หลักฐานมีอย่างไรต่อการห้ามบวช
บัณเฑาะก์ คือ กลุ่มบุคคลที่ถูกบัญญัติไว้ “ห้ามบวชในพระพุทธศาสนา” จึงเกิดการ “ไขความ”เพื่อหาทางออกว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงมีบัญญัติเช่นนั้น หรือว่าเป็นกลุ่ม “ชายนิยม” (เป็นคำนิยามของกลุ่มสตรีนิยม-ผู้เขียน) ที่บัญญัติวินัยในภายหลังเพื่อปกป้องกลุ่มของตัวเองโดยอาศัยฐานคิดจากความเชื่อในศาสนาเดิม อย่างที่พยายามตีความกันว่า “บัญญัติวินัยโดยโลกทัศน์ของผู้ชาย” จะเป็นความจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงหลักเชิงเงื่อนไขโดยมีเป้าประสงค์เพื่อปกป้องหมู่คณะอย่างที่ตีความกัน หรือว่าเป็นภาวะจริงแท้ที่บัญญัติไว้ในครั้งพุทธกาล ที่สอดรับกับสภาพสังคมเดิม และคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจบริบทนี้ การเรียกร้องสิทธิ์ต่อการบวชจึงไม่เป็นประเด็นทางสังคม หรือว่ามีแต่ไม่ปรากฏหลักฐาน
หลักฐานต่อการบัญญัติ “ห้ามบวช” ที่ปรากฏในคัมภีร์
“หลักฐาน” ตามคัมภีร์หลักในทางพระพุทธศาสนามีข้อบัญญัติเกี่ยวกับ “บัณเฑาะก์-กะเทย ” ไว้อย่างไร และทำไมต้องบัญญัติอย่างนั้น
ในวินัยบัญญัติได้มีการห้ามบวช “บัณเฑาะก์” ไว้ชัดเจน จึงเกิดคำถามว่า ทำไมจึงห้ามกะเทยบวชเหมือนกับกลุ่มสตรีนิยม ตั้งคำถามว่าทำไม “ภิกษุณี” หมดไปจากสังคมไทย ทำไมหญิงไทยจะบวชภิกษุณีในประเทศไทยไม่ได้ ? หรืออีกหลายคำถามที่โยนคำถามต่อสาธารณะเพื่อให้เกิดการวิพากษ์จนกลายเป็นวาทะกรรมหรือ อาจเลยไปถึง “วิวาทะ” ทางสังคมอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และยังหาทางออกร่วมกันไม่ได้ เพราะฐานของเหตุผล และการตีความแตกต่างกันไปตามสภาพเงื่อนของเจตนา ที่ตัวเองมุ่งหวังและตามสภาพของการรับรู้และฐานข้อมูล
สาเหตุของการห้าม “บัณเฑาะก์-เกย์-กะเทย” บวช
ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบทด้วยสาเหตุว่าในครั้งพุทธกาลมีการอนุญาตให้ “บัณเฑาะก์”บวชได้ เมื่อเข้ามาบวชแล้วมีพฤติกรรมที่ไม่เอื้อต่อพระธรรมวินัย ยังคงแสดงพฤติกรรมตามเพศรสที่ตัวเองชื่นชอบและแสวงหาสุนทรียะจากพฤติกรรมทางเพศรุกรานพระภิกษุสงฆ์สามเณรจนไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม
นำไปสู่การเพ่งโทษ ติเตียนของพระภิกษุสงฆ์สาวก และชาวพุทธและเป็นที่มาของบัญญัติห้ามบวชในพระพุทธศาสนา “พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย” นอกจากนี้ยังมี “อุภโตพยัญชนะ” ที่มีทั้งสองเพศอยู่ในร่างเดียวกัน ดังปรากฏในพระไตรปิฎกว่าอุภโตพยัญชนกคนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ เธอเสพเมถุนธรรมในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิตของตนบ้าง ให้บุรุษอื่นเสพเมถุนธรรมในอิตถีนิมิตของตนบ้าง ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย
การห้ามอุภโตพยัญชนะบวชยังเป็นกลุ่มที่ไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ในส่วนของบัณเฑาะก์กรอบของการให้ความหมายดังปรากฏในพจนานุกรมศัพท์พุทธศาสน์ที่ว่า “บัณเฑาะก์ คือ “กะเทย” คนไม่ปรากฏ ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ได้แก่กะเทยโดยกำเนิด ๑ ชายผู้ถูกตอนที่เรียกว่าขันที ๑ ชายมีราคะกล้าประพฤติ นอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น ๑ หรือในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ให้ความหมายทำนองเดียวกัน ดังนั้นในสภาพของการรับรู้ในสังคมไทย ในทัศนะผู้เขียนบัณเฑาะก์ กะเทย เกย์ ตุ๊ด แต๋ว จึงน่าจะถูกนิยามอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งหมายถึงเป็นกลุ่มที่ต้องห้ามตามวินัยบัญญัติในทางพระพุทธศาสนาแต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยน “ท่าที” ต่อประเด็นเหล่านี้เปิดกว้างมากขึ้น
ไม่มีความเห็น