ณ. ที่แห่งนี้…… คือ ดินแดนแห่งสันติสุข ( ว่าด้วยเรื่องของความเชื่อกับความจริง 2. )


เป็นที่น่าสังเกตว่า   คำสอนพระพุทธองค์นั้นอยู่ยั่งยืนมาถึง 2500 กว่าปีแล้ว  แถมปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใด  สามารถคว่ำบาตรคำสอนนี้ได้ แม้แต่ไอสไตน์    แถมนักวิทยาสาตร์ยุคใหม่ในปัจจุบัน และชาวฝรั่งทั้งหลาย  ก็ยังต้องมาศึกษาคำสอนของพระองค์   และเริ่มมาเรียนรู้ในพุทธศาสนา   และเข้าสู่วิถีแห่งสมาธิภาวนากันมากขึ้น

 

พวกเราเสียอีกที่อยู่ในดินแดนพุทธ  อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์สายการปฎิบัติวิถีพุทธมากมาย แต่ไม่เห็นคุณค่ากลับมองเห็นว่าการปฎิบัติสมาธิภาวนาเป็นสิ่งไกลตัว และไม่มีคุณค่าเพียงพอในการจะสละเวลาให้   นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก   เพราะจะกลายเป็นว่า นอกจากไม่เชื่อแล้วยังไม่ยอมมาลงมือพิสูจน์อีก แถมเลือกที่จะเชื่อแบบเดิมๆ ที่ตนเองรับทราบมาทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น  เชื่อ ตามที่เขาบอกมาอีกที  เชื่อตามที่นักวิทยาศตร์บอก  และพิสูจน์มาให้แล้ว แถมไม่เคยนึกสงสัยหรือลองพิสูจน์ยืนยันด้วยตัวเองสักครั้ง  

แต่ในวิชาของพระพุทธเจ้า  พระองค์เชื้อเชิญให้เราเข้ามาพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง  แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้ามาพิสูจน์   แถมสรุปแบบคิดเอาเองว่า  เป็นไปไม่ได้  ไม่เชื่อหรอก   ไม่ใช่เรื่องจริง อะไรทำนองนั้น

 

หลังจากข้าพเจ้าเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติสมาธิภาวนาจนถึงปัจจุบัน  ข้าพเจ้าพบว่า   เรานั้นประกอบด้วยกายและจิต  จริง   เป็นการล้มคว่ำ ความเชื่อแบบวิทยาศาสตร์ของข้าพเจ้าครั้งใหญ่    เรามีจิตผู้รู้ ที่บางครั้งก็ตื่น บางครั้งก็หลับไหล    เรามีกายที่ เราใช้อาศัยเพียงชั่วคราว  ……..  เราไม่มีอะไรที่แท้จริงให้ยึดถือ  และมันเป็นที่มาของการตื่นขึ้นครั้งใหญ่   ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจโลกอันวุ่นวาย และสับสนอลม่านนี้มากขึ้น 

 มันอาจจะเป็นเรื่องพิลึก แต่คนที่ปฎิบัติสมาธิภาวนาต่างเข้าใจในเรื่องนี้ดีว่าข้าพเจ้ากำลังหมายถึงสิ่งใด        แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ปฎิบัติ ก็คงจะมึนงง และไม่เข้าใจอยู่นั่นเองว่า  ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

 

การปฎิบัติสมาธิภาวนา ไม่ใช่การจะไปดูว่า มีโลกนี้โลกหน้าหรือไม่    มีหรือไม่มีเป็นเพียงผลพลอยได้ ที่เราจะรู้เอง   รู้ประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง  แต่สิ่งสำคัญคือการรู้กายรู้ใจเราเอง นี่คือสิ่งสำคัญยิ่งกว่า  ไม่สำคัญว่าจะมีโลกนี้โลกหน้าหรือไม่  สำคัญที่ว่า เรารู้จักภายในตัวตนของเราแค่ ไหน   เพราะตราบใดที่เรารับรู้สิ่งที่มีอยู่ในตัวเองแบบผิดๆ เราก็จะคิดเห็นแบบผิดๆ เข้าใจอะไรแบบผิดๆ  และอาจจะใช้ชีวิตในวิถีทางแบบผิดๆ   และใช้วันเวลาที่เหลืออยู่ (ไม่มากนัก) ของชีวิตไปอย่างสูญเปล่าได้ 

  

 

อย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้านึกถึงฉากสุดท้ายในหนังเรื่อง  Contact ขึ้นมาได้  ตอนที่นางเอกให้การว่า  ช่วงที่ยานอวกาศตกลงมาจากฐาน  เพียง ไม่ถึงชั่วโมงนั้น ตนเองได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง  คล้ายกับได้พบเจอกับมนุษย์ต่างดาว ที่ปรากฏมาในร่างของพ่อเธอเอง

และได้พูดคุยกันด้วย  แถม เธอได้มองเห็นความสวยงามของจักรวาลและดวงดาวต่างๆ มากมาย   ทว่าไม่มีใครเชื่อเธอเลย  เพราะสิ่งที่เธอเล่านั้น ดูจะนอกเหตุเหนือผลเกินไป  เพราะด้วยตาเนื้อที่พวกเขาเห็นๆกัน ก็คือยานอวกาศที่มีตัวเธออยู่ในนั้น ตกจากฐานที่เกิดระเบิดขึ้น  แล้วหล่นลงไปในทะเลเธอไม่ได้ไปที่ไหน แต่อยู่ในยานอวกาศนั่นตลอดเวลา   ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้เลย และหลายคนมองว่า

เป็นเรื่องของคนประสาทหลอน หรือเพี้ยนๆ  จากอุบัติเหตุ

แต่มีเพียงคนเดียวที่เชื่อ ก็คือพระเอก  ที่บอกทุกๆคน อย่างชัดเจนว่า  " ผมเชื่อ "

แถมเป็นความเชื่ออย่างแท้จริงจากใจของเขา   เพราะเขาคือผู้ที่เชื่อมั่นในจิตวิญญาน และมองเห็นว่า  มีหลายๆสิ่งเกิดขึ้นและมองเห็นได้ด้วยใจ มากกว่าจะมองเห็นด้วยตา  

   สิ่งที่ได้จากประสบการณ์ตรงด้วยตัวเราเอง จึงไม่อาจสามารถอธิบายให้คนอื่นๆเข้าใจได้   และข้าพเจ้าก็มองว่า ไม่จำเป็นที่เราจะต้องพิสูจน์ หรือโต้เถียงกันในเรื่องนี้    มันจะกลายเป็นเรื่องการกินผัดไทยคนละร้านแล้วมาเถียงกันว่าร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่เราไม่ได้ไปชิม  แต่มันต่างกันนิดหนึ่งที่ว่า  ข้าพเจ้าเคยชิมโลกวิทยาศาสตร์ มาแล้วกว่าครึ่งชีวิต  และขณะนี้ข้าพเจ้าได้เข้าไปสู่    การเรียนรู้ในโลกของพุทธศาสนา   และค้นพบว่า  ที่นี่ดีกว่า และเป็นเหตุเป็นผลกว่า    และมีประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่าความรู้ในทางวิทยาศาสตร์แบบตาเนื้อ ที่เคยรู้จัก   แถมคำสอนของพระพุทธองค์สามารถอธิบายได้ในทุกๆสิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัย

 

ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้าเลิกสนใจในวิทยาศสาตร์ไปแล้วหรือ   เปล่าเลยข้าพเจ้ากลับสนใจวิทยาศาสตร์ยุคใหม่มากขึ้น   ข้าพเจ้ากำลังเอาพุทธศาสนา ไปเทียบเคียงอธิบาย สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบใหม่ ๆ  (  จากเดิมที่คิดจะเอาวิทยาศาสตร์ยุคใหม่มาอธิบายคำสอนในศาสนาพุทธ )  ที่น่าสนใจก็คือ หลายๆสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่อธิบาย  และค้นพบในขณะนี้   กลายเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์กล่าวไว้แล้วตั้ง 2500 กว่าปีที่ผ่านมา      สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบ  ครอบคลุมและกว้างไกลกว่าที่เราจะคิดนึกได้  การเวียนว่ายตายเกิด

การมีชาตินี้ชาติหน้า กลายเป็นประเด็นเล็กๆ  ที่พระพุทธองค์  อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญมากมายนัก   แต่ประเด็นใหญ่  ใบไม้ในหนึ่งกำมือ ที่พระองค์เน้นสอน และประสงค์ให้เราตื่นขึ้นมาเรียนรู้อย่างแท้จริงนั้น  มี ความสำคัญยิ่งกว่า  

 

จากการเรียนรุ้และปฎิบัติตามคำสอนนี้ จะช่วยให้เราตื่นรู้อย่างแท้จริง  ความทุกข์ความเศร้าในชีวิตเราจะกลายเป็นสิ่งธรรมดา สามัญ 

ชีวิตเราจะง่ายและงดงาม และเต็มไปด้วยสันติสุข   เราจะไม่เวียนวนสับสนในความทุกข์    เราจะหยุดกับการวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางที่จริงแท้  แล้วจะรู้จักก้าวเดินไปอย่างช้าๆ   บนเส้นทางชีวิต อย่างมีสติ และ  มีสันติสุข

 

แต่ด้วยความที่ยังเป็นคนช่างคิดช่างสงสัย และใฝ่รู้ในทางวิทยาศาตร์   ข้าพเจ้าก็บอกกับกัลยาณมิตรที่สนิทกันว่า    ข้าพเจ้ามีทฤษฎีอันหนึ่งและมีรูปโมเดลเรื่องนี้ในใจ ถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า     และโมเดลนี้ สามารถอธิบายทุกสิ่งว่า   เรามาจากไหน  ทำไมจึงมีเรา

ทำไมผู้บรรลุธรรมทั้งหลายจึงรู้วาระจิตได้   ทำไมเราจึงมีความเกี่ยวเนื่องกัน ทำไมหลวงปู่ติช จึงบอกว่า เราเป็นดั่งกันและกัน   ทำไมจึงมีคำกล่าวว่าทั้งหมดคือหนึ่ง และหนึ่งคือทั้งหมด   แต่มันเป็นเพียงทฤษฎีนะ   เป็นสมมติฐาน  ยังไม่ได้เข้าสู่การทดลองพิสูจน์ยืนยัน  (   หลังจากข้าพเจ้าเข้าสู่การทำสมาธิภาวนามาได้สองปีกว่าๆ  ข้าพเจ้าพบว่าหลักฐานเชิงประจักษ์ขณะนี้  เข้าได้กับทฤษฎีส่วนย่อยบางอย่างในโมเดลนี้   และหลายๆอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  )   แถมข้าพเจ้ายังกล่าวว่า ถ้าเราทำต่อเนื่องและก้าวหน้าไปเรื่อยๆ   เราจะเข้าถึงการตรัสรู้ของพระพุทธองค์   ด้วยตัวเอง …  กัลยาณมิตรท่านนี้รับฟังด้วยความมึนงง    แถมอาจจะคิดในใจว่า ข้าพเจ้าคงจะเพี้ยนๆ ไปอีกแล้ว  เพราะการคิดถึงเรื่องแบบนี้  คือการคิดคำนึงถึง เรื่องอจินไตย  อีกรูปแบบหนึ่ง

 

ข้าพเจ้าจึงพูดเล่นๆว่า  สักวันหนึ่งเราอาจจะอธิบายเรื่องราวทางจิตวิญญาน   ด้วยวิถีทางและเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้    รวมทั้งเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ด้วย 

 

ยิ่งไปกว่านั้น  หลังจากอ่านหนังสือเรื่อง  จักรวาลในหนึ่งอะตอม  ของท่านดาไล  ลามะ  ข้าพเจ้าพบว่าสิ่งที่องค์ดาไล ลามะกำลังจะสื่อออกมาก็คือ   โลกวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ และศาสนาพุทธ กำลังเข้าใกล้กันเรื่อยๆ   ที่น่าทึ่งก็คือ ปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ อาจจะอธิบายเรื่องการกำเนิดของโลกและจักรวาลได้ด้วยเรื่อง Bigbang  ซึ่งเป็นการกำเนิดของวัตถุ  และพลังงานต่างๆที่ตรวจสอบได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์  แต่ในคำสอนของพระพุทธองค์ ได้อธิบายการก่อกำเนิดของวัตถุธาตุ และจิตวิญญานไว้ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์  ยังไม่มีเครื่องมือที่มีคุณภาพสูงพอ มาตรวจสอบเรื่องนี้เท่านั้น 

เพราะสิ่งที่เรายังตรวจสอบ ไม่ได้    ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีจริง  .  

 

 

คำสำคัญ (Tags): #สันติสุข
หมายเลขบันทึก: 248587เขียนเมื่อ 15 มีนาคม 2009 15:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ณีชอบเรื่อง contact มาก จนไปซื้อหนังสือมาอ่านเลยค่ะ

คนแต่งชื่อ Carl Sagan เป็น นักวิทยาศาสตร์ระดับอัจฉริยะขององค์การ NASA

และแต่งนิยายแนววิทยาศาสตร์อวกาศหลายเรื่องค่ะ

จำได้ว่าตอนดูเรื่องนี้ครั้งแรก รู้สึกอึ้งๆทึ่งๆ และคิดว่า มันเป็นหนังวิทยาศาสตร์ที่สอนศาสนา หรือ เป็นหนังศาสนาที่อิงวิทยาศาสตร์ กันแน่ แต่ชอบหนังเรื่องนี้มากจริงๆ ดูซ้ำอีกหลายรอบเลยค่ะ

หวัดดีจ้า Neeno

นี่เป็นหนังเรื่องโปรดของพี่เช่นกัน  ตอนนั้นสนใจเรื่องราวมนุษย์ต่างดาวมาก และคิดไปว่าอาจจะมีสักวันที่เรา สามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อะไรทำนองนั้น  แต่สิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้ กลับเป็นประเด็นและข้อคิดเรื่องจิตวิญญานแทน  แถมชอบมากๆ เลย   

 คิดถึงหนังเรื่องนี้ แวะไปที่นี่ได้ค่ะ  http://sunmoola.multiply.com/video/item/144

 

หมอยาพี่เพิ่งนึกได้ว่าดูเรื่องนี้ไปนานแล้ว ตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่หลังจากภาวนาแล้วพี่เข้าใจเรื่องนี้มากเลย แต่ก็อยากดูอีก :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท