เมื่อวันที่ 4 มีค. 2552 ได้มีโอกาสฟังบรรยายพิเศษโดย ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ อดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัยช่วงปี 2537-2540 ในการสัมมนา "50 ปี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (พ.ศ. 2559) กับก้าวย่างที่ท้าทาย" ที่อาคาร 8 คณะวิทยาศาสตร์ มข.
อ้าว...แล้วบรรณารักษ์อย่างเราๆ ไปวุ่นวายกับการสัมมนาเฉพาะทางทำไมอ่ะ...
วิทยากรได้บรรยายเกี่ยวกับการจัดองค์กรและการบริหารในบริบทของคณะวิทยาศาสตร์ เพื่อให้การผลิตบัณฑิตนั้นตอบสนองการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยกำหนดเส้นไว้ที่ปี พ.ศ. 2600 โดยแบ่งเป็นการบริหารหน่วยงาน และการบริหารวิชาการ
ก็ขอเล่า Content ที่ห้องสมุดนำมาใช้ได้ก็แล้วกัน
1. ผู้นำองค์กรที่เหมาะสมกับช่วงเวลา ต้องยอมรับว่าผู้นำนั้นมี 2 ประเภทได้แก่ CEO และ President ทั้ง 2 ประเภทนี้แตกต่างที่บทบาท CEO นั้นจะเน้นกลยุทธ์ มององค์กรและดำเนินการทุกวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เช่น ต้องการเป็นเลิศในประเทศไทย ต้องทำอะไรบ้าง บริหารงานเพื่อทำความสำเร็จ (กำไร) ในอนาคต ส่วนผู้นำองค์กรแบบ President นั้น จะให้ความสำคัญกับ Operation หรือวิธีการทำงาน เช่น ห้องน้ำมีกลิ่นเหม็น ต้องแก้อย่างไร บริหารงานเพื่อทำความสำเร็จ (กำไร) ในปัจจุบัน
ศ.ดร.กนก บอกว่า ยากนักที่จะหาผู้นำที่เก่งทั้ง 2 เรื่อง และไม่ใช่ว่าแบบไหนจะดีกว่าแบบไหน แต่ผู้นำองค์ต้องเหมาะสมในการนำองค์กรในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งตรงนี้คงเป็นบทบาทของผู้ที่มีหน้าที่สรรหาและแสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนขององค์กรว่าจะจัดวางตนเองไว้ ณ ตำแหน่งใด (อ๋อ...ทุกๆ หน่วยงานจึงมุ่งทำแผนกลยุทธ์ระยะยาวกันใหญ่นี่เอง...)
- การเปลี่ยนแปลงการทำงานตามความเชี่ยวชาญ เป็นการทำงานตามปัญหา (Problem Base Orientation) ซึ่งจะเน้นผู้รับบริการมากยิ่งขึ้น
- เปลี่ยนแปลงมาให้บริการด้วยเทคโนโลยีคุณภาพสูง เพราะโลกทุกวันนี้และในอนาคตนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอบ่างรวดเร็ว และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ทำงานเชิงบูรณาการศาสตร์หลายศาสตร์เข้าด้วยกัน (Multi Discipline) วันนี้ว่าไม่ได้แล้วที่บรรณารักษ์ต้องเก่งเรื่องการคำนวณต้นทุน การจัด Event การทำงานกับชุมชน...และภายในหน่วยงานเอง ต้องทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มต่างๆ มากขึ้น การมีขอบเขตหรืออาณาจักรนั้นนับเนอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการพัฒนางานใหม่...เช่น วิชาชีวเคมี เกิดจากการรวมศาสตร์ด้านชีววิทยา และเคมีเข้าด้วยกัน ซึ่ง ชีวเคมีนี้สามารถตอบโจทย์ที่ชีววิทยาหรือเคมีตอบไม่ได้...แต่ชีวเคมีตอบได้
- เน้นการบริหารแบบองค์รวม (Holistic Approach) ไม่งั้นงานแต่ละด้านจะเป็นเป็นกราฟแท่งที่แข่งกันยืด อย่างน้อยควรจะมีความสมดูลย์ ทำให้สิริพร หวนคิดถึงมุมมองด้านผู้รับบริการ ต้นทุน ประสิทธิภาพ/ผล การพัฒนาองค์กร ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังเช่นปรากฏในทฤษฎี Balance Score Card-BSC หรือ PMQA ที่พูดถึงกันอยู่บ่อยๆ ...ว่าแต่ว่าได้นำมาใช้จริงหรือเปล่านะ
-เน้นการทำงานเป็นเครือข่ายมากยิ่งขึ้น (Network Approch) ห้องสมุดคงเห็นชัดเจนกับ Consortia ในการบอกรับฐานข้อมูล แล้วเรื่องอื่นๆ หล่ะ เครือข่ายทำอะไรได้อีกหรือไม่ รวมพลังเราอยู่...และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น...
-เน้นการบริหารบนรายได้ (Revenue Basis) เช่น จัดบริการพิเศษให้ผู้รับบริการ ต้องควักทุนตัวเอง แต่ไม่มีรายได้จากทางอื่นมา Support ควรจะทำหรือไม่...- ระบบบริหารแบบเปิด โปร่งใส ตรวจสอบได้ และบุคลากรมีส่วนร่วม
- พัฒนาสมรรถนะให้หลากหลาย (Competitive Basis) เพื่อรองรับศาสตร์ต่างๆ ที่บูรณาการเข้ามา เช่น ห้องสมุดต้องรองรับหลักสูตรอินเตอร์ Keyman ที่พูดภาษาอังกฤษได้แบบคล่องปรื้ดๆ มีกี่คน และยังภาษาญี่ปุ่น เกาหลี อีก...ห้องสมุดต้องทำอย่างไร...อย่างนี้ต้องแผนพัฒนาบุคลากร
- เน้นการทำงานเป็นทีมให้มากขึ้น การทำงานเป็นทีมคืออะไร...นิยามก็คงมีให้ศึกษา และการปฏิบัติจริงเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ...คนห้องสมุดได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีมไว้ดีทีเดียว ถ้าว่างแวะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่บันทึกนี้นะคะ http://gotoknow.org/blog/library-librarian/242511
-เน้นการบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ มากกว่ากระบวนการ (Result Orientation) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า กระบวนการไม่สำคัญ...ณ วันนี้ อาจจะใช้แนวคิด "คิดใหม่ทำใหม่"...
- ให้ความสำคัญกับความเร็ว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วมาก เช่น อนาคตมองว่าจะใช้เครื่องยืมคืนอัตโนมัติ แต่หนังสือที่เข้าห้องสมุดมาวันนี้ยังแปะบาร์โค้ดไว้ด้านในหนังสือ...กระบวนการนี้จะทันความรวดเร็วของเทคโนโลยีที่นำมาใช้หรือไม่ หรือผู้ใช้มีโลกในไซเบอร์มากขึ้น MSN, Blog มีความสำคัญมากขึ้น แต่ห้องสมุดเราไม่มองอย่างจริงจังว่าเราจะมีส่วนในเรื่องนี้อย่างไร
และวันนี้ ห้องสมุด ต้องรู้ว่า UNESCO (2005) กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนพื้นฐาน 4 ประการไว้ว่าอย่างไร เพื่อห้องสมุดจะเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ...มีอะไรกันบ้าง มาดูกันเร้ว
1. เรียนเพื่อรู้ (Learning to know)
2. เรียนเพื่อปฏิบัติ (Learning to do)
3. เรียนเพื่ออยู่อาศัยร่วมกัน (Learning to live together)
4. เรียนเพื่อเป็นคนรอบด้านหรือคนที่สมบูรณ์ (Learning to be)
เรื่องราวที่เล่ามาคงเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจไม่มากก็น้อยนะคะ...
เรียนรู้วันละนิดจิตแจ่มใส เพราะไปภาควิชาอาจารย์พูดอะไรเราจะได้รู้เรื่องด้วย ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณพี่ปุ๊กนะ
สวัสดีค่ะพี่จิ๋ม...
ถ้าภารกิจไม่มากนะ ก็เล่าเรื่องจากภาควิชาให้ฟังบ้าง...
ตุ่นเองได้สัมผัสภาควิชาเลยค่ะ...ห่างไกลเลย