แต่มีหมูป่าเขี้ยวตัน ซ่า...หนุก...ฮิฮิ

เรื่องสอนเด็ก...ผมว่าคงจะวุ่นน้อยกว่าพยาบาลตอนปีใหม่ สงกรานต์ และเทศกาลชนมหาวินาศ แน่นอน คุณดุจดาวคงไม่ได้เที่ยวสงกรานต์แน่เลย

จะเที่ยวเผื่อนะครับ ฮิฮิ

อ้อ....ผมคงขับรถผ่านหน้า ม.ข. ในวันที่ ๑๑ เม.ษ. จะส่งกำลังใจไปช่วยดูแลคนป่วยนะครับ

ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่ไทย และมีความสุขตลอดปี ๒๕๕๒ ครับ

สวัสดีครับ คุณครูศิริวรรณ

การสอนเด็กผมว่า เราต้องเข้าใจเขา เห็นใจเขา และยอมรับว่าเขาก็คือคน มีจิตใจมีเลือดเนื้อ มีความต้องการเช่นเดียวกับเรา ความใจเย็น สนใจทุกคนทุกเรื่องจะช่วยเราได้มากครับ

ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ส่งเมล์ไปคุยกับผมได้ ผมเป็นคณะทำงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และวินัยเชิงบวก ของ สพฐ. คงจะพอช่วยได้บ้าง

สมาชิกท่านอื่นก็เช่นเดียวกันครับ ยินดีเป็นแฟนคลับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ

ขอชื่นชมคุณพ่อคุณครูที่มีลูกสาวดำเนินรอยตาม เป็นแม่พิมพ์ของชาติที่มีวิญญาณครูอย่างเต็มเปี่ยมครับ

สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์เปลวเทียน

ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ  สุขภาพดีทั้งกายและใจ

เที่ยวให้สนุกในวันปีใหม่นะคะ

ว้าๆเสียดายจังค่ะ ไม่ทราบว่าอาจารย์จะผ่าน

ไม่งั้นให้อาจารย์แวะรดน้ำดำหัวขอพรปีใหม่แล้วค่ะ

ปีนี้ไม่ได้หยุดค่ะอาจารย์ คนไข้อาการหนักจำหน่ายไม่ได้ค่ะ

 

ปรากฏว่า ๑๑ เฒ.ย. ไม่ได้ผ่าน ม.ข. วางแผนว่าจะผ่านขากลับ ๑๔ เม.ย. จากอุบลไปมุกดาหาร ค้าง ๑ คืน เช้า ๑๕ เม.ย. ออกจากมุกดาหาร -ขอนแก่น ผ่านหน้า ม.ข. ประมาณสิบโมง แต่ตอนนี้แผนเปลี่ยน ไม่กล้าผ่านตัวเมือง (กลัวม็อบ ฮิฮิ) และไม่ไปมุกดาหารแล้ว กลับทางศรีสะเกษ-สุรินทร์-ลัดเลาะไปตามอำเภอเล็ก ๆ ไม่มีเสื้อแดง แน่นอน ฮ่า ฮ่า

ผมก็คิดว่าคุณดุจดาว ไม่ได้หยุดแน่ ๆ

เอาเป็นว่า ขอให้มีความสุขในการทำงานครับ

ขอให้อาจารย์เดินกลับโดยสวัสดิภาพนะคะ อาจารย์คงสนุกนะคะได้เดินทางไกลๆชมวิว ทางผ่านทุ่งนาสวยๆ

ขอนแก่นม๊อบเสื้อแดงมีที่อำเภอบ้านไผ่ค่ะ ในตัวเมืองไม่มีค่ะอาจารย์

วันนี้ไปเดินเที่ยวสงกรานต์ถนนข้าวเหนียวสนุกดีค่ะ(จริงไม่ค่อยมีน้ำสาดกันหรอกค่ะ ส่วนมากปะแป้งกันค่ะ)

เค้าเล่นกันสุภาพมากค่ะ ไม่มีคนเมาเลยค่ะ

ขอบคุณครับ

มาถึงบ้านหกทุ่ม เพราะกว่าจะได้ออกเดินทางก็เกือบบ่ายโมงแล้ว

ถนนค่อนข้างโล่ง มีรถเยอะหน่อยแถวพุทไธสง ประทาย สีดา บัวใหญ่ ชัยภูมิ แต่ก็ไม่ถึงกับติด ไปได้เรื่อยๆ (๘๐-๑๐๐ ก.ม./ชั่วโมง) นอกนั้นวิ่งได้คล่องตัว (๑๑๐-๑๓๐ ก.ม./ชั่วโมง)

เล่นสุภาพดีจังเลยนะครับ น่าสนุก

อยากไปเที่ยวป่าค่ะ

ชอบเที่ยวป่า แต่ไม่เคยได้ไปเลย

สุขสันต์ทุกวันค่ะ

สวัสดีคุณกอก้าน

เมืองไทยมีหลายแห่งครับ ไปปล่อยความเครียดให้ออกจากตัว ก็ดีนะครับ ปีที่แล้วผมไปกาญจนบุรี ไปนอนที่ด่านเจดีย์สามองค์ มีความสุขมากครับ

มีความสุขทุกวันเช่นกันครับ

แวะมาส่งความคิดถึงค่ะ

ช่วงนี้เนตไม่ค่อยสบาย

อาจไม่ค่อยได้แวะมาบ่อย ๆ

แต่คิดถึงและห่วงใยเสมอค่ะ

พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดแล้วค่ะ

มีงานรอเพียบ...

แต่จะแว่บ...มาทักทายนะคะ

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

เปิดเทอมแล้วเหรอ....ขยันจริงๆ

เรื่องเน็ต ผมโชคดีไม่ค่อยจะเกเร แต่..ผมค่อนข้างจะเกเร เพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน

คิดถึงและห่วงใยเสมอเช่นกันครับ ขอให้ทำงานให้สนุก มีอะไรจะให้ผมช่วยเหลือบอกมาได้นะครับ พวกเราพี่น้องกัน

จะแวะไปทักทายที่บล็อกบ่อยๆ เช่นกันครับ

ที่ท่านเขียนมา ในเรื่องการออกผจญภัย เวลาว่าง ทำให้นึกคิดอยู่ว่า ทุกวันนี้ จะมีการผจญภัยของคุณครูไกลปืนเที่ยงแบบนี้ยังมีอีกหรือเปล่า ที่สอนนักเรียนอยู่ในดงป่าดอน เหมือนเพลงเลย แล้วตำแหน่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ อาจารย์ใหญ่ จนถึงภารโรง ครูคนเดียว สอนในห้องเดียว สอนควบเลย  แดนกันดาร คงจะหาครูมาสอนลำบาก โรงเรียนก็คงเป็นเพิง ไม่มีฝามาแอ้ม  เหมือนเรื่องคุณครูบ้านนอกเปี๊ยบเลยใช่ไหมคะ ท่านเลยเหมาหมด  คงเป็นเด็กในสมัยก่อน ว่านอนสอนง่าย ถ้าในสมัยนี้ แค่ชั้นเดียว เอา ป.1 เถอะคงจับปูใสกระด้งกันน่าดู

ท่านคะที่ดิฉันอ่านมา ท่านได้เล่าเรื่องสมัยก่อนๆ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน มันคงจะไม่ค่อยมีหรือได้เห็นแล้วในสมัยปัจจุบัน และท่านเล่าได้ดีมากเลย มองเห็นภาพได้ อยากจะเก็บเรื่องราวของท่าน สะสมไว้ให้อนุชนรุ่นหลังไว้อ่านจังเลย  สามารถแต่งเป็นนิยายได้ ให้ท่านเป็นพระเอกนะ หรือให้มีพระเอกบ้าง  ผู้ร้ายบ้าง ตอนแต่งนิยาย ให้มันเหี้ยมโหด แล้วก็โชคดี โชคร้ายบ้าง  ว่าไป๊...ว่าไป...

ฮิฮิ...ชีวิตก็เหมือนนิยาย ผมแน่ใจว่าสมัยนี้ก็ยังมีครับ ครูดอย ครูเดินสอนแถวแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ น่าน(บางอำเภอ) แต่ที่อีสานคงไม่มีแล้วครับ

ฮิฮิ..ผมพยายามสมมุติว่าตัวเองเป็นพระเอกอยู่ (ขอบคุณที่ตาถึง ฮิฮิ)

ผู้ร้ายไม่มีครับ หากจะมีก็คือ ความพลัดพราก มีพบก็ต้องมีจาก ครูเปลวเทียนต้องจากเด็กๆ ไป เฮ้อ...คิดแล้วเศร้า นี่ผมจะเขียนตอนจากได้ไหมหนอ..(เพียงคิดถึงผมก็ไม่อยากจะให้การดำเนินเรื่องไปถึงวันที่ต้องจาก...)

ว่าไป๊...ว่าไป เหมือนกันครับ ฮิฮิ

แหะ แหะ

    เจ้าอย่าเยาะเย้ยให้        เรียมเหงา

ดูดุจนายพรานเขา            ล่าเนื้อ

จะยิงก็ยิงเอา                   อกพี่ ราแม่

เจ็บปวดป่านเจ้าเงื้อ           เงือดแล้วราถอย

 

(นี่ก็คัดลอกมานะครับ)

 

ว่าไป๊....ว่าไป เหมือนกันครับ ฮิฮิ ฮ่าฮ่า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท