ชีวิตเรานั้น “เศร้า” จัง...


 

ในวันฟ้าหม่น ช่วงเวลาที่อาทิตย์เริ่มอัสดง จิตใจของเรานี้ก็ปลดปลงไปกับกาลเวลา...
ชีวิตที่เศร้าเพราะความเหงานี้ช่างเงียบอย่างเหงาหงอย

 

การเดินทางของนักสู้ที่ต้องปฏิบัติภาวนาให้ชีวิตนี้มี “อิสระต่อความอยาก”
อันความอยากที่จะสนุกสนาน ครื้นเครง เป็นความรู้สึกที่ฉาบทาผิวหน้าแห่งจิตว่าดีว่า “สุข...

“ความสุขจากความสนุกสนานนั้นนับได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างละเอียด”

อันชีวิตที่กำลังต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ในคราบของ “มิตรร้าย” คือความสุขซึ่งเป็นทุกข์อย่างละเอียดนั้น จิตใจนั้นจะหว้าเหว่และแสนเงียบเหงา
เปรียบเสมือนดั่งงูหรืออสรพิษที่กำลังหงอยเหงาซึมเศร้าใกล้ถึงวันตาย
เจ้ามิตรร้ายนี้ก็กำลังนอนป่วย ผ่ายผอม รอวันที่จะดับสลายไปจากดวงใจ

จิต ณ วันนี้จึงแสนเศร้า ระทมนัก
ผ่ายผอมด้วยการตัดเสบียงซึ่งเป็นกำลังบำรุงของเจ้า “กิเลส”
กิเลสหรือเจ้ามิตรร้ายนี้ที่กำลังเรียกร้อง “อิสระที่จะอยาก” อยากมี อยากเป็น อยากตื่นเต้น อยากเร้าใจ
ซึ่งตอนนี้เรากำลังต่อสู้เพื่อให้ดวงจิตของเราพ้นเสียซึ่งอิสระอันจอมปลอมนั้น

ตอนนี้เจ้ากิเลสจึงแสดงฤทธิ์แผลงเดชให้เรารู้พลังแห่งความเหงาอันนำมาซึ่งความเศร้า...
ชีวิตของเราจึง “เศร้า” นัก

หันมองไปหาใคร ผู้ใด คนใดนั้นก็ไม่มี
เงี่ยหูไปฟังเสียงดนตรีไม่ได้ยิน

ด้วยข้อวัตร ปฏิบัติ ที่เป็นเสมือนดั่งกำแพงซึ่งแข็งแรงดั่งขุนผานี้
รูป เสียง กลิ่น และรสโผฐฐัพพะ หลีกลี้หนีตนไม่เข้ามาย่างกราย

หากเราเศร้าเหงาจนตาย ก็ขอให้รู้ว่าจักต้องตายในเหตุนี้
เหตุที่เราสู้ เราไม่ยอมแพ้ จากการโดนมิตรร้ายเฝ้ารังแก “กายและใจ”
ลองดูซิว่าชีวิตนี้จักเศร้าไปถึงไหน
หากเศร้าจนถึงตาย "ตายเพราะธรรม" ก็เทียมทัน...

 

หมายเลขบันทึก: 236570เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2009 18:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ภาพถ่ายพระพุทธรูปในวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี

  • “อิสระต่อความอยาก”
  • “ความสุขจากความสนุกสนานนั้นนับได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างละเอียด”
  • ขอบพระคุณค่ะ

 

กราบนมัสการค่ะ

...

หากเศร้าจนถึงตาย "ตายเพราะธรรม" ก็เทียมทัน...

...

ภาพนี้งามยิ่งนัก ทางเดินแห่งธรรม อีกยาวไกล

.

ขอบคุณท่านค่ะ กับกับการนำเรื่องราวดีดีที่ช่วยทำให้ใจที่เร่าร้อนของคนสงบลงได้ด้วยธรรมนำทางค่ะ

กราบนมัสการ ได้รับความรู้สึกที่ดีทุกครั้งเมื่อได้เสพบทความของท่าน ขอขอบพระคุณที่แบ่งปันความสุข..

นมัสการครับ เมื่อใจเป็นทุกข์ ชีวิตก็ทุกข์ครับ เมื่อใจเป็นสุข ชีวิตก็เป็นสุขครับ

หัวข้อนี้น่าสนใจ

แต่แปลกดี!!!

เพราะเรามีจริต ตรงกันข้ามกับ อาจารย์ใน บทความนี้

* สำหรับตัวเรา ชอบปลีก ชอบความเงียบ ชอบอยุ่คนเดียว

ดังนั้น บางทีทำให้เราต้องหมั่นตรวจสอบกิเลสที่กำลังครอบงำตัวเองให้ดี

เมื่อเวลาที่มีโอกาสอยุ่ที่ที่ แยกจากสังคมอันวุ่นวาย เรากลับตกอยู่ในกิเลสอีกอย่างที่อยาก+ชอบอยู่เงียบ ไม่ต้องพูดคุย

การบ้านเราคือ ตัวเองสามารถไปวัด หรือป่า เขา ได้ ด้วยใจเป้นกลาง ไม่อยากซุกตัวอยู่งั้นตลอดไป

* และเวลาที่เราอยู่ในเมืองที่ๆมีคนเยอะๆ เราก็ต้องหมั่นสังเกตุกายใจให้ดี ว่าเราจะกระวนกระวาย อยากกลับบ้าน กลับที่ส่วนตัวเร็วๆ

การบ้านเราคือ เราต้องอยู่ในสังคมให้ได้ โดยไม่ถุกกิเลสครอบงำให้อยากหนี

นี้ล้วนเป้นโอกาสให้เราภาวนาทั้งสิ้น

แต่น่าแปลก ที่คนเรามีจริตต่างกัน

(เคยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนก็แปลกใจ เพราะเพื่อนจะเหงา เมื่ออยุ่ที่เงียบๆเช่นวัด)

เงียบ ใจเราอยู่กับตัวเราคงดี

ความเงียบนี่น่ากลัวนะ...!

สงครามที่ยิงกันตูมตามยังไม่น่าเกรงขามเท่า "สงครามเย็น..."

ชีวิตที่อยู่ในสถานที่วุ่นวายมาก ๆ แล้วมีช่วงเวลาหนึ่งได้ปลีกตัวออกไปหาความเงียบ ความสงบนั้นเป็นช่วงเวลาที่สุด "วิเศษ"

แต่ถ้าหากชีวิตคนที่ต้องจมอยู่กับความเงียบ เงียบทั้งชีวิต เงียบอย่างไม่มีทางที่จะได้ยิน เมื่อเงียบจนถึงจุดนั้นแล้วเราจะรู้ถึง "อำนาจแห่งความเงียบ"

คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเงียบ แต่คนเราเกิดมาเพื่อ "สงบ"

ความเงียบคือ "ความไร้ค่า" ความสงบคือ "ความสุขแท้"

บางคนชอบหนีสังคมไปหาความเงียบ โดยการนั่งเงียบ ๆ อย่าง "ไร้ค่า..."

มนุษย์ที่สูงค่าจึงต้องตั้งหน้าและตั้งตาทำงานด้วยใจที่ "สงบ"

งานภายนอกยิ่งวุ่น ยิ่งดัง ยิ่งดี

งานภายในคือจิตนี้ ยิ่งเงียบ ยิ่งสงบ "ยิ่งสุข..."

ปล่อยกายให้วุ่นวายแล้วดูแลใจให้ "สงบ..."

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท