วันนี้ได้อ่านหนังสือดีๆมาเล่มหนึ่งจึงอยากหยิบเอาเนื้อหาบางเรื่องในหนังสือมาให้ทุกคนได้อ่าน
มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานฝ่ายชายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อไปรบในสงคราม ทั้งสองต่างอาลัยต่อกัน และพร่ำพรรณนาในความรักว่าจะรักกันตราบชั่วชีวิต จะซื่อสัตย์ต่อกันด้วยความรักอย่างสุดซึ้งใจมิมีวันเปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มถูกส่งไปร่วมรบเป็นเวลา 2 ปีจึงถูกส่งตัวกลับมา เมื่อฝ่ายหญิงทราบข่าวการกลับมาของสามีก็ดีใจยิ่งนัก
ในวันรับขวัญสามีเธอได้จูงมือเด็กคนหนึ่งมาด้วย และแจ้งให้ทราบว่าเป็นลูกของชายหนุ่มนั่นแหละ เขาดีใจมากที่มีลูกชาย เขายิ้มให้เด็กน้อยพลางยื่นมือหมายจะกอด แต่เด็กน้อยกลับแสดงท่าทางตกใจเพราะไม่ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย แต่ผู้เป็นพ่อก็มิได้ว่าอะไร
ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ภรรยาขอตัวเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อข้าวของไปทำอาหารรับขวัญสามีที่จากไปนาน ชายหนุ่มจึงมีโอกาสอยู่กันลูกชาย เขาขออุ้มเจ้าตัวน้อยให้หายคิดถึง แต่เด็กน้อยก็ไม่ยอมให้อุ้ม เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยได้พูดคำที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นในครอบครัวของเขา
“น้าไม่ใช่พ่อหนู พ่อหนูมาหาแม่ทุกคืน พอแม่นั่งพ่อก็จะนั่งด้วย พอแม่ยืนพ่อก็จะยืนด้วย พ่อจะมาหาแม่ทุกคืนเลย น้าไม่ใช่พ่อของหนู......”
เพียงไม่กี่คำของเด็กน้อยทำให้ชายหนุ่มใจสลาย ความคิดต่างๆถาโถมเข้ามาทำให้เขาคิดว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นเป็นความจริง
ส่วนภรรยากลับจากตลาด เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป เพราะสามีไม่เพียงแสดงอาการรังเกียจเธอแต่ยังมองเธอด้วยสายตาห่างเหินและเหยียดหลาม แต่เธอก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจลึกๆ เธอบรรจงทำอาหารรับขวัญสามี แต่สามีไม่แยแส
ตกค่ำทั้งสองและลูกน้อยก็เข้านอน ในขณะที่ภรรยามีคำถามในใจว่า “เกิดอะไรขึ้นขณะที่เธอไปตลาด” สามีจึงถามว่า เธอยังเป็นผู้หญิงที่เขารักบูชาอย่างหมดใจคนเดิมหรือเปล่า ต่างคนต่างตั้งคำถามต่อกันด้วยความวังเวงไร้ซึ่งการตอบรับของแต่ละฝ่าย สามีแสดงอาการอาการเย็นชาจนถึงวันที่สาม
เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ เธอมีความรู้สึกอึดอัดเกนกว่าจะรับได้ ความอดกลั้นของเธอสิ้นสุดลง หญิงสาวรู้สึกว่าเธอผิดเสียเต็มประดา จึงตัดสินใจจบชีวิตลงในแม่น้ำสายหนึ่ง ทิ้งปมปัญหาที่ไม่มีใครตอบไว้เบื่องหลังอย่างไม่ไยดี
เมื่อข่าวการตายของภรรยามาถึงสามี ชายหนุ่มต้องน้ำตานองหน้าด้วยความอาลัยรักในภรรยา เขารับศพภรรยากลับมาบำเพ็ญกุศลอย่างเงียบๆที่บ้านของตัวเอง มีเพียงลูกน้อยที่อยู่เป็นเพื่อนและคืนนี้เองที่ความลับถูกคลี่คลาย
ตะเกียงน้ำมันก๊าดถูกจุดไว้บนโลงศพส่องประกายให้เกิดเป็นเงา ชายหนุ่มรู้สึกสับสนในชีวิต จึงลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาด้วยความคิดถึงภรรยาที่จากไป ขณะเดินไปเดินมาอยู่นั้น เงาของเขาก็ทาบกับฝาเรือน ฝ่ายเจ้าหนูน้อยก็ทำลายความเงียบด้วยความเสียงแห่งความดีใจ
“นั่นไง...พ่อของหนูมาแล้วๆ พอแม่นั่งพ่อก็จะนั่งด้วย พอแม่ยืนพ่อก็จะยืนด้วย คนนั้นแหละพ่อของหนู”
ผู้เป็นพ่อมองตามเสียงที่ลูกชายกล่าวถึงซึ่งก็คือเงาของเขานั้นเอง ความลับที่ติดค้างในใจได้เปิดเผยในบัดนั้น “พ่อ”ที่ลูกชายกล่าวถึงก็คือ “เงา”ที่ปรากฏบนฝาเรือนนี่เอง ชายหนุ่มจึงคิดต่อไปว่าภรรยาคงรักเขาและลูกมาก กลัวลูกจะเหงาที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย จึงสมมติเอาเงาเป็นพ่อให้เด็กรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน
ความจริงที่ถูกเปิดเผยเป็นความกระจ่างแจ้งที่เกินจะรับได้ เขาเข้าใจภรรยาผิดมาตลอดเพียงเพราะฟัง “คำพูด”ของลูกชายตัวน้อย ที่ไร้เดียงสาเกินกว่าจะถือเป็นจริงได้ เขาเข้าใจตามความคิดของตัวเองโดยไม่มีการถามความกระจ่างจากเมียรักแต่อย่างใด
สุดท้าย ชายหนุ่มจึงขอเอาแม่น้ำเป็นพยานรักที่เขามีต่อภรรยาเป็นคำพิพากษาตัวเอง เขากระโดดน้ำตายตามภรรยา โดยทิ้งให้ลูกน้อยเผชิญโชคชะตาแต่เพียงลำพังผู้เดียว
ที่มา: ชีวิตที่เหนื่อยนักพักเสียบ้างดีไหม? ของท่าน“ชุติปัญโญ”
อ่านเรื่องนี้แล้วคิดยังไงบอกกันบ้างนะคะ
สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า
“โปรดคิดทุกเรื่องก่อนที่จะพูด แต่อย่าพูดทุกเรื่องที่คิด”
โห อ่านเเล้วขนลุกเลย
ไม่คิดเลยว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนๆ หนึ่ง ๆ จะกลับกลายทำร้ายอีกคนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ได้ข้อคิดมากทีเดียวขอบคุณข้อมูลดี ๆ นี้นะจ๊ะ
สรุปว่าพ่อแม่เคยคิดถึงลูกหรือเปล่าเนี่ย
รู้สึกว่าปากหนักทั้งคู่ ฝ่ายสามีก็ไม่ถามให้รู้เรื่อง
ฝ่ายภรรยาก็ไม่หาสาเหตุ
การฆ่าตัวตายไม่ใช่การแก้ปัญหาสักหน่อย
...
สงสารลูกที่ต้องอยู่ตามลำพังเพราะความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่
โมโหมากมายเลยคะ
ทำไมเศร้าจัง
พ่อแม่น่าจะคิดถึงลูกมากกว่านี้
สงสารลูกจัง