ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ...ความมหัศจรรย์มีจริง
การทำความดี ต้องได้รับความดีทันที โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมายกย่องชมเชย แต่คนที่ทำความดี ย่อมจะมีความสุข ความอิ่มใจในตัวเอง เมื่อยามได้เห็นผลงานที่ตนได้กระทำมา คงไม่สามารถบรรยายได้ว่า ความสุขนั้นมีเช่นใด แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความสุขดังกล่าวเราสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง อันเป็นเรื่องเฉพาะตัว
ในใจลึก ๆ คนที่ทำความดีไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลหรือการชมเชยจากบุคคลอื่น เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่คนอื่นจะเป็นผู้พิจารณาเอง ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจของเรา และไม่สามารถไปบังคับได้ เปรียบดังผู้รู้ท่านว่า ...การกระทำเป็นเรื่องของคน แต่รางวัลเป็นเรื่องของฟ้า....
สิ่งที่คนทำความดีได้อย่างแน่นอนคือ ความรัก ความสุข และความพอใจที่ได้ทำ คราใดมีงานให้ทำก็มีความสุข ความพอใจ เมื่อยามใดที่ทำงานเสร็จแล้ว ก็มีความสุขลึก ๆ ที่ได้เห็นผลงาน และภูมิใจในตัวเองว่าเราก็สามารถทำได้ และซาบซี้งและประทับใจในเพื่อนร่วมงานที่ได้ร่วมทุกข์และสุขในการทำงานด้วยกัน
มีบางคนเคยถามว่า เมื่อคราที่เราเสนอแผนงานให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา แต่ผู้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วย มีความรู้สึกท้อแท้บ้างหรือไม่
ก็คงตอบว่า ท้อแท้ เพราะเราก็คนธรรมดาเหมือนกัน ย่อมมีความรู้สึกดีใจ เสียใจ ผิดหวัง สมหวัง มีกำลังใจ และหมดกำลังใจเช่นกัน
แต่ถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมหรือกฎแห่งธรรมชาติ ก็พอจะทำใจได้ กล่าวคือโลกธรรม หรือธรรมประจำโลก ๘ ประการได้แก่ สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง สรรเสริญ และนินทา อันเป็นของคู่กัน ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อเราทำอะไรลงไป จะต้องมีคนเห็นด้วย กับไม่เห็นด้วย อันเป็นของคู่กัน
นักปราชญ์ท่านจึงกล่าวว่า...ปัญหาไม่มี บารมีไม่เกิด หรือ ไม่มีศึกสงคราม ย่อมไม่มีวีระบุรุษ
เมื่อปี พ.ศ. 2532 ขณะนั้นผู้เขียนปฏิบัติหน้าที่ราชการตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ 2 สำนักงานอัยการจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน โดยได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้รับผิดชอบงาน งานสคช. มีหน้าที่ในการให้คำปรึกษา แนะนำกฎหมายแก่ประชาชน จัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี จัดฝึกอบรมกฎหมายแก่ผู้นำหมู่บ้านและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน ตลอดจนออกไปเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายร่วมกับพนักงานอัยการ และนิติกร
ผู้บังคับบัญชาในสมัยนั้น เห็นว่าการปฏิบัติงานในปีนั่นเป็นผลให้ สคช.จังหวัดได้รับรางวัล สคช.ดีเด่น และได้รับรางวัลชมเชยอีกครั้งหนึ่งในปีถัดมา จึงสั่งให้ผู้เขียนทำผลงานเสนอเพื่อส่งเข้าคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจำปี แต่ผู้เขียนปฎิเสธ โดยอ้างว่าไม่มีรูปถ่าย(เพราะในการสมัครจะต้องติดรูปภาพเครื่องแบบข้าราชการจำนวน 2 แผ่น)และอ้างสาเหตุอื่น ๆ แต่ท่านไม่ยอมแถมยังให้เงินค่าถ่ายรูปให้อีกด้วย ทำให้ผู้เขียนเกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง จำใจต้องดำเนินการตามคำสั่งของท่านดังกล่าว ซึ่งในครั้งนั้นได้เสนอเข้าคัดเลือกในส่วนของจังหวัดและของสำนักงานอัยการสูงสุดด้วย
ผลปรากฏว่าในปีนั้น คณะกรรมการได้คัดเลือกให้ผู้เขียนได้รับคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นของสำนักงานอัยการสูงสุดและของจังหวัด พร้อมกันทั้งสองแห่ง
ต่อมา 19 ปีให้หลังปี พ.ศ.2551 จากอดีตที่ผ่านมา ครั้งผู้เขียนดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ 2 และได้มีความก้าวหน้าในวิถีชีวิตของข้าราชการ จนปัจจุบันได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 8 ปฎิบัติงานในหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการทั่วไป เมื่อมีหนังสือสั่งการจากส่วนกลางให้ดำเนินการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจำปี 2551 อีก
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม มีความโปร่งใส และเกิดความรอบคอบ
จึงได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจำปีขึ้น โดยมีรองอธิบดีอัยการเขต เป็นประธานคณะกรรมการ อัยการพิเศษฝ่าย อัยการผู้เชี่ยวชาย ผู้อำนวยการ และหัวหน้างานเป็นกรรมการในครั้งนี้ ทั้งนี้ ได้มีหนังสือสั่งการให้ทุกสำนักงานอัยการภายในสังกัดจำนวน 28 สำนักงาน คัดเลือกข้าราชการธุรการเสนอให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวทำการคัดเลือก
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าไม่มีสำนักงานใด ส่งข้าราชการเข้าคัดเลือกในครั้งนี้ จึงเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา โดยตั้งธงไว้ว่า ไม่มีข้าราชการที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวในปีนี้ และไม่ส่งข้าราชการธุรการเข้าทำการคัดเลือกเสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุด
ประธานคณะกรรมการสั่งว่า ต้องส่งข้าราชการธุรการเข้าคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นในปีนี้ จะรายงานว่าไม่มีข้าราชการมีคุณสมบัติไม่ครบได้อย่างไร เพราะสำนักงานเรามีผลงานมากมาย และได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ้าง ต้องเสนอให้ ผอ.เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น
ผู้เขียนได้เรียนท่านว่า คุณสมบัติไม่ครบ เพราะ ก.พ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องมีผลงานดีเด่นตั้งแต่ปี 2547,2548 และ 2549 เป็นระยะเวลา 3 ปี ย้อนหลัง ไม่ทราบจะไปหาผลงานมาจากที่ใด
ประธานกรรมการสั่งว่า ผมสั่งให้คุณทำ คุณต้องไปทำมา มีไม่มีก็ต้องทำ
เมื่อนายสั่งมีหรือเราผู้น้อยจะขัด เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ในสำนักงาน ผู้เขียนจำใจต้องปฎิบัติตามคำสั่งดังกล่าวด้วยความไม่สบายใจและเกิดความเครียด เพราะจะต้องจัดทำผลงานส่งภายในวันนี้ ขณะนี้ก็มีเวลาเหลืออยู่ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงเท่านั้น และส่วนกลางยังกำชับว่าต้องแจ้งให้ทราบภายในวันนี้อีกด้วย
ด้วยเหตุจำเป็นดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้จัดทำผลงานอย่างเร่งรีบ เพื่อส่งผลงานเข้าทำการคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นในปี่นี้
ต่อมาประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับโทรศัพท์และมีเสียงดังตามสายมาว่า
“สวัสดีค่ะ....ฝ่ายการเจ้าหน้าที่ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่พี่ได้รับคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นในปีนี้ ” เสียงของผู้หญิงดังตามสายจากส่วนกลา ง แจ้งมาให้ทราบ
“ขอขอบคุณครับ... จริงหรือเปล่า เป็นไปได้อย่างไร น่าจะคัดเลือกให้คนอื่นนะ เพราะผมเคยได้รับคัดเลือกมาครั้งหนึ่งแล้ว ” ผมถามไปด้วยความมึนงง และไม่เชื่อในหูตัวเองว่าฟังผิดหรือเปล่า
“ท่าน...รองอัยการสูงสุด เห็นชื่อพี่และดูผลงานพี่แล้ว ท่านตกลงคัดเลือกให้พี่เลย เพราะท่านบอกว่าท่านรู้จักพี่ดีว่าเป็นคนอย่างไร” เสียงตามสายจากส่วนกลางตอบกลับมา
“ขอโทษครับ ท่านรองอัยการสูงสุด คือ ท่านใดครับ ” ผู้เขียนถามไป
“อ้อ...ท่าน..... เป็นประธานในครั้งนี้คะ” เสียงดังตอบกลับมา
ผู้เขียนจึงถึงบางอ้อ ท่านเชื่อหรือไม่ว่า..ท่านรองอัยการสูงสุด ที่เจ้าหน้าที่บอกมานั่น ก็คือผู้บังคับบัญชาที่เคยบังคับให้ผู้เขียนทำผลงานเสนอให้คัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นเมื่อ 19 ปี ที่ผ่านนั่นเอง
สมดังผู้รู้ท่านว่า “ อันความดีที่ทำไว้กับใครนั้น ไม่มีวันเลือนหายไปภายหน้า กายอาจเลือนลับหายจากสายตา แต่ความดีไม่ลาลับหายจากสายใจ ”
ความมหัศจรรย์มีจริง ๆ ครับ ไม่เชื่อ !!ก็ต้องเชื่อ
@ ขอแสดงความยินดีกับ "ข้าราชการพลเรือนดีเด่น" ครับ
เจริญพร โยมศรีกมล
ยิ่งทำความดีมาก ก็ยิ่งมีข้อทดสอบมากเป็นธรรมดา
เจริญพร
ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ ความดีเมื่อทำแล้วย่อมเกิดสุข