ในวาระที่ 3 ของการประชุมเครือข่ายฯสัญจร ครั้งที่ 3/2549
เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับผู้เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับประเด็นการแยกการบริหารจัดการเงินของสมาชิกทั้ง
3 กลุ่ม
วันนี้เรามาดูกันต่อดีกว่าค่ะว่าการประชุมจะดำเนินต่อไปอย่างไร
วาระที่ 3 เรื่องสืบเนื่อง (ต่อ)
ผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่าขอให้ทั้ง 3
กลุ่มมาเคลียร์กับเครือข่ายฯในเรื่องบัญชีและเงินว่าทั้ง 3
กลุ่มส่งเงินมาที่เครือข่ายฯเท่าใด
และเอาไปจากเครือข่ายฯเท่าใด
เพื่อที่จะทำให้บัญชีและเงินของเครือข่ายฯเป็นปัจจุบัน
จากนั้น ประธานกล่าวต่อไปว่า ประเด็นก็คือ
มีเงินที่ไหลเข้ามาในเครือข่ายฯ
และเงินที่ไหลออกจากเครือข่ายฯ ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่า
“เครือข่าย” คือ พวกเรา
ต้องเคลียร์ในจุดนี้ก่อนว่า
ผมพยายามพูดมาตลอดว่าเครือข่ายฯไม่ใช่สามารถ (ชื่อประธาน)
ผมไม่ได้จับต้องเงินของพวกท่านเลยแม้แต่สลึงเดียว
เงินเข้ามาสู่บัญชีต่างๆก็ต้องมีบัญชีรับ-บัญชีจ่าย
ทีนี้ก็ต้องมาเคลียร์กับคณะกรรมการกองทุนต่างๆ
เอากฎระเบียบของกองทุนต่างๆมาคุยกันให้ชัดเจน ให้เข้าใจ
เรื่องทำความเข้าใจก็คงคุยกันในเบื้องต้นแค่นี้ก่อนนะครับ
คงไม่เป็นปัญหา
ในเรื่องกองทุนต่างๆนั้น
ประธานได้เปิดเวทีให้กับรองประธานและคณะกรรมการกองทุนต่างๆ
อธิบายกองทุนที่ตนเองรับผิดชอบดูแลอยู่
ลุงคมสันในฐานะรองประธาน และเป็นผู้ดูแลกองทุนกลาง
ได้อธิบายเกี่ยวกับเงินในกองทุนกลางว่า
ในแต่ละเดือนกลุ่มต่างๆจะส่งเงินเข้ามาที่เครือข่ายฯเพื่อกันไว้เป็นกองทุนกลาง
20% (คิดจากเงินที่เก็บจากการออมของสมาชิกวันละ 1 บาท ใน 1 เดือน เป็น
100% เป็นกองทุนกลางที่จะต้องส่งมาที่เครือข่ายฯ 20%) ซึ่งกองทุนกลาง
20% นี้จะคิดเป็น 100% แล้วแบ่งย่อยออกเป็นอีก 4 กองทุน
คือ
1.กองทุนเสริมสภาพคล่อง 30%
2.กองทุนธุรกิจชุมชน 30%
3.กองทุนหมุนเวียน 30%
4.กองทุนค้ำประกัน 10%
คณะกรรมการที่รับผิดชอบกองทุนนี้ถูกเปลี่ยนมือมาตลอด
ตอนนี้มาอยู่ที่ผม (ลุงคมสัน)
การที่แบ่งเป็นกองทุนย่อยๆเหล่านี้มีความหมายทุกกองทุน
กล่าวคือ
กองทุนหมุนเวียน
มีประโยชน์สำหรับกลุ่มที่มีกองทุนหมุนเวียนอยู่
หากกลุ่มใดที่ดำเนินการกองทุนหมุนเวียน
(เป็นกองทุนที่ให้สมาชิกกู้ยืมเงิน)
แล้วเงินไม่พอให้สมาชิกกู้ยืม
กลุ่มก็สามารถมากู้ยืมกับทางเครือข่ายฯได้
ตรงนี้ก็จะทำให้เครือข่ายฯได้ดอกผลจากการที่ให้กลุ่มต่างๆกู้ยืม
ซึ่งดอกผลเหล่านี้ก็จะนำมาใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ อาทิ
เอาดอกผลไปสมทบกับกองทุนทดแทน
(ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในด้านเอกสารของเครือข่ายฯ
หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าอาหาร
เป็นต้น)
ส่วนกองทุนเสริมสภาพคล่อง
เอาไว้ใช้เมื่อกลุ่มใดที่เงินจัดสวัสดิการไม่พอ
ก็สามารถทำเรื่องมาขอกู้ยืมเงินในกองทุนนี้ได้
โดยกลุ่มที่ต้องการใช้เงินในกองทุนนี้จะต้องส่งรายงานฐานะทางการเงินของกลุ่มขึ้นมาว่าตอนนี้ฐานะการเงินของกลุ่มเป็นอย่างไร
กองทุนสวัสดิการขาดเงินจริงหรือไม่
เงินในกองทุนสวัสดิการที่ผ่านมาเอาไปจ่ายอะไรบ้าง
นอกจากนั้นแล้วยังต้องทำรายละเอียดส่งเข้ามาในเครือข่ายฯว่าเมื่อได้เงินไปแล้วจะเอาไปทำอะไรบ้าง
เพื่อที่เครือข่ายฯจะได้ทราบว่ากลุ่มนำเงินไปใช้ผิดประเภทหรือไม่
เป็นการให้ยืม ไม่ใช่ให้กู้
สำหรับกองทุนธุรกิจชุมชน เป็นความฝันของพวกเรา
เราจึงสร้างขึ้นในแผนที่ภาคสวรรค์ ต่อไปเราจะต้องทำธุรกิจ
แต่ว่าถ้าหากเราไม่มีการกระจายเงินมากันเอาไว้ในส่วนนี้แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนทำธุรกิจชุมชน
(นี่คือ
ที่มาที่ว่าทำไมต้องกระจายเงินกองทุนกลางบางส่วนมากันไว้เป็นกองทุนธุรกิจชุมชน)
ตอนนี้หลายกลุ่มก็เริ่มทำธุรกิจชุมชนกันแล้ว
โดยนำเงินที่มีอยู่ในกลุ่มมาทำกัน
(เงินกองทุนธฑุรกิจชุมชนจะมีอยู่ทั้งในส่วนของชุมชน
ซึ่งกันเงินออกมา 30% จากเงิน 100% ที่เก็บจากสมาชิกวันละ 1
บาท และในส่วนของเครือข่ายฯ
ซึ่งนำมาจากการเอาเงินกองทุนกลางที่แต่ละกลุ่มส่งเข้ามาที่เครือข่ายฯ
20% มากระจายออกเป็นกองทุนย่อยๆ)
ในขณะที่อีกหลายกลุ่มยังไม่ได้ทำ
แต่เอาเงินมาใช้จ่ายในการเสริมสภาพคล่อง
(ในขณะที่เครือข่ายฯก็ยังไม่ได้ทำอะไรในส่วนของธุรกิจชุมชน)
ขณะที่กองทุนค้ำประกัน คงยังต้องมีเอาไว้
ไม่ไปไหน ตอนนี้มีเงินอยู่น้อยมาก
ไม่กี่ร้อยบาท
ต่อไปเราคงต้องมานั่งคุยกันว่าจะยังคงกองทุนนี้ไว้หรือจะตัดออกไป
เมื่อลุงคมสันกล่าวจบ พี่นก ยุพิน
ได้ยกมือขอกล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า
ในเรื่องธุรกิจชุมชน
ตอนนี้ดูแล้วเห็นว่าเครือข่ายฯยังรอเวลาอยู่
ซึ่งอาจมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เครือข่ายฯยังทำอะไรไม่ได้
ยังต้องรออยู่
นกเลยอยากจะขอยกตัวอย่างในเรื่องการทำร้านค้าสวัสดิการชุมชนที่ตอนนี้ทางกลุ่มบ้านดอนไชยได้ดำเนินการไปแล้ว
ก้าวแรกที่เราเริ่มทำเราก็ได้กำไรแล้ว
เดือนที่สองก็ได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก เดือนที่สามก็เพิ่มขึ้นอีก
(ดูรายละเอียดได้ที่ gotoknow.org/donchai ค่ะ
ตอนนี้ทางกลุ่มได้ส่งรายละเอียดมาให้ผู้วิจัยแล้ว
จะพยายามบันทึกให้เป็นปัจจุบันที่สุดหลังสงกรานต์นี้ค่ะ)
คือ เรารู้ว่าชุมชนเรามีความต้องการอะไร
เราควรจะทำอะไร นกดูแล้วว่าตอนนี้มันช้าถ้าเรามัวแต่เคลียร์
(บัญชี) กันอยู่ ถ้ารอเวลาก็จะยิ่งช้า
เหตุการณ์ทุกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอด
เมื่อพี่นกพูดมาถึงตรงนี้ ประธานได้พยายามตัดบท
โดยกล่าวว่า โอเค ลุงคมสัน
ได้ขออนุญาตที่ประชุมแล้วกล่าวว่า
ในเรื่องธุรกิจชุมชนจริงๆแล้วผมคิดว่าเป็นเรื่องของกลุ่มหรือผู้นำกลุ่มในการตัดสินใจมากกว่า
เครือข่ายฯจริงๆแล้วทำหน้าที่แค่เป็นผู้ให้คำปรึกษาหรือสนับสนุนในเรื่องเงิน
จริงๆแล้วอยู่ที่ว่าคณะกรรมการกลุ่มต้องการที่จะทำอะไร
ตอนนี้ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างพูด คือ
มีแต่พูดแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป
ยังไม่มีการเสนอโครงการอะไรขึ้นมาที่เครือข่ายฯ เพราะ
ต่างคนต่างดู
อีกอย่างหนึ่งผมคิดว่าคงจะมีความคิดว่าถ้าเราทำของเราเองก็จะเป็นสัดส่วนของเรา
แต่ถ้าเราเสนอตัวนี้เข้ามา
คงคิดว่าเครือข่ายฯก็คงปล่อยให้เราทำ
เหมือนอย่างตอนนี้ใครทำก็ทำ ที่ไม่ทำก็ไม่ทำ
นี่อาจเป็นความวิตกกังวลของแต่ละกลุ่มก็ได้ที่ว่าเมื่อเสนอแล้วก็ต้องเป็นคนทำ
กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะค่ะ
แต่จะขอตัดตอนเล่าแค่นี้ก่อนค่ะ เพราะ
ยังมีเรื่องเล่าอีกยาว
ในส่วนต่อไปจะเล่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการบริหารจัดการกองทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นค่ะ
อดใจรอสักนิดนะคะ