การแพทย์แผนไทย : คุณหมอหวล สังข์พราหมณ์


ช่วงเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราเองมีหน้าที่ที่จะต้องติดต่อ ดูแล พระภิกษุรูปหนึ่งที่ป่วยด้วยอาการปวดหลังเรื้อรังมานานแรมปี

นับตั้งแต่ได้ฟิล์มซึ่งเป็น TC Scan จากโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งคุณหมอได้ฝากฟิล์มพร้อมกับทำการส่งตัวให้มาพักฟื้นและรักษาเพิ่มเติมที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์

เมื่อมาถึงเชียงใหม่ เราเองก็ได้ทำการติดต่อประสานงานให้เข้ารับทำการตรวจวินิจฉัยโรคกับนายแพทย์ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากเพื่อที่จะทำวินิจฉัยโรคและทำ MRI (magnetic resonance imaging) เพิ่มเติม

ผลการวินิจฉัยและขั้นตอนการรักษาต่อไปนั้นคือ "ต้องผ่าตัด" ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดประมาณ 150,000 บาท (ยังไม่รวมค่ายาและค่าที่พักในโรงพยาบาลระหว่างการพักฟื้น)

ดังนั้นเราจึงเตรียมติดต่อ ประสานงาน หาแผน หาลู่ทางที่จะส่งตัวจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดเดิม ผ่านเข้ามาทางตึกสงฆ์ เพราะหากทำการรักษาแบบเดิม คือ เข้ารักษาในส่วนของการรักษาเอกชน (ซึ่งอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ) จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก

แต่ทว่า... ด้วยบุญนำและกรรมที่เคยสร้าง "คุณหมอหวล สังข์พราหมณ์" ได้ชักชวนคณะลูกศิษย์ที่เคยร่ำเรียนวิชาการแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็น "การแพทย์ทางเลือก" เข้ามารักษา บริการให้กับพระ และญาติโยมอย่างไม่คิดมูลค่า รวมทั้งเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ ลูกหาเพิ่มเติม เพื่อรักษาวิชา ความรู้ ทางการแพทย์ของไทย ของโบราณซึ่งมีคุณค่าอย่างมหาศาลเหลืออนันต์

เมื่อคุณหมอหวลได้ดูฟิล์มเอ็กซเรย์แล้ว ท่านจึงบอกว่า "ลองรักษาดู"

ท่านเคยรักษาคนที่มีอาการหนักกว่านี้มา แต่มิใช่ให้ปฏิเสธการแพทย์แผนใหม่ แต่ให้ "ชะลอ" การผ่าตัดออกไป เพราะการผ่าตัดบริเวณกระดูกสันหลังนี่ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ อยากจะทำ

อย่ารอช้าเลย... เราจึงไปจูงมือพระที่ป่วยเดินมาหาหมอหวลในทันที เมื่อหมอหวลจับหลังดูและชวนลูกศิษย์คู่ใจ "หมอนัท" ให้ลองมาดูเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน แล้วจากนั้นก็เริ่มลงมือ "รักษา" ในทันที

ระหว่างนั้นเอง เราก็นั่งคุยโน่น คุยนี่ คุยไปสักพักหนึ่ง (ประมาณครึ่งชั่วโมง) คุณหมอหวลก็บอกหมอนัทให้มาจับดูใหม่ แล้วบอกว่าเจ้าก้อน ๆ ที่เคยมี เคยแข็ง เคยสร้างปัญหานั้น "หายไปแล้ว..."

คุณหมอหวลได้บอกว่า ก้อนแข็งนี้ยังไม่ใช่กระดูก เป็นเพียงหินปูนที่เกิดขึ้นมาแล้วไปกดทับเส้นเอ็นและเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหลังรามไปถึงต้นคอ เมื่อปวดมาก ๆ จะมึนหัว "ตึ้บ" ไปเลย

ตอนนี้เจ้าหินปูนนั่นหายไปแล้ว เหลือแต่เพียงเอ็นที่เคยหย่อนและกระดูกสันหลังข้อหนึ่งที่โค้งออกมายังไม่กลับเข้าที่ ดังนั้นจึงให้รัดผ้าไว้ใต้ชายโครงเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ จากนั้นค่อยกลับมาดูอีกทีว่าจะต้องผ่าหรือไม่ แต่รับรองว่า "หาย" ไม่มีปัญหา

ช่วงนี้ให้ระว่างอย่ายกของหนัก อย่าเอี้ยวตัว บิดตัวแรง ๆ ถือว่ารักษาตัวหลังผ่าตัดก็แล้วกัน...

คุณหมอหวลได้บอกว่า การแพทย์ทางเลือกนี้มิได้ปฏิเสธการแพทย์แผนใหม่ แต่มีไว้เพื่อเป็นทางเลือกที่จะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องกินยาทางวิทยาศาสตร์ที่มีผลข้างเคียง ถ้าดีขึ้น หรือหายปวด ก็จะดีกว่าการผ่าซึ่งจะมีผลตามมาค่อนข้างมาก

เพราะบางคนผ่าครั้งแรกแล้วไม่หาย ก็ยังต้องมีครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่หายถ้ามีครั้งที่สามล่ะ "เดี้ยง" เลย

ดังนั้น การแพทย์ทางเลือกนี้จึงมีไว้รักษาก่อนที่จะไม่มีทางใดที่จะรักษา "เลือกทางที่หาย" ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

วันนั้นเราเองรวมถึงพระที่ป่วยเองก็ไม่ต้องเสียสตางค์เลย (ที่จริงก็ไม่มีสตางค์กันอยู่แล้วนี่เน๊อะ)

คุณหมอหวลเอง ที่มาที่นี่ก็เพราะว่า "ปล่อยและวาง" แล้ว

ท่านบอกว่า ตอนนี้เอกลาภอะไรก็ไม่ต้องการ ต้องการเพียงว่าอยากสอนลูกศิษย์ เผยแผ่ และรักษาการแพทย์ทางเลือกซึ่งเป็น "การแพทย์แผนไทย" นี้ให้คงไว้อยู่กับประเทศไทยตราบนานเท่านาน

คุณหมอหวลบอกว่า เคยติดต่อผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองเพื่อให้รับการรักษานี้ไปเพื่อแพร่ขยายให้เกิดประโยชน์กับคนไทย แต่เรื่องก็เงียบหายไป "เข้ากลีบเมฆ"

ไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง...!

เราเองก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากที่ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดสนใจอย่างจริงจังกับการแพทย์แผนไทยนี้

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีผลประโยชน์ทางด้านการเงิน หรืองบประมาณ แต่การแพทย์แผนไทยนี้มีประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับสังคมไทย

เราจึงรับอาสามาเป็นข้อต่อเชื่อมประสาน เป็นกระบอกเสียง บอกต่อถึงเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ให้สังคมไทยได้รับทราบ ว่ามีคนดี ความรู้ดี ๆ ที่พร้อมจะมอบให้ เพียงแต่คนไทยซึ่งเป็นทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ในสังคมนี้เพียงแต่เปิดรับ เปิดใจรับโดยบริสุทธิ์ การแพทย์แผนไทยนี้จักสามารถเยียวยา รักษาได้ทั้งกาย ทั้งใจของคนไทยไปตราบชั่วนิรันดร์

หมายเลขบันทึก: 238300เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2009 09:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ

ได้อ่านบันทึกนี้แล้ว ต้องขอชื่นชมกับการแพทย์แผนไทย ที่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้ป่วยค่ะ

 

นมัสการค่ะ

การแพทย์แผนไทยเป็นมรดกที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และเผยแพร่ต่อไปค่ะ

คนไม่มีรากเคยทำงานในโครงการ ยกย่องและสรรหา ครูภุมิปัญญาไทย ซึ่งมีภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทย อยู่ด้วย...

กราบรบกวนขอชื่อและที่อยู่ของ คุณหมอหวล สังข์พราหมณ์ ด้วยค่ะ  จะได้ส่งต่อให้กับผุ้ที่รับผิดชอบโดยตรงค่ะ

 

การแพทย์แผนโบราณรักษาหายแล้วหลายโรคค่ะ ไม่ทราบว่ามีวิธีการรักษาโดยสังเขปไหมคะ และจากนี้ไป อาการที่เคยเกิดขึ้นจะกลับมาอีกไหมคะ ขอบพระคุณค่ะ

สำหรับที่อยู่ของคุณหมอหวลนั้น ตอนนี้ท่านไม่ค่อยรักษาให้ใครแล้ว ท่านปล่อยวางเรื่อง "เอกลาภ" คือ รายได้ เงิน ทอง ตอนนี้ท่านได้แต่สอนลูกศิษย์เพื่อเก็บและรักษาวิชานี้ไม่ให้สูญหายไป ช่วงก่อนท่านก็มาพักอยู่ที่วัดหลายวัน เพื่อรักษาโรคให้พระบ้าง สอนลูกศิษย์บ้าง

ส่วนเรื่องการส่งเรื่องให้กับผู้รับผิดชอบโครงการนั้น ต้องขอดูว่าเป็นโครงการอะไรก่อนเน๊อะ เพราะครูภูมิปัญญาไทยหลาย ๆ ท่านถูกนักวิชาการถูกหลอกไปเพื่อทำผลงานให้กับข้าราชการเยอะ งานนี้ต้องจริงใจและจริงจัง

 

ในเรื่องของการรักษา ถ้าลงลึกในรายละเอียดนั้นคงจะบอกไม่ได้ชัดเจนเพื่อเรารักษาไม่เป็น แต่ถ้าหากบอกลำดับขั้นการรักษาและสิ่งที่หมอบอกกับคนไข้ไว้ก็พอจะได้

ตอนแรกท่านก็เช็คฟิล์มเอ็กซเรย์และพูดคุยกับลูกศิษย์ของท่านจากนั้นก็จึงวินิจฉัยโรคและบอกว่า "รักษาได้"

หลังจากที่คนไข้มาท่านก็ให้นั่งหันหลังจากนั้นก็เริ่มนวดบริเวณกระดูกสันหลัง (ไม่ทราบวิธีนวด) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หินปูนส่วนที่เป็นปัญหาก็หลุดออกไป (สามารถตรวจสอบได้จากมือสัมผัส)

จากนั้นท่านก็ให้หาผ้ามาผืนหนึ่งมัดรอบเอว (ต่ำกว่าชายโครง) ไว้ให้แน่นพอสมควร เพื่อกระดูกสันหลังไม่ให้เขยื้อน

ท่านอธิบายว่า กระดูกสันหลังที่โก่งและงอตัวออกมาด้านหลัง ตอนนี้ท่านดันกลับเข้าที่ไปแล้ว แต่มีเอ็นเส้นหนึ่งที่ยืดออกเพราะเจ้าหินปูนที่เกาะอยู่ ตอนนี้หินปูนหายไปแล้วเอ็นเส้นนั้นจึงหย่อน ยังไม่เข้าที่ ดังนั้น ถ้าหากไม่รัดผ้าไว้เวลาก้มลงหรือขยับตัวแรง ๆ กระดูกสันหลังข้อนั้นก็จะหลุดออกมาอีก เพราะเอ็นยังไม่ตึงตัวกลับเข้าที่เดิม ต้องรอให้เอ็นยึดตัวกลับให้เหมือนเดิม ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 วัน

ต้องรัดแบบนี้ตลอด เวลานอนก็ต้องรัด ถอดออกได้ตอนอาบน้ำ แต่ก็ให้ระวัง "ห้ามก้ม" หรืองอหลังถ้าจะนั่งต้องนั่งตรง ๆ ห้ามยกของหนัก

แล้วท่านก็ให้ยามาทา (ไม่ทราบสูตร) ขนาดที่ทาปริมาณเท่าเหรียญบาท ทาเฉพาะที่เคยมีเจ้าหินปูนนั้น

การรักษาในวันนั้นท่านบอกว่ารักษาได้ประมาณ 85% ที่เหลือต้องนวดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถึงจะสมบูรณ์

ส่วนค่ารักษา "ไม่เสียเงิน" เพราะทั้งเราและพระองค์ที่ป่วยไม่มีสตางค์อยู่แล้ว (พระที่นี่ไม่จับสตางค์)

ตอนนี้เราก็พยายามถามพระองค์ที่ป่วยเรื่อย ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง...?

ท่านก็บอกว่าดีขึ้น แต่อึดอัดตอนที่รัดผ้า เราก็เลยบอกว่า อึดอัดตอนรัดผ้าก็ยังดีกว่าต้องมานอนเดี้ยงหลังจากโดนผ่าตัดหลัง

สำหรับอาการที่ยังไม่หายดีนั้น ก็เนื่องจากตอนนี้หมอหวลกลับกรุงเทพฯไปแล้ว จึงไม่สามารถรักษาในส่วน 15% ที่เหลือ ท่านนัดให้พระองค์นี้ลงไปที่กรุงเทพฯ เพื่อท่านมีเวลาว่างจะได้เข้ามารักษาต่อให้หายสนิท แต่ก็ยังไม่ได้ลงไป

ท้ายที่สุดจะหายหรือไม่หายนั้นต้องตระหนักในคำพูดขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ที่เข้ามาหลังจากการรักษาเสร็จว่า "จะหายหรือไม่หายมันอยู่ที่กรรมด้วย ทำกรรมไว้เยอะมันก็ไม่หาย..."

นมัสการค่ะ

เห็นด้วยกับที่ท่านกล่าวไว้ค่ะ...เพราะครูภูมิปัญญาไทยหลาย ๆ ท่านถูกนักวิชาการถูกหลอกไปเพื่อทำผลงานให้กับข้าราชการเยอะ งานนี้ต้องจริงใจและจริงจัง

และเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการโดยตรง ไม่สามารถรับรองได้ว่า...จะมีนักวิชาการคนใดทำเช่นนั้นหรือไม่?  จึงขออนุญาตไม่ขอสานต่อความคิดที่จะนำเสนอชื่อของคุณหมอหวล ให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย เพราะคนที่ทำงานเพื่อสังคมนั้นแม้จะได้รับการยกย่องหรือไม่ ก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น

สาธุค่ะ

สาธุ อนุโมทนาค่ะ

การแพทย์แผนไทยนั้นฉลาดล้ำลึก คนไทยถูกหลอกให้กินยาโน่นี่นั่น กินเข้าไปก็เกิดผลข้างเคียง หายตรงนี้ไปเป็นตรงนั้น กินยาฝรั่งไปเรื่อย คนขายร่ำรวยผิดหูผิดตา คนไข้กินยารอวันตาย ชีวิตขาดพลัง มองไม่เห็นโอกาส เข้าถึงธรรมะ เพราะห่วงแต่โรคภัยไข้เจ็บที่เป็น สมัยก่อนเราเน้นที่อะไร ก็สาธารณสุขมูลฐาน เน้นความสะอาด เน้นธรรมชาติ กระดูกหักก็ไปกราบท่านพระครู ่ทานก็เป่าน้ำมนต์ เข้าเฝือกด้วยท่อนไผ่ผ่าซี แล้วก็สอนให้ภาวนา ไม่ถึงอาทิตย์ก็หาย คนไทยดูถูกภูมิปัญญาไทยกันเอง จนฝรั่งแอบมาเรียนรู้และนำกลับไปใช้เป็นประโยชน์ ท่านกล่าวไว้นั้นประเสริฐแล้ว กรรมมีจริง 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท