22.น้องชายของฉัน


จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา

      เย็นวานนี้ที่โต๊ะอาหารในโรงแรมหรูเมืองคนดี สุราษฎร์ธานี สมาชิกท่านหนึ่งได้เล่าเรื่อง "น้องชายของฉัน" ท่านพูดว่า ท่านน้ำตาซึมทุกครั้งที่อ่าน ทุกคนในโต๊ะให้ความสนใจมาก หลังอาหารผมได้มาค้นเรื่องนี้ใน โน๊ตบุ้คของผม เพราะผมก็ได้รับ Forward mail เหมือนกันเมื่อนานมาแล้ว และได้ copy ไว้ โชคดีเจอ เช้านี้พอมีเวลาจึงนำเสนอชาว G2K ท่านใดที่ได้อ่านแล้ว หากอ่านอีกก็จะดีนะครับ ฮิฮิ

 

น้องชายของฉัน 

       
           ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

           วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม้ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

           "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด  ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

            "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ" พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

             ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

             "ผมขโมยเองครับ"

              ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

             พ่อนั่งลงบนเก้าอี้  และด่าว่าน้องชายของฉัน

            " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

            คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด  แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

            กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

           "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

            ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

            แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่มันเหมือนกับว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

           ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...

           เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

           คืนนั้น พ่อนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

          "ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

          "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

          ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

          "ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

           พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

           "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

           คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

 ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

          "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"  แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

          ใครจะรู้ได้ ....... วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

 

          "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

          ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

          ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....

          ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ...... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

          วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

         "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"  ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

         ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...

         ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

         น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

         ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆ ในลำคอ

         "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

          จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า

          "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

          ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

          ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

           วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

          หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

         "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

          แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

          ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด

         "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

         "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..."

           น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

          "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

           ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

           หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

          ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

         น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... เขาบอกกับฉันว่า

          "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

           สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่ง ผู้จัดการบริษัท...
           แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

           วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

         น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

         "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

          คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

         "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

         น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... ฉันบอกกับน้องว่า

         "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

          "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

          น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

          ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

         เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี  เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

         "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

          น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ" และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

          "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

           วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียว เดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ"

         เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน 

          คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

         "ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

          ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

 

          จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

             .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม......

 
            ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปี ตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่ บริษัทฮุนได และในเครือกว่า 20 บริษัท

           ส่วนน้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"

คำสำคัญ (Tags): #น้องชายของฉัน
หมายเลขบันทึก: 253965เขียนเมื่อ 7 เมษายน 2009 07:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2013 00:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีค่ะ

ซึ้งจริงๆ คนทั้งคู่ต่างจำสิ่งดีดี ที่อีกคนหนึ่งทำให้ และคิดแต่จะตอบแทนคุณกัน

แล้วเราล่ะ จำได้ไหมว่า ใครที่ผ่านมาในชีวิตและได้ทำสิ่งดีๆให้แก่เรา(แม้เพียงนิด) และเรา ได้แทนคุณคนนั้นหรือยัง

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดีๆ เช่นนี้

ศิริวรรณ

ดีใจที่ได้พบกันอีกครับ

พระวัดป่านานาชาติรูปหนึ่ง บรรยายในหนังสือว่า "เมื่อท่านอายุ ๑๙ ปี ได้ทดลองเดินทางจากอินเดียไปปากีสถานโดยไม่ใช้เงิน วันหนึ่งหิวมากและเนื้อตัวสกปรก ท่านนั่งอยู่ริมถนนในเมืองหนึ่งที่ปากีสถาน ก็มีหญิงกลางคนเรียกให้ท่านเดินตาม หญิงนั้นพาท่านไปบ้านให้อาบน้ำแล้วเอาเสื้อผ้าลูกชายของนางให้ท่านสวมใส่ จัดอาหารให้รับประทาน

ขณะที่ท่านรับประทาน ท่านคิดว่าหญิงคนนี้ช่างใจประเสริฐมาก ท่านสำนึกในบุญคุณของนางมาก แต่.....ทันใดท่านก็เกิดความสลดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า มีหญิงอีกคนหนึ่งที่ดีต่อท่านมากมาย แต่ท่านไม่เคยสำนึกในบุญคุณเลย

ท่านรีบเดินทางกลับบ้าน เพื่อพบกับหญิงที่มีบุญคุณ และตั้งใจเรียนหนังสือ จนสุดท้ายได้บวชเพื่อทดแทนพระคุณ

พระรูปนั้น ชื่อ "พระสุเมโธ" เป็นชาวอังกฤษครับ

พูดกับคนรอบรู้ ลำบากใจจริง  แปลจากภาษาอังกฤษหรือคะ หรือลอกมา มันเข้าท่าดี สอนใจดี

นิทานก้อมก็ให้คติ ดีมากเลย  แต่ทำไม ชีวิตฉันถึงไม่มีพี่ หรือน้อง ที่ดี ดี  ซักคนเลย   ซักนิดหนึ่งก็ยังหายาก   ฉันจึงเหมือนตัวคนเดียวในโลกที่ต้อง รับผิดชอบตนเอง รับผิดชอบเลี้ยงดูแม่ ต้องเข้มแข็งมาตลอด ปากกัดตีนถีบ ถึงมา อยู่ได้ระดับนี้ ความรู้ระดับปริญญาก็เพิ่งได้กับเขา ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร

 เย็นวานนี้ที่โต๊ะอาหารในโรงแรมหรูเมืองคนดี สุราษฎร์ธานี สมาชิกท่านหนึ่งได้เล่าเรื่อง "น้องชายของฉัน" ท่านพูดว่า ท่านน้ำตาซึมทุกครั้งที่อ่าน

         เราก็ห่วงชีวิตเรา เหมือนกัน ต่างก็ดิ้นรน แยกย้ายไปตามทาง ของใครของมัน

แต่ดิฉันก็ไม่เคยลืมเขาดอกหนา พี่น้องทั้งหลาย ขอให้เขาเอาตัวให้รอดกันทุกคนเถอะ รำพึง ชีวิตมันต้องสู้ ต่างคนก็ออกเดินทาง ไปตามทางของตน ดิ้นรน ด้วยลำแข็ง เพราะเป็นกำพร้าพ่อ ไม่มีใครส่งเสียเลี้ยงดู  ตนต้องเอาตนเองให้รอดก่อน

              วันนี้พารำพึงรำพันอะไรนะ   จะตลกหรือเศร้าดี

 

ชีวิตเหมือนละคร ใครหนอช่างเปรียบเทียบ  

ผมได้จาก Forward mail ครับ มีมาเยอะ เพราะพรรคพวกมาก ส่งมาให้

เป็นจดหมายเวียนแบบ พระครู...(จำไม่ได้..)  ก็มี ที่บอกว่าเมื่อได้รับแล้ว ให้คัดลอกส่งต่อจำนวนเท่านี้เท่านี้ฉบับ หากไม่ส่งจะตาย หากส่งแล้วจะได้เงิน ร่ำรวย อะไรประมาณนี้

ชีวิตคนเรา ก็เท่านี้ครับ เกิดมาไม่มีอะไร พอตายก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้

มีความสุขตามประสา... ไม่เบียดเบียนใคร ก็ โอเค แล้วครับ

วันนี้ ไม่ตลก และก็ไม่เศร้า  เป็นกลางๆ ครับ

เราต้องเดินสายกลาง.... (ไม่ใช่กลางถนนนะครับ.. ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ตัวใครตัวมัน ละครับ....ฮ่า ฮ่า)

 

 

ไม่ใช่พระอาจารย์ ณอน ชยสาโร หรือครับ

สวัสดีครับ คุณพิบูลย์

    น่าจะไม่ใช่  พระอาจารย์ ณอน ชยสาโร นะครับ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลย

ขอบคุณที่แวะมาเม้นท์นะครับ

ย้อนรอย  มาบทความเก่า เราก็เป็นไปได้ ถึงขนาดนี้หรือ

จะครึ่งๆกลางๆ  ครึ่งดีครึ่งร้าย 

เราต้องเดินสายกลาง.... (ไม่ใช่กลางถนนนะครับ.. ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ตัวใครตัวมัน ละครับ....ฮ่า ฮ่า)

 อารมณ์ดีตลอด.....

ครึ่งดีครึ่งร้าย เขาเรียกว่า  บ้า... นะครับ

อย่าเข้าใกล้ดีกว่า นะครับ ฮ่า ฮ่า 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท