13 เมษายน 2549
ทีแรก ตื่นเช้า แฟนผมกะจะไปทำบุญที่วัด แต่พี่สาวของเธอบอกว่าไปวันที่
15
ดีกว่าเพราะเป็นจังหวะที่คนส่วนใหญ่ที่นี่ไปกัน ก็เลยยกไปวันที่
15 แทน
ผมรับปากเธอว่าจะไปทำบุญที่วัดประจำตำบลกับเธอด้วย
วันนี้ผมตั้งใจจะไม่ทำงานอะไรมากมาย ใช้ชีวิตสุงสิงกับชาวบ้านบ้าง ไหนๆก็วันพิเศษของพวกเขา และก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ญาติพี่น้องฝ่ายเมียของผมทั้งนั้น
แฟนผมสาละวนกับการทำขนมแต่เช้า กวนแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว ผสมน้ำอ้อยและถั่วดิน เสร็จก็เอาไปห่อใบตอง ผมมองตาปริบๆแล้วก็ถามภรรยาว่าขนมนี้เค้าเรียกว่าอะไร เธอบอกคนไทใหญ่เขาเรียกว่า “ข้าวมูนห่อ” (ข้าวมูน เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า ขนม)
ระหว่างนั่งช่วยเมีย และแม่เมียห่อข้าวมูนอยู่ ติดๆกันวงผู้ชายก็กำลังตั้งวงลงขวดสุรากันอยู่ กับแกล้มหมูย่าง แหนม ถั่วดิน และยำไข่มดส้ม ฝีมือศรีภรรยาผมไม่อายใคร คาราโอเกะจากเครื่องเสียงไฮไฟดังลั่น ทั้งเพลงลูกทุ่ง แกรมมี่ หมอลำซิ่ง สตริงไทใหญ่ เปิดผสมปนเปกัน แต่คอเหล้าก็ยังมันส์กันได้ ส่วนผม นั่งห่อข้าวมูนสักแป๊บ ก็เข้าไปจอยวงเหล้า ดื่มพอเป็นกระสัย แม้จะไม่ใช่คอเพลงขานี้ แต่ก็ถูไถไปกับเขา ไม่ขัดข้องอะไร ไม่อยากให้ขัดศรัทธาพี่ๆน้องๆพอท้องร้องก็ขอตัวพาภรรยาออกไปทานข้าวร้านอาหารข้างนอก กินลมชมวิวชายทุ่งใกล้บ้านกัน ชีวิตวันหยุดต้องใส่ใจภรรยาให้มาก ยิ่งกำลังท้องกำลังไส้อยู่ด้วย
ขากลับจากร้านอาหาร เจอวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ เป็นหนุ่มลีซูจากหมู่บ้านแถวนี้ มาดักรดน้ำ ผมเอารถยนต์ไป ไม่กลัวเปียกอะไร แต่กลัวชนคนมากกว่า เพราะทั้งกลุ่มไปดักกันอยู่กลางถนนเลย ผมต้องชะลอรถ วัยรุ่นชายเชื้อเชิญให้เปิดกระจก ผมยิ้มและก็ออกรถช้า แต่ไม่วายได้ยินเสียงด่าไล่หลัง แต่ไม่รู้ว่าเขาด่าใคร
ผมไม่ได้เคืองอะไร แต่ก็มาคิดตามประสาคนชอบคิดว่า รูปแบบการเล่นน้ำสงกรานต์ของชาวไทใหญ่ที่นี่ ส่วนใหญ่ถึงแม้จะมีการสืบทอดความเชื่อทางศาสนา และการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีกันอยู่ แต่ก็มีคนอีกหลายส่วน เช่น คนต่างกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ลีซู ลาหู่ ปาเกอะญอ หรือแม้กระทั่งเด็กหนุ่มสาวชาวไทใหญ่รุ่นใหม่ ที่ไม่เข้าใจความหมายลึกๆที่ซ่อนอยู่ในเทศกาลนี้ และรับเอาไปแต่เปลือกโดยนัยยะที่เด็กหนุ่มลีซูมาเล่นสาดน้ำ ปะแป้ง ด้วยกิริยาไม่งามเช่นนี้ ผมคิดว่า ส่วนสำคัญเป็นผลพวงมาจากการขาดการเรียนรู้ ขาดความเข้าใจทางวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ ซึ่งอันนี้ ต้องว่ากันอีกยาวว่าจะพัฒนากันอย่างไร เพราะมันเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆมากมาย
ขอบคุณคำด่า และกิริยาหยาบคายในการเล่นสงกรานต์ของพวกเขา ที่ช่วยสะท้อนปัญหาสังคม ทำให้ผมมีตัวอย่างให้ขบคิดวันนี้ ขอบายก่อน ไม่อยากคิดมาก กลับบ้านไปตอนบ่าย เปิดพัดลมส่าย นอนหลับผึ่งพุงสบาย
แต่แฟนผมสบายกว่า เธอเอาผ้าเช็ดตัวเก่าๆมาชุบน้ำบิดพอหมาด แล้วเอามาห่มตัวนอนที่ระเบียง
“เย็นกว่าใช้พัดลมอีก ประหยัดไฟด้วย” เธอบอก
วิธีคลายร้อนนี้ ไม่จดลิขสิทธิ์นะครับ
ย่ำค่ำ ไม่มีทีท่าว่าวงสุราจะฟื้น ก็แปรสภาพลานใต้ถุนบ้านเป็นโรงหนังแบกะพื้นแทน ดูหนังของเฉินหลงเสร็จ เด็กๆก็แยกกันกลับ แฟนผมไปค้นเจอวีซีดีลิไทใหญ่ที่ผมเคยซื้อที่ตลาดนัดประจำอำเภอตั้งแต่หลายเดือนก่อน ก็เลยได้ฤกษ์เอามาเปิดชมกัน ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างคืนเดือนเพ็ญ
ผมก็แว่บลงไปนั่งดูลิเกไทใหญ่กับเขาบ้าง ระหว่างดูก็นวดคลายเส้นให้ภรรยาไปเพราะวันนี้เธอทำงานหลายอย่าง คงจะเมื่อย ส่วนลิเกนี่ดูไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะภาษาไทใหญ่ไม่แข็งแรง อาศัยคนอื่นๆช่วยแปลให้ แต่ชอบดูลีลาการร่ายรำมากกว่า อ่อนช้อยแต่ไม่เนิบนาบ เป็นท่วงท่ารำที่มีชีวิตชีวากระฉับกระเฉง อีกด้านหนึ่ง ผมก็ชอบชุดแต่งกายของนางรำ ผมยาวใส่เสื้อทรงแขนกระบอกเข้ารูป สวมซิ่นยาวคร่อมเท้า เวลาโยกย้ายร่ายรำดูพลิ้วไหวเหมือนจับชายผ้าไหมสะบัดไปมา รู้สึกได้ว่าสาวนางรำชาวไทใหญ่มีทั้งความอ่อนหวานและเฉียบขาดอยู่ในทีรู้สึกว่าผมจะติดใจลิเกไทใหญ่เข้าแล้ว กลับไปนั่งอิงไหล่เมียดูต่อดีกว่า
ไม่มีความเห็น