ท่านอาจารย์สุชาตา ได้กล่าวไว้เมื่อวันปฐมนิเทศการอบรมครุวิจัยว่า"ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ก็ผ่านๆ ไป แต่ได้ลงมือทำเท่านั้นจึงจะเข้าใจ" ฉันจำได้ขึ้นใจ และเมื่อเวลาผ่านมาถึงวันที่เหลืออีก ๑๐ วันจะสิ้นสุดโครงการทำให้ฉันเริ่มเข้าใจ
ฉันเริ่มมั่นใจและเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงมีคนกล่าวว่า "งานวิจัย" คือ"วิถีชีวิต"
เราต้องตั้งคำถามเสมอๆ กับสิ่งที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตเรา
จากนั้นเราต้องเก็บรวบรวมข้อมูลและสถิติ
เราประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ แต่ไม่ด่วนสรุป
ทุกอย่างทำด้วย"จิตว่าง" ไม่ใส่ "อารมณ์" "ความรู้สึก" ลงไป
สอบถามใครอีกหลายๆ คนที่ร่วมสถานการณ์เดียวกันเพื่อตรวจสอบข้อมูล
เปรียบเทียบกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ต่างสถานที่แต่ได้รับการ"ป้อนข้อมูล" แบบเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นพ้องต้องกันคือ เรื่องของ"การจัดการ" เพราะเราอยู่ในสถานที่ที่ใหญ่มาก
มีทรัพยากรมาก แต่พวกเราต้องทนกับสภาพไม่มีน้ำใช้ เพราะน้ำไม่ไหลถึง ๔ วัน ใน รอบ ๒๐ วันแค่เทียบร้อยละเล่นๆ ก็ร้อยละ ๒๐ แล้ว
เรามาอบรมกันที่คณะ"สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์" แต่พวกเราใช้"โฟม" รับประทานข้าวกล่องกันวันละ ๓๓กล่อง คิดตามจำนวนวันคือพวกเราใช้โฟมไปถึง ๖๖๐ กล่อง หักลบให้ ๒ วัน เพราะออกไปเก็บข้อมูล พวกเราจะบอกถึงการลดจำนวนขยะได้อย่างไร
ยังไม่ได้บ่นถึงการที่แอร์เสีย ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ ต้องเดินลงจากชั้น๔ ไปอีกอาคารหนึ่งเพื่อเข้าห้องน้ำ รวบรวมสถิติ แล้วก็ทำเอาสติแตกได้ เพราะเพื่อนร่วมโครงการอีก ๒ ศูนย์ ที่อยู่ที่หอดูดาวเกิดแก้ว และภูกุ้มข้าว อาจจะไม่ได้นอนห้องแอร์อย่างพวกเรา แต่อาหาร ๓ มื้อ ของพวกเขาทำเอาพวกเรา "ริษยา" ไปตามๆ กัน
การใช้ชีวิตแบบนิสิตก็อาจจะดี ทำให้รู้สึกย้อนอดีต แล้วกลับไปเป็นหนุ่มสาวเมื่อเกือบ ๒๐ปีที่แล้ว แต่กำลังวังชามันไม่ให้เอาเสียเลย เดินขึ้นลงบันได ๔ ชั้นวันละ ๖ - ๘ รอบ ก็ทำให้เหนื่อยอ่อนได้พอสมควร แถมอาหารยังเป็นข้าวกล่องแบบเด็กๆ อีก เฮ้อ คิดแล้ว อยากกลับบ้านจริงๆ เลย