ที่จริงแม่ต้อยอยากจะเล่าเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกๆที่การอบรมผ่านพ้นไป แต่แม่ต้อยก็รีรอมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องน่าจะเป็นผู้ผ่านประสบการณ์การถ่ายทอดร่วมกันจึงจะเข้าใจ แรงบันดาลใจที่จะเล่าเรื่องนี้มาจากกิจกรรมหนึ่งในหลายๆกิจกรรมที่ทางสถาบันฯได้จัดอบรมให้กับที่ปรึกษาและผู้เยี่ยมสำรวจ เนื่องจากมันมีความเกียวข้องกันแม่ต้อยเลยจะเล่าเรื่องนี้ก่อนในตอนแรก
แม่ต้อยได้มาทำงานที่สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลมาค่อนข้างนานๆๆๆ หากจะเรียกตามที่คนมักกล่าวชานกัน น่าจะเป็นรุ่นบุกเบิก นั่นแหละ แม่ต้อยมาทำงานที่นี่ตั้งแต่เรามีคนทำงานประจำเพียงแค่ไม่เกิน ๘ คนเท่านั้น
ก่อนที่แม่ต้อยจะตัดสินลาออกจากที่เดิมเพื่อมาทำงานที่พรพ.นี้ เมื่อคิดหวนกลับไปย้อนดูอีกครั้ง หรือทุกครั้งที่คิดถึง มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ ในราว.พศ ๒๕๓๙ -๒๕๔๑ แม่ต้อยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกองแผนงาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุขนั่นเองคะ ในตอนนั้นจำได้ว่ากำลังจะถูกเสนอชื่อให้ไปทำงานในระดับที่สูงกว่าที่ใดสักแห่งซึ่งยังไม่แน่นอน เรียกว่ากำลังรุ่ง( จริงๆนะ)
วันหนึ่งแม่ต้อยได้รับโทรศัพท์ คุณหมอ อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล ซึ่งท่านก็คือ ผู้อำนวยการของแม่ต้อยทุกวันนี้แหละคะ โทรมาชวนให้มาช่วยงานที่สถาบันฯหน่อย ตอนนั้นนึกในใจว่า ทำงานอะไรนะ ( ตัดสินด้วยว่าไม่ไปหรอก ขอสารภาพเลย) แต่ก็มีมารยาทที่ดีจึง บอกคุณหมอว่ามาคุยกันหน่อยดีไหม ว่า พี่จะช่วยอะไรได้บ้าง จะให้ทำอะไร ตอนนั้นที่พูดอย่างนี้เพราะไม่อยากให้คุณหมอเสียใจ เพราะว่าแม่ต้อยและคุณหมอ นั้น เรามีความคุ้นเคยและผูกพันกันมานานจากการทำงานร่วมกันที่กระทรวงสาธารณสุข
แม่ต้อยจำได้ว่าวันที่เรานัดเจอกัน นั้น เป็นวันใกล้ๆวันสิ้นปี อากาศเย็นสบาย แม่ต้อยขับรถไปหาที่นัดหมายในตอนเย็นๆ พร้อมด้วยกระเช้าวันปีใหม่ สำหรับคุณหมอและครอบครัว เราไปนั่งคุยกันคือบริเวณใต้ถุนตึกของกรมสุขภาพจิต เป็นบริเวณร้านขายอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่ ซึ่งในยามนั้นไม่ค่อยมีผู้คนเพราะเป็นตอนเย็น แม่ต้อยจำได้ว่าในขณะที่เราคุยกันมี คนวิ่งออกกำลังกายกันผ่านไปมา เรานั่งคุยกันนานมาก คุณหมอได้เล่าถึงเรื่องการที่จะเอาแนวคิดการพัฒนาคุณภาพมาใช้ในประเทศไทย
แม่ต้อยรับฟัง และมีคำถามต่างๆพรั่งพรูขึ้นมาอย่างมากมาย เป็นคำถามที่ล้วนแล้วแต่ใช้ข้อมูลเดิมที่มีอยู่ทั้งสิ้น เช่น โอ้โฮ หมอ นี่มีเรื่องที่จะต้องทำมากมายเหลือเกิน ไหนจะเรื่อง คนที่จะมาช่วยทำงาน ไหนจะเรื่องงบประมาณที่จะต้องมี ไหนจะเรื่องการยอมรับ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มันเป็นเรื่องใหญ่มาก เราเพียงสองคนจะมาเริ่ม จะทำได้อย่างไรกัน? ( ที่จริงเรื่องน่าจะจบตั้งแต่ตอนนี้... แต่บังเอิญว่าไม่จบ..)
ในบรรยากาศที่โพล้เพล้ ที่ทุกคนรีบกับไปหาครอบครัวที่อบอุ่น หรือแสวงหาความสุขในเทศกาลปีใหม่ มีเพียงแม่ต้อยและคุณหมอที่นั่งคุยกัน กัน ในบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงยุงที่บินหึ่งๆรอบๆตัวเรา เราสองคนที่เคยทำงานเรื่องคุณภาพด้วยกันมาระยะหนึ่งที่กระทรวงฯและแยกย้ายจากกันไปตามวิถีการทำงาน เมื่อมาเชื่อมต่อกันอีกครั้งด้วยความตั้งใจและด้วยความรู้สึกที่ดีต่อเรื่องคุณภาพ ทำให้รับรู้และสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของหมอคนหนึ่งที่อยากจะทำสิ่งดีดีให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรา( แม้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ฝึกการฟังแบบลึกซึ้งก็ตามที)
“แม่ต้อยเห็นสายตาที่มุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง ผสมผสานกับความต้องการ การช่วยเหลือ กำลังใจ เพื่อให้ความฝันนั้นเป็นความจริง
วันนั้น วูบหนึ่งในใจแม่ต้อยคิดว่า จะเป็นอย่างไรหนอหากเราทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำมา ทิ้งโอกาสดีดีที่กำลังจะมาถึงตามคตินิยมของข้าราชการ แล้วมาร่วมเริ่มต้นงานที่เป็นสิ่งใหม่ๆ มีแต่ความท้าทาย และแน่นอน คงมีอุปสรรคนานัปการ มันช่างท้าทายความรู้สึกจริงๆ ระหว่างความมั่นคงที่มีอยู่ กับอีกงานที่มีความหมาย แต่ท้าทายเป็นที่สุด ต้องใช้ความกล้าและหัวใจเท่านั้นจึงฝ่าฟันได้”
แต่ทว่า...ก่อนจากกันวันนั้น คำพูดที่ได้ทิ้งไว้กับคุณหมอคือคำว่า” ขอพี่คิดดูก่อนนะคะ”
หลังจากวันนั้นมา เนื่องจากงานที่ค่อนข้างยุ่ง จึงทำให้แม่ต้อยลืมคำพุดที่ให้ไว้เสียสนิทใจ...........
เส้นทางชีวิตของแม่ต้อยคงกำหนดมาแล้ว เพราะว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ ก็ได้รับการติดต่อมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยแรงความคิดที่บังเกิดขึ้นมาจากการพูดคุยครั้งแรกยังติดค้างในใจ เมื่อได้มาคุยกันอีกครั้งหนึ่งจึงแน่ใจในเป้าหมายชีวิตที่เราที่จะทำ คราวนี้แม่ต้อยตัดสินใจ เป็นไงเป็นกัน ที่แม่ต้อยต้องพุดว่า เป็นไงเป็นกัน นั้นเนื่องจากว่า ด้วยความที่เป็นข้าราชการ การจะมาทำงานในหน่วยงานลักษณะนี้ต้อง ใช้วิธียืมตัว หรือลาออก เท่านั้น แต่เนื่องจากตำแห่งผู้อำนวยการกองเป็นตำแหน่งบริหาร หากแม่ต้อยจะไปทำงานที่อื่นที่ไม่ใช่ราชการจะต้อง ลาออกสถานเดียว เพื่อคนที่มาทำงานแทนจะมีตำแหน่งรองรับ
เมื่อตัดสินใจได้จึงโทรไปหาคุณหมอ บอกว่า “ พี่ตกลงลาออกแล้วนะ จะมาช่วยหมอทำงานนี้ “ ประโยคที่แม่ต้อยได้ยินกลับมาคือ” ขอบคุณพี่มากครับ พี่ทำประโยชน์ให้กับประเทศมาก มาช่วยกัน สร้างบ้าน แปงเมืองกัน นะครับ”
ชีวิตการทำงานใหม่แม่ต้อยจึงเริ่มอีกครั้งที่นี่ ที่ซึ่งไม่มีระดับ C ไม่มีรถประจำตำแหน่ง ไม่เคยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ต้องมาฝึก และไม่มีห้องทำงาน ส่วนตัว( ตอนนี้ยังนั่งรวมกันอยู่คะ เพราะว่าชินเสียแล้ว) และเราต้องฝึกทำงานเองทุกอย่างให้ได้ ให้เป็น
จำได้ไม่มีวันลืมว่า ในเดือนแรก เรารับอาสาจัดประชุมเพื่อเอาเงินมาเป็นเงินเดือนให้พนักงาน เคยไปต่างจังหวัดเพื่อจัดหลักสูตรอบรมที่ต้องทำเองทุกอย่างตั้งแต่จัดหลักสูตร ทำเอกสาร ลงทะเบียน พิธีกร และวิทยากร เคยนอนค้างที่สนามบินเพราะต้องเดินทางตลอดเวลา แต่มีความสนุก และสุขจากการที่เป็นคนที่”เคยมีอะไร” มาเป็นคนที่”ไม่มีอะไร” เรียกได้ว่าฝึกการลดอัตตาได้ดีทีเดียว
สงสัยด้วยความแก่ บวกกับความเก่า หรือความเก๋า ก็แล้วแต่ ในปัจจุบัน น้องๆทุกคนจึงพร้อมใจกันเรียก “ แม่ต้อย” ยามอยู่ใกล้ชิดกัน เพราะว่า รากฐานของหน่วยงานนี้ งอกงาม จากคนกลุ่มเล็กๆและค่อยๆบ่มฟักกลายเป็นครอบครัวใหญ่
“ในยามที่แม่ต้อยออกไปทำงานต่างจังหวัดกับน้องๆ แม่ต้อยมักจะเล่าตำนานเหล่านี้ให้น้องๆฟังเสมอ แม่ต้อยมักจะเปรียบเทียบว่า มันเหมือนกับการที่เราเดินทางไปในป่าใหญ่ โดยยังไม่เห็นแสงไฟ หรือแม้แต่แสงเทียนข้างหน้า รอบกายเต็มไปด้วยขวากหนาม ต้องระแวดระวังภัยอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่เราไม่ท้อ ขอเพียงให้เรามีความระลึกว่าเราตั้งใจจะทำอะไรเท่านั้น ” แม่ต้อยต้องการให้น้องๆได้รู้จักที่มาหรือตัวตนขององค์กรให้ลึกซึ้งมากขึ้น
หน้าที่ที่สำคัญของแม่ต้อยอีกเรื่องหนึ่งคือการสนับสนุนให้ผู้เยี่ยมประเมิน และที่ปรึกษาที่จะเข้าไปในในโรงพยาบาลนั้นเป็นผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร อย่างแท้จริง คือเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือเป็นผู้ที่น่ายกย่อง เป็นผู้ที่น่ารัก เป็นผู้ที่น่าศรัทธา ดังนั้นนอกเหนือจากความรู้ทางวิชาการแล้ว แม่ต้อยจึงต้องหาโอกาสสร้างความรู้และทักษะในการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เพื่อให้การทำงานในการพัฒนาคุณภาพนั้นเกิดการเชื่อมโยงจาก ภาคความรู้ และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลอย่างแท้จริง ด้วยการเห็นคุณค่าเอาใจใส่จิตใจของผู้ที่เราลงไปพบปะทุกขณะ ทำให้การไปสร้างคุณภาพในโรงพยาบาลเต็มไปด้วยความสุข ความสนุก และเกิดคุณค่า
แม่ต้อยจึงได้เรียนเชิญอาจารย์ ทั้งสามท่านคือ ท่านอาจารย์ สกล ท่านอาจารย์วรวุฒิ และท่านอาจารย์ แอ้ด มาเป็นผู้ที่ทำหน้าที่กระบวนกรในการอบรมของเรา ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
ที่แม่ต้อยตั้งใจจะเล่ายังไม่ปรากฏในตอนนี้นะคะ อันนี้เป็นการเกริ่นนำ หรือที่มา หรือเป็นความนำ ของเรื่อง”ผู้สืบสาน” ที่แม่ต้อยจะเล่าในตอนที่๒ คะ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ แม่ต้อย พอลล่ารออ่านต่อตอนสองเหมือนพี่ครูคิมค่ะ เรื่องนี้หากจะเขียน พอลล่าว่าเป็นหนังสือ ตำนานได้เล่มหนาๆเลยค่ะ เอาไว้เอาไปพิมพ์ดีไหมคะ อิอิ
แม่ต้อยสู้ๆๆๆ
. ครูคิม
สวัสดีคะ
ขอบคุณมากคะที่มาให้กำลังใจในทุกครั้งเลยคะ หวังว่าคงมีโอกาสได้เจอกันนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งคะ
พอลล่าคะ ที่สอนไว้ทำไม่เป็นอีกแล้วคะ
แต่ขอบคุณมากคะ ที่อยากให้เขียนแบบหนาไปเลย
ต่อไปจะเขียนเรื่องพอลล่านะคะ
สวัสดีค่ะ แม่ต้อย
. พชรวรัตถ์ แสงทองชนาพงศ์
สวัสดีคะน้องแหวว ดีใจมากคะที่เห้นความตั้งใจในการสร้างโรงพยาบาลของเราให้มีคุณภาพ บางครั้งอุปสรรคที่มีมากทำให้เราเกิดพลังสู้ได้นะคะ แม่ต้อยจะเป็นกำลังใจให้น้องแหววเสมอคะ และหากมีเรื่องเล่าที่ดีดีของบ้านแพรก ซึ่งแม่ต้อยคิดว่าต้องมีอย่างแน่นอน น้องแหววมาเล่าให้เพื่อนๆฟังหน่อยนะคะ
ขอบคุณคะ ให้น้องแหววมีความสุขมากเช่นกัน
สวัสดีครับ
มาทบทวนเรื่องเล่า หลังจากที่ได้ฟังของจริงครับ
ผมได้เรียนรู้เรื่องบทเรียนอันสำคัญของ ผู้เริ่มต้น ผู้สร้าง และผู้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย
ขอบคุณครับ