เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป วันนี้ฉันจอดรถอยู่กับบ้าน
เลยต้องออกเดินทางแต่เช้า
เพราะกลัวผิวจะเสียไปเพราะการโลมเลียของแสงตะวัน
ฉันนั่งรถตู้ต่อรถตู้แล้วก็ BTS
ออกจากบ้านก็อยากจะอยู่ในแอร์คอนดิชั่นตลอด...ก็อย่างว่า
ฉันมันคนหน้าตาดีผิวบาง
ลงรถไฟฟ้ามหากาฬแถวนานา
สุขุวิทประเทศ...จะใช้เงินสักร้อยนึงได้ยังไง
เดินเข้าร้านริมถนนชื่อ Subway หาอะไรถูกๆกินพอประทังชีวิต
เป็นแซนด์วิชแบบครึ่งฟุต กับเป็บซี่หนึ่งกระป๋อง 98 บาท
อีกสองบาทใส่กล่องทิ๊ป...ก็คนมันรวยอ่ะ
โอ้โฮ...ไม่รู้ใส่อะไรมาบ้าง มีทั้งซาละมีเนื้อ ซาละมีหมู เบค่อน
ผักนานาชนิด พรมหน้าด้วยน้ำสลัดข้น มัสตาด
อยากได้อะไรก็ชี้เอา...อันเบ้อเร่อ ใส่ปากไม่มิด
แต่ก็ทนอัดยัดเข้าไป ไม่สนใจใครทั้งนั้น
ใครมีตังค์ก็ซื้อกินเอา...โลกมันเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ฮ่วย!!!
(ฮ่วย เป็นคำอุทานเสริมบท ภาษาฝรั่งเศษโบราณ มีกลิ่นอายละตินนิดๆ
ใช้กันในสังคมชนชั้นสูง ยุค เรเนซองค์
แถบยุโรปตอนกลาง...ขออภัยที่ต้องใช้ศัพท์ชั้นสูงทางวรรณกรรม)
มีฝรั่งอยู่สองสามคน สองคนนั่งซดกาแฟแก้วเล็กๆ
อีกคนนั่งกระดกขวดเบียร์นำเข้า...หมอนี่หาเรื่องเมาแต่เช้าเลย
คนหนึ่งนั่งกับผู้หญิงที่บาร์ด้านนอก คุยอะไรกันไม่รู้
ผู้หญิงเป็นคนไทย ผิวคล้ำตัวเล็กๆ ใส่กระโปงสั้นๆ ก็น่าดูตามประสา
โชว์พุงเล็กน้อย
สลักเสลาด้วยลายสักตรงสะดือ...สวยงามตามสเป็คตะวันตก
มีสุภาพสตรีไทยอีกสามคนนั่งห่างๆ บุคลิคเดียวกัน
คอยแซวชายฝรั่งดังโม...สักกะเดี๋ยว
ฝรั่งคนหนึ่งก็ชวนหนึ่งในสามมานั่งซดกาแฟด้วยกัน
ชีวิตมันก็อย่างนี้ ดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงชีพกันไป...นี่ไง
นักรบแรงงานย่านท่องเที่ยว
ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ไว้มีอารมณ์ค่อยมาเขียนต่อ ตามประสากฎุมพี...คน
การดิ้นรน เพื่อชีวิต
เมื่อสักสามสิบปีที่ผ่านมา มีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งหลายภาคหลากพันธุกรรม
สนใจปัญหาสังคม พอๆกับสนใจปัญหาปากท้องของตนเอง จับกลุ่มกันในนาม
"นวทัศน์" โดยใช้เงื่อนไขความเป็นนักศึกษาปัญญาชน
เขาและเธอสนใจร่วมกันโดยเงื่อนไขเพื่อน...แน่นอน
พวกเขาและเธอใช้สัดส่วนของอารมณ์เข้ามาจับ
สี่ห้าคนโรแมนติกจากกลุ่มนี้รวมตัวกันในคืนหนึ่ง มีนายจ๋อง นายหมู
นายเกต จากอุบล นายเทพ นายสอน จากสุพรรณ นายช้าง จากกรุงเทพฯ นายอาจ
จากเชียงใหม่ ร่วมกันแต่งเพลงหนึ่งขึ้นมา...พวกเขาคิดว่า
"นี่แหละเพลงเพื่อชีวิต"
"ชีวิตยังไม่สิ้น ทำกินดิ้นรนไป
มีหญิงชาวนาไร่ ยากไร้ชีวิตมืดมน
ด้วยความยากจนเข็ญใจ
ทำได้ไม่พอกิน
ธรรมชาติโหดร้ายทมิฬ
หนี้สิน เพิ่มพูน
จำพรากจากบ้านมา
เหลียวหาหลังยังมี
พ่อแม่และน้องพี่
หวังมี งานทำ
ความรู้เธอไม่มี
ศักดิ์ศรีเธอต้อยต่ำ
งานหรือมีให้ทำ
สุดช้ำระกำใจ
หาทางเพื่อหยั่งชีวี
ยอมพลีแม้เรือนกาย
ความสาวเอาโลมชาย
เธอขายตัวเพราะใคร
สังคมบันดาลให้
ทางไหน พอได้เงิน
แล้วสังคมก็เมิน
ยับเยินถูกประนาม
อีกกี่คนกันเล่า
สาวเจ้า จะคืนมา
รอวันสิ้นเวลา
ที่เงินตรา ค่าเหนือคน
รอวันสิ้นเวลา ที่เงินตรา ค่าเหนือคน"
นี่แหละ ความคิดสลักเสลาง่ายๆของคนหนุ่มสาว ที่ตอนนี้บางคน
ส่งลูกไปเรียนปริญญาโทอยู่เมืองนอกแล้ว...คิดไว้บ้างก็ยังดีกว่าไม่คิด
เดี๋ยวสมองเป็นง่อย
เดี๋ยวมโนธรรมจะด้านชา.....
โดย : วีรศักดิ์ บริบูรณ์สุข
[email protected]
Ref :: http://www.thaingo.org/webboard/view.php?id=2
เป็นข้อเขียนของพี่ที่ผมเคารพเป็นการส่วนตัวคนหนึ่งในสายงานพัฒนาของภาคเอกชน ขอนำมาบันทึกไว้ จะได้ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา..
ไม่มีความเห็น