การศึกษา


การศึกษา
การศึกษา
 อิสลามเป็นศาสนาที่ส่งเสริมการศึกษา  และความก้าวหน้าทางวิชาการถึงขนาดที่ตราไว้เป็นบทบัญญัติให้มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ    ดังจะเห็นได้จากโองการของกุรอานที่ถูกประทานลงมายังท่านศาสดานบีมูฮำหมัด  ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ว่า   
 
اِقْرأْ بِاسْمِ رَبِّكَ اَلَّذِيْ خَلَقَ
 
เจ้าจงอ่านเถิดในนามแห่งองค์อภิบาลของเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้าง อัลเลาะห์ตะอาลาทรงบัญชาให้อ่าน  ทั้งที่การอ่านนั้นเป็นผลมาจากการศึกษาเท่ากับเป็นการย้ำอย่างหนักแน่นให้รีบเร่งทำการศึกษาเพื่อให้บรรลุผลโดยเร็ว  นั้นคือ  การอ่านออกเขียนได้   เพราะถ้าหากเราย้อนกลับไปมองสภาพของผู้คนในยุคนั้น  ก็จะพบว่า  ความไม่รู้หนังสือมีอยู่โดยทั่วไปในคาบสมุทรอาหรับ นักประวัติศาสตร์บางท่านระบุตัวเลขว่าขณะที่ท่านนบีมูฮำหมัดถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสดาเผยแผ่ศาสนาอิสลามนั้นมีผู้รู้หนังสือ  อ่านออกเขียนได้อยูเพียงสิบเจ็ดคนเท่านั้น
 
และจากวัจนะของท่านศาสดามูฮำหมัดเอง  ที่ได้กล่าวไว้ว่า
طَلَبُ الْعِلْمِ فَرِيْضَةٌ عَلَي كُلِّ مُسْلِمٍ
 
การขวนขวายหาความรู้    ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติของมุสลิมทุกคน  
ดังนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น  ก็จะต้องขวนขวายหาความรู้จะปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความโง่เขลา  หรือจมอยู่กับความไม่รู้หนังสือไม่ได้
จากตัวบทของฮะดีษที่ได้ยกมากล่าวอ้างนั้น  เป็นฮะดีษที่กินความกว้างๆ  ไม่ได้ระบุอย่างแน่ชัดลงไปว่า   การขวนขวายหาความรู้เฉพาะด้านศาสนาเท่านั้นที่เป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างที่มีบางคนเข้าใจและเป็นความเข้าใจที่สร้างสมกันมาเป็นเวลานานแล้ว  จนมีคนจำนวนไม่น้อยที่ฝั่ง่ใจเชื่อเช่นนั้น   และทำให้มองเห็นอิสลามผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง  คือมองว่า  อิสลามมุ่งเฉพาะเรื่องหลักศรัทธาและทำอิบาดะห์เท่านั้น  อิสลามไม่สนใจกับสิ่งต่างๆ  รอบตัว  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสังคม  เศรษฐกิจ  และการเมือง  แต่ที่จริงแล้ว  อิสลามถือว่าการศึกษาหาความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง  และแก่ผู้อื่น  ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า  ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติทั้งสิ้น  ทั้งนี้เพราะอิสลามได้แบ่งหน้าที่ในการศึกษาหาความรู้ไว้เป็นสองระดับคือ
หนึ่ง  :  เป็นหน้าที่เฉพาะตัวที่เรียกว่า  ฟัรดุอัยน์  ที่ทุกคนต้องทำการศึกษา  อันได้แก่  หลักการเบื้องต้นของอิสลาม  ทั้งหลักศรัทธาและปฏิบัติ ในระดับนี้มุสลิมทุกคนจะต้องศึกษาหลักการศรัทธาในอิสลามให้เข้าใจโดยถ่องแท้ด้วยตัวเองจนกว่าจะพ้นจากสภาพที่เรียกว่า   ตักลีด  คือความศรัทธาตามๆ กันไปโดยไม่รู้จักหลักฐาน  ทั้งตัวบทและในการใช้ความคิด  เช่น  ลูกศรัทธาตามพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายว่า  อัลเลาะห์มี  โดยไม่รู้จักหาเหตุผลและหลักฐานในเรื่องการมีของอัลเลาะห์ เป็นต้น   และมุสลิมทุกคนจะต้องศึกษาหลักปฏิบัติต่างๆ   ที่เป็นหน้าที่ของตนจนสามาถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง      อาทิเช่น   ละหมาด   การถือศีลอด  ซะก๊าต  และฮัจย์   เป็นต้น  นี่เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนต้องขวนขวายหาความรู้  จะปล่อยปละละเลย  โดยไม่นำพาไม่ได้
สอง   :    เป็นหน้าที่โดยส่วนรวม  ที่เรียกว่า   ฟัรดุกีฟายะห์  ที่เรียกว่าเป็นหน้าที่โดยส่วนรวมก็คือ   ถ้ามีมุสลิมบางคนในชุมชนหนึ่ง ๆ  ขวนขวายหาความรู้ในด้านนี้แล้ว  มุสลิมที่เหลือก็จะพลอยพ้นบาป  ความรู้ในด้านนี้ได้แก่  วิชาแพทย์  ที่จำเป็นในการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง  สมบูรณ์   วิชาคำนวณที่จำเป็นต้องใช้ในการทำธุรกิจต่างๆ  และใช้ในการจัดการเรื่องพินัยกรรมและมรดก   วิชาการเกษตร  การทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า   การก่อสร้าง  วิชาวิทยาศาสตร์    เศรษฐศาสตร์   และการเมืองการปกครองเป็นต้น ซึ่งเป็นวิชาการที่จะช่วยส่งเสริมให้การดำรงชีวิตอยู่ในดุนยานี้ไปด้วยดี
 
 จากโองการที่อัลเลาะห์ตะอาลาได้ทรงตรัสไว้  มีความว่า
เจ้าจงอ่านในนามขององค์อภิบาลของเจ้า”    นั้นทำให้รับทราบว่า   เป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษานั้นก็คือ ต้องเป็นไปเพื่อพระผู้อภิบาล  ผู้ทรงสร้างเท่านั้น  จะมีเป้าหมายอื่นมาแอบแฝงไม่ได้  เช่น  ทำการศึกษาเพื่อหวังในลาภยศ  สรรเสริญ   หรือหวังผลตอบแทนในทางดุนยา   หมายความว่าอิสลามกำหนดให้มุสลิมทุกคนทำการศึกษาด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา  ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลทางการศึกษาอันบริสุทธิ์นั่นคือ  จิตใจจะได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้น  ดังมีโองการที่ว่า
 
إِنَّمَا يَخْشىَ اللهَ مِنْ عِبَادِهِ الْعُلَمَاءُ
  ที่จะยำเกรงอัลเลาะห์จากบ่าวของพระองค์  ก็ได้แก่ ผู้ทรงความรู้เท่านั้น   ผู้ที่ศึกษาวิชาการต่างๆ  นั้น ยิ่งเขาศึกษาค้นคว้ากว้างขวางออกไปเท่าไร  ลึกลงไปเท่าไร เขาก็จะยิ่งรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้นเขาก็จะยิ่งมีความยำเกรงในพระองค์มากยิ่งกว่าคนอื่นๆ และผลของการศึกษาจะทำให้ร่างกายได้รับการพัฒนา  ท่านศาสดานบีมูฮำหมัด  ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม     ได้กล่าวว่า :
                    
عَلِّمُوْا بَنِيْكُمُ السِّبَاحَةُ والرَّمْيَ وَلَنِعْمَ لَهْوُالْمَرْ أَةِ  مِغْزَلُهَا
 
ท่านทั้งหลายจงสอนบุตรชายของพวกท่านให้ว่ายน้ำและยิง   ส่วนลูกผู้หญิงนั้น  ของเล่นที่ดีของหล่อน  ก็คือ  เครื่องปั่นด้าย      
                     ฮะดีษบทนี้ได้สั่งกำชับผู้ปกครองให้สอนบุตรชายของตนให้รู้ในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองในอนาคต  อาทิ   การว่ายน้ำและยิงธนู  เป็นต้น  ส่วนลูกผู้หญิงก็ให้สอนการบ้านการเรือน  อาทิ  การเย็บปักถักร้อย  เป็นต้น  จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ท่านนบีเอ่ยถึงในฮะดีษนี้  นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นแล้ว  ยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกด้วย
                     ศรัทธาชนผู้มีเกียรติทั้งหลาย  จากหลักการที่ได้นำมาอ้างองไว้นี้  เราก็จะพบความจริงที่ว่า  อิสลามส่งเสริมวิชาการทุกแขนง  ที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์  ถึงขนาดที่ตราไว้เป็นบทบัญญัติบังคับให้มุสลิมทุกคนต้องศึกษาหาความรู้  จะปล่อยให้ตนเองเป็นคนโง่ไม่รู้หนังสือไม่ได้
หมายเลขบันทึก: 250264เขียนเมื่อ 23 มีนาคม 2009 09:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท