โลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าผมจะตามทัน ผมจึงเจียมตัวและยอมรับ ว่าตนเองเป็นคนล้าหลัง และผมคิดว่า นี่คือสัจจธรรมของชีวิตของคนทุกคน รวมทั้งชีวิตขององค์กรด้วย
ผมช่วยตัวเองด้วยการตะเกียกตะกายสุดชีวิต ที่จะไม่ให้ตัวเองล้าหลังจนหมดสภาพ ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ลงทุนซื้อเครื่องมือสื่อสารและฝึกใช้ สำหรับค้นหาความรู้จากแหล่งที่หลากหลาย และติดต่อสื่อสาร นอกจากนั้น ยังลงทุนซื้อหนังสือดีๆ มาอ่าน แค่นี้ก็หมดแรงหมดเวลาหนึ่งวันไปอย่างรวดเร็ว ผมโชคดีมีคนช่วยขับรถ จึงใช้เวลาบนรถในการตะเกียกตะกายได้ ผมสังเกตว่า รายการทีวีต่างๆ ให้ประโยชน์น้อย จึงเลิกดูทีวีเสียเลย เอาเวลามีตะเกียกตะกายทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างสนุกสนาน
เอาเรื่องนี้มาเล่า เพื่อจะบอกว่า สังคมต้องมีระบบช่วยเหลือผู้คนไม่ให้ล้าหลัง ย้ำ คำว่าระบบนะครับ คือต้องมีนโยบายและมาตรการอย่างเป็นระบบ และที่จริงมันก็คือระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) นั่นเอง ผมมองว่า “อุตสาหกรรม” เรียนรู้ตลอดชีวิต นี้มีขนาดใหญ่มาก และเป็นโอกาสของระบบอุดมศึกษาจะเข้ามาทำหน้าที่รับใช้สังคมในมิติใหม่ คือมองว่าบัณฑิตที่จบไปเพียง ๕ – ๗ ปี ก็จะต้องการการ retooling หรือติดอาวุธใหม่ๆ เพื่อให้มี competency สำคัญในการทำงาน
ที่จริงนี่คือหลักการของระบบ CME (Continuting Medical Education) ที่วงการแพทย์ไทยฮือฮาเอามาใช้ระยะหนึ่งแล่วก็ซาไป แต่วงการพยาบาลนำเอา มาใช้อย่างต่อเนื่อง เกิดการกระตุ้นให้พยาบาลตื่นตัวเข้าประชุมต่างๆ ที่ให้คะแนนการศึกษาต่อเนื่อง สร้างความก้าวหน้าทางวิชาการให้แก่วงการพยาบาลไทยเป็นอันมาก
ในวงการมหาวิทยาลัยต่างประเทศเขาตระหนักในปรากฏการณ์ล้าหลังนี้มานานหลายสิบปีแล้ว ดังกรณีที่เขามีกติกาว่า อาจารย์ที่ทำงานมาเกิน ๗ ปี มีสิทธิ์ขอลาไปเพิ่มพูนความรู้หรือประสบการณ์ ที่เรียกว่า sabbatical leave คล้ายๆ การไปเติมประจุวิชาการใหม่ๆ หรือที่เราเรียกว่า ชาร์จ แบตเตอรี่ ซึ่งถ้าเอาไปใช้เป็นช่วงเวลาของการแสวงหาเทคนิคหรือความรู้ใหม่ๆ อย่างมีแผน ก็จะช่วยให้การทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีชีวิตชีวาสนุกสนาน
แต่ผมโชคดีกว่านั้น ผมมี sabbatical leave ตลอดปี มาเป็นเวลากว่า ๑ ปีแล้ว โดยจัดระบบชีวิตตัวเองให้ “ทำงานแบบไม่ทำงาน” คือทำงานกำกับดูแล ไม่ทำงานบริหาร ไม่ลงมือทำงานระดับปฏิบัติ ไม่เป็นเจ้าของงาน หรืออาจกล่าวว่าไม่เตะฟุตบอลล์ แต่ทำหน่าที่ปรบมือเชียร์อยู่ริมสนาม
โชคดีจริงๆ ในการทำหน้าที่เช่นนี้ ผมมีโอกาสทำงานร่วมกับน้องๆ (และลูกๆ) ที่เก่งอย่างหาตัวจับยาก การทำหน้าที่กองเชียร์ให้แก่คนเก่งเช่นนี้เอง เป็นตัวช่วยไม่ให้ผมล้าหลัง
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.พ. ๕๒
ชอบคำสอนของอาจารย์ ค่ะ
เรียนศาสตราจารย์วิจารณ์ที่เคารพ
อาจารย์ไม่เพียงปรบมือเชียร์เท่านั้นค่ะ แต่อาจารย์หาสนาม และเกมส์ดี ๆ ที่เล่นแล้วคะแนนในการเล่นนั้นมีความหมายต่อสังคมวงกว้างมาให้ผู้เล่นแบบหนูด้วย นอกจากเล่นอย่างสนุก (เมามัน)แล้วเกิดความสุข ปิติ และพัฒนาได้อีกด้วยค่ะ นี่หนูก็เพิ่งกลับมาจากราชภัฎกำแพงเพชร ไปติดอาวุธทางปัญญาให้ครูปฐมวัยมาค่ะ และทำให้ครูปฐมวัยรับปากว่าจากนี้จะพัฒนากันเองต่อไปเพียงขอให้หนูมาเป็นโคชให้คำปรึกษา นี่คือผลลัพท์ style การทำงานของอาจารย์ที่สุดท้ายเขาจะต้องพึ่งตนเองได้เป็นสำคัญ คือการยั่งยืนโดยไม่ต้องมีโจทย์ยั่งยืนมาเป็นตัวนำค่ะ
ด้วยความศรัทธาค่ะ
ประภาพรรณ
ชอบงานเขียนของอาจารย์มากครับ