Workshop พรพ.1: เยี่ยมเยียนเรียนรู้


เยี่ยมเยียนเรียนรู้

หนึ่งในบรรดางานที่ผมเห็นว่าน่าอิจฉาเป็นที่ยิ่งก็คือ งานที่ปรึกษาตรวจเยี่ยม เพราะเนื้องานนั้นเต็มไปด้วยพลังงานสร้างสรรค์ องค์ความรู้เชิงปฏิบัติ และโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคนที่มีจิตอาสา จิตโพธิสัตว์ มากมาย ดังนั้น เมื่อพี่ดวงสมร จาก พรพ. (สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล) โทรศัพท์มาหาผม บอกว่า อยากจะเชิญให้ไปทำกิจกรรมร่วมกันหน่อยกับบรรดาที่ปรึกษาและผู้ตรวจเยี่ยมของ พรพ. ผมก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนั้นกำลังเดินอยู่ที่ Emporium แผนกหนังสือ ก็เดินคุยโทรศัพท์ติดต่อไปหาคุณหมอวรวุฒิ (ผอ.รพ.สันทราย) ว่าพอจะมีเวลาว่างที่จะไปแยมกันไหม มีวาระพิเศษเข้ามา ก็ได้งานอย่างรวดเร็ว โควตา 2 คืน 2 วันครึ่ง น้อยกว่าที่เราอยากได้ไปนิด แต่ก็พอไหว (จริงๆอยากได้ 3 คืน 4 วัน เพราะส่วนใหญ่คนจะ peak ประมาณวันที่สอง คืนที่สอง และหลังจากนั้นจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวได้อย่างลื่นไหล มีอะไรก็จะงอกงามได้หมด) รู้ตัวอีกทีผมมายืนอยู่หน้าเคาเตอร์เสื้อผ้า ลงมาอีกสองชั้นโดยไม่รู้ตัว เพราะเวลาคุย ผมเดินไปคุยไป ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง งานทั้งหมดก็ลงตัว กำหนดการสถานที่เรียบร้อย ที่ต้องรีบคุยให้จบ เพราะผมกำลังจะต้องเดินทางไปเรียน palliative care ที่ซิดนีย์ต้นเดือน กพ.นี้ และไป 3 เดืิอน

หลังจากคุยกันในกลุ่มกระบวนกร ซึ่งมีผม วรวุฒิ และแอ๊ด (คุณพัฒนา แสงเรียง จากแพร่) เช็คกับพี่วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ปรากฏว่า visa ขาด (visa ออกนอกจังหวัดเชียงราย แหะ แหะ ขอเอามาแซวเล็กๆครับพี่) เลยมีสามหนุ่ม สามมุม แอ๊ดจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ใช้สมรรถภาพทางกาย ที่เราสองคนตกลงกันว่ายินดีเสียสละให้น้องแอ๊ดได้ทำ ผมกับวุฒิก็จะหล่อเลี้ยงฐานใจ ฐานความคิดกัน ด้วยคุณสมบัตินักมวยเก่าที่ได้เจริญภาวนามาหลายปีของแอ๊ด และอยู่กับวัดมานานทำให้พระไตรปิฎกสลายละลายลงไปในสายเลือด (เพราะคุณพ่อแอ๊ดเคยเป็นมัคทายกและทำงานให้วัดมาตลอดทั้งชีวิตอันงดงามของท่าน) แอ๊ดจึงเป็นกำลังสำคัญเชื่อมโยงสายบู๊และสายบุ๋นเข้าด้วยกัน

อาจารย์แอ๊ด

วันพฤหัสที่ 17 มกรา ผมมาถึงดอนเมืองก่อน ประมาณ 5 โมงเย็น นั่งรอวรวุฒิกับแอ๊ดที่เดินทางมาจากเชียงใหม่ มาถึงตอน 6 โมงเย็น ผู้โดยสารค่อนข้างเยอะ สองคนหลังนี่พึ่งเดินทางมาจากอีก workshop นึงที่เลย หน้าตาซีดเซียวจากอุณหภูมิเย็นจัดของภาคเหนือ เรารอ TAXI ประมาณ 15 นาที ก็ได้ขึ้นรถ คนขับอารมณ์ดีมาก รำพึงรำพัน โชคดีแต่เที่ยวแรกเลยๆ พอเห็นที่หมายว่าเป็นโรงแรม Royal Jem's Lodge แถวศาลายา เพราะเป็นนอกเขตปริมณฑกรุงเทพ ได้เป็นราคาเหมาจ่ายไป

รถค่อนข้างติด (ตามปกติ กทม.) คนขับ (ชื่อคุณมนัส ชวนอยู่) ก็ชวนพวกเราคุย เพราะจะต้องนั่งรถกันอีกนานพอสมควร หัวข้อแรกๆก็ check-in (ยังกะ workshop แน่ะ) พี่มาจากไหน น้องมาจากไหน ตามธรรมเนียม เราก็บอกไปว่า มาจากเชียงใหม่ แพร่ หาดใหญ่ (เป็นความหมายที่เราคิดว่า น่าจะเพียงพอที่จะรู้ว่าเรา no idea เรื่องทิศทางและจราจรใน กทม.) ปรากฏว่าคุณมนัสแกเคยทำงานกระทรวงมหาดไทย ก่อนจะมาเป็น part-time taxi และในที่สุดก็ full-time taxi

จราจรกระดึ๊บๆไปช้าๆ คุณมนัสก็ชวนเราคุย เพราะกลัวจะเบื่อ มีรถมากมายพยายามจะเปลี่ยนเลนไป เปลี่ยนเลนมาเพราะคิดว่าจะไปได้เร็วขึ้น แต่ผลก็คือจราจช้าลงกว่าเดิม เพราะเลนรถสับสนปนเปไปหมด คร่อมเลนกันเกือบทุกคัน เราก็เริ่มสังเกตเห็นว่าคุณมนัสเป็นคนอารมณ์ดีมากๆ ท่ามกลางจราจลที่เหมือนจราจล แกก็ยังคุยไปเรื่อยๆ ไม่ได้หงุดหงิดอะไร

ในที่สุดการสนทนาก็ต้องมาแตะเรื่องสีเหลือง สีแดง จนได้ ตามธรรมเนียม เราก็ลุ้นๆกันว่าจะมาไม้ไหน แล้วเราก็เริ่มประหลาดใจ เพราะคุณมนัส probe เรื่องนี้กับเราอย่างแนบเนียน แก criticize ทั้งสองฝ่ายอย่างที่เรียกว่า authentic และ hit-to-the-fact จริงๆ พูดเป็นเชิงว่า ฝ่ายไหนๆ ก็เห็นแต่ฝ่ายตัวเองถูก แต่ผลที่สุด ความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างไร น่าจะเป็นเรื่องที่จับต้องได้มากที่สุด พวกเราก็เริ่มหูผึ่ง เพราะ radar การเรียนรู้ของเราเริ่ม detect อะไรดีๆที่กำลังจะมาได้

"มีคนถามว่าผมสีอะไร" คุณมนัสเล่า "สีเหลือง รึสีแดง? ผมก็บอกว่าผมสีนำ้เงินครับ เขาให้คนขับ taxi ใส่สีน้ำเงินอย่างเดียว หรือมีคนถามว่าผมฝั่งไหน มัฆวาน หรือสนามหลวง? ผมก็บอกว่าผมอยู่ฝั่งธนฯครับ อยู่แถวตลิ่งชัน ปัด โธ่  อะไรมันจะให้จัดสี เลือกฝ่ายกันตลอดเวลา ทุกที่ ทุกสถานการณ์ วันๆก็ทำมาหากิน หาเงินให้ลูก ให้เมีย ให้ครอบครัว จะมาหาเรื่องทะเลาะกัน เกลียดกันทำไม"

พวกเราฮากันตรึม เพราะสำนวน ท่าทาง ของแกเวลาวิจารณ์นั้น มันจริงๆ แต่ hidden message นั้น เราพอจะทราบว่า แกกำลังบอกเป็นนัยว่า พวกเราสีอะไรก็ช่างเถอะ แก OK และทราบว่าแต่ละคนก็มีความคิดของตนเอง แกไม่ได้เกลียด ไม่ได้โกรธฝั่งไหน เราคิดดู แกขับ taxi ทั้งวัน เจอคนหน้าใหม่ตลอดวัน คุณมนัสแกจะมีมาตรการในการจัดการดูแลให้บรรลุพันธกิจประจำวัน คือการทะนุถนอมอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไรเมื่อสิ้นสุดวัน

คุณมนัสแกสังเกตเสียงหัวเราะ และจังหวะการพูดรับตอบของเราสามคนตลอดเวลา เมื่อไรเราแผ่วไป อาจจะเหนื่อย หรืออาจจะไม่เห็นด้วย แกก็จะ switch ข้าง จูนพลังงาน หรือเปลี่ยนเรื่องใหม่ ผมบอกกับวรวุฒิทีหลังว่า น่าจะให้แพทย์ประจำบ้านจิตเวชมาเรียนรู้วิธีการ counselling จากคุณมนัส เพราะแกทำได้ธรรมชาติจริง เริ่มจากแกสามารถฟังพวกเราอย่าง I in You ได้ตลอด และแกดูแลเรา (ซึ่งที่สุดแล้ว ก็กลายเป็นการดูแลตัวเองไปด้วย) เป็นวาระของเราจริงๆ พร้อมที่จะต่อยอดสิ่งที่เราพูด เรา comment อย่างเนียนๆ ชิวๆ

คุยไปคุยมา คุณมนัสแกเคยทำงานกระทรวงมหาดไทย เคยมีเจ้านายหลายคน แกเคยได้ไปประจำอยู่ฟินแลนด์เป็นปีๆ เดินทางไปโน้นมานี่เยอะ จากการที่แกช่างสังเกต และช่างพูด ช่างสนทนา มีบุญคุณต้องจดจำ มีความแค้นต้องให้อภัย ทำให้คุณมนัสมีเครือข่ายค่อนข้างเยอะ

เราเดินทางมานาน พอหลุดจาก กทม.มาได้ รถก็วิ่งฉิว พอถึงแยกนึงเห็นเขียนนครชัยศรี แต่ปรากฏว่ารถวิ่งตรงต่อไปอย่างรวดเร็ว เราก็เอะใจเล็กน้อย ขับไปได้อีกประมาณ 15 นาที จราจรชะลอตัว คุณมนัสก็ถามเราว่า "เอ.. รร.ที่อาจารย์กำลังจะไปนี่ อยู่แถวไหนของนครปฐมพอจะทราบไหมครับ?" อา..... ตูว่าแล้ว เราก็บอกว่า "เอ.. มันอยู่แถวศาลายานะครับ ไม่ใช่นครปฐม!!" เท่านั้น แกอึ้งไปพัก ขะยุกขะยิกหยิบเอาตั๋วที่เคาท์เตอร์ taxi ที่ดอนเมืองให้แกมาส่องๆดู อุทาน "ศาลายาเหรอครับ! ตายแล้ว เรามากันคนละทางเลย นี่ที่ตั๋วก็เขียนไว้ว่านครปฐม มันคนละ rate นะครับ ศาลายาถูกกว่าเยอะ เพราะใกล้กว่า" ผมกับวุฒิหันไปหาเจ้าแอ๊ดคนติดต่อ แอ๊ดยืนยันว่าบอกศาลายา ไม่ใช่นครปฐม ตอนนั้นคุณมนัสเริ่มหาทางกลับรถ หันมา reassure เราว่าไม่เป็นไรๆ ครับ กลับรถข้างหน้านี่เอง ปรากฏว่าตอนจะหาทางกลับรถนั่นเอง ถนนที่เรามาก็กลายเป็นรถติดมโหฬาร เพราะมีอุบัติเหตุ รถตู้ รถเก๋ง ชนกัน พุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าที่เกาะกลางถนนล้มขวางถนน ติดทั้งสองฝั่งเลย

เราต้องกระดืบๆไปข้างหน้าไปอีกพอสมควร กว่าจะหาที่กลับรถได้ แถมยังต้องผ่านการติดขากลับตรงรถชนนั่นอีกครั้งนึง เพราะมันติดทั้งสองฝั่ง คุณมนัสหัวเราะฮึ ฮึ วิเคราะห์ให้เราฟัง

"ตอนแรก ผมก็ว่าจะถามพวกอาจารย์แล้ว เพราะโรงแรมนี้ในนครปฐม ผมไม่รู้จัก แต่ที่ไม่ถาม เพราะเหตุผลสามประการ

  1. เห็นเป็นคนไทย จะถูก จะผิด ก็น่าจะมีการท้วงติงกันได้ไม่ยาก
  2. เช็คตั๋ว taxi แล้ว ชื่อเราถูกต้อง รถเราถูกต้อง ที่หมายชัดเจน (ตั๋วเขียน "นครปฐม")
  3. ว่าจะไว้ถามตอนใกล้ๆจะถึงก็ได้ แม้จะไม่คุ้นชื่อโรงแรมก็ตาม
ด้วยเหตุผลทั้งสามประการฉะนี้ มันก็เลยเป็นเช่นนี้ล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า" คุณมนัสหัวเราะเสียงดัง "อาจารย์คงจะต้องทานข้าวช้าไปอีกหน่อยแล้วล่ะครับ" คุณมนัสแจกแจง แยกแยะ ทำ root-cause analysis ออกมา ให้เราเห็นกระบวนการ downloading ที่ทำงานอย่างชัดเจน เพราะทางเราเองก็ใช่ย่อย ที่จริงก็เคยหลงมาหลายทีแล้ว ตอนจะมา Jem's Lodge นี่ เพราะมันอยู่นอกเมือง นอกกรุงเทพฯ ต้องคนขับที่คุ้นเคย ถึงจำแยก จำทางได้ แต่พวกเราก็ปากหนัก ไม่ได้ confirm (ไม่ได้ confirm แม้่กระทั่งศาลายา หรือนครปฐม ฮึ เจ้าแอ๊ด นะเจ้าแอ๊ด) ทำไมเราถึงได้ assume ไว้ว่า พอเป็นคนขับ taxi จะต้องรู้ทางและไปถูกเสมอก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่กล้าพูด กล้าคุยด้วย เพราะเราคุยกันครื้นเครงตลอดทาง แต่ไม่มีใครคุยเรื่อง destination ที่เป็น primary source ของการนั่ง taxi คราวนี้เลย
คุณมนัสชวนพวกเราคุย บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ ไม่นานมาก จากตรงนี้" (ที่จริง ถ้าบอกแต่แรกเริ่ม เราเดาว่า เราน่าจะมาคนละทางเลยทีเดียว แต่แรก) คุณมนัสยังอารมณ์ดีอยู่ หยิบโทรศัพท์มาพูด (น่าจะเป็นทางบ้าน) บอกว่าอาจจะเกิดการ delay ขึ้น เพราะที่หมายเปลี่ยนจากนครปฐม ไปเป็นศาลายา แกบอกว่า "หลงแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆครับ ไม่ทราบเพราะอะไร พอเกิดแล้วบางคนก็หงุดหงิด บางคนก็โกรธ ผมก็ไม่รู้จะโกรธไปทำไม ก็มันหลงมาแล้ว ไม่ได้หลงคนเดียวที่ไหน ก็หลงทั้งคันนั่นแหละ ราคา taxi ก็เป็นเหมาจ่าย ไม่ได้เป็นมิเตอร์สักกาหน่อย ไหนๆหลงมาแล้ว เราก็ต้องหามุมมองอะไรดีๆ ดีกว่าไปโกรธมัน อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่า อาจารย์ได้นั่งคุ้มเลยนะครับ ฮิ ฮิ"
เราก็หัวเราะพลาง ทึ่งพลาง ในมุมมอง แง่คิดของคุณมนัส จนลืมเรื่องที่เราเกือบจะได้ไปเยี่ยมพระปฐมเจดีย์แบบไม่ได้ตั้งใจ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็มาถึง Royal Jem's Lodge โดยสวัสดิภาพ เราบอกให้คุณมนัสรอแป๊บ แล้วติดรถออกมาร้านภัตตาคารจีนเจ้าประจำ คือ ฮั่ว เซ่ง ฮง ตรงปากทาง แล้วก่อนที่ Workshop ที่วางกิจกรรมส่วนใหญ่บน concept ของ Theory U ของออตโต ชาร์มเมอร์จะเริ่มขึ้น ก่อนจะลงรถ คุณมนัสได้พูดติดตลก ฝากเราอีกว่า

"แหม คราวนี้ เราเดินทางเป็นรูปตัวยูเลยนะครับ!!!"

อะไรจะขนาดนั้น!!!!!

หมายเลขบันทึก: 236242เขียนเมื่อ 20 มกราคม 2009 11:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 04:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • ท่านรองเอาจริงนะครับอาจารย์
  • บุกเชิญอาจารย์เลย
  •  เมื่อพี่ดวงสมร จาก พรพ. (สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล) โทรศัพท์มาหาผม บอกว่า อยากจะเชิญให้ไปทำกิจกรรมร่วมกันหน่อยกับบรรดาที่ปรึกษาและผู้ตรวจเยี่ยมของ พรพ
  • เอาแม่ต้อยมาฝาก
  • อิอิๆๆ
  • คนเดียวกันนะครับ
  • รองดวงสมรเขียนบันทึกแล้วครับ
  • ฮ่าๆๆๆๆๆ

มาฮ่า ฮ่า ฮ่า กับอ.ด้วยค่ะ

สนุกได้ความรู้ รู้ใจTexi

คราวหน้ามาอีก ถนนเปลี่ยนสาย

แต่มุ่งสู๋เป็นหมายได้เหมือนกัน อิอิ

ท่านเขียนบันทึกนี้

ทำเอาต้องเปิดเน็ตเพื่อหาข้อมูลเติมเต็มความอยากรู้ของตัวเอง

ให้การรับรู้มันใกล้เคียงใจคนเขียน

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ อาจารย์ แค่ อ่าน พรพ.1 ก็อยากจะติดตามอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะ ..เสียดายมากๆที่ไม่ได้ไปเติมพลังและเรียนรู้กับอาจารย์ค่ะ รออ่านจากบันทึกอาจารย์ดีกว่าค่ะ อาจารย์ช่วยสงเคราะห์คนที่ไม่ได้ไปด้วยนะคะ ขอบพระคูณค่ะ

อาจารย์คะ พี่ต้อยมาแล้วคะ ช้ามากจังเพราะเริ่มเข้ามาเป็นสมาชิกในเวลาเดียวกับที่พี่เรียนเชิญอาจารย์นั่นแหละคะ ตอนนี้พี่กำลังจะมีโรงพยาบาลประมาณปีละ ๖๐ แห่งที่จะมาเข้าเป็นเครือข่ายนี้คะ อย่างไรอาจารย์ คงมาเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ต่อไปอย่าง ต่อเนื่อง นะคะ

ฝึกจากอาจารย์ แล้วมาอ่านต่อในนี้เพื่อตอกย้ำนี่มันเข้าถึงจิตใจจริงๆคะ

กราบขอบพระคุณมากคะ

  • อาจารย์บรรยายซะจนทึ่งในตัวคุณมนัสไปเลยละค่ะ "อะไระจะขนาดนั้น"
  • น่าสนใจมากๆ จนแหววอยากติดตามกระบวนการต่อค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์สกล

ขนาดยังไม่เริ่มกระบวนการยังมีเรื่อง ฮา ขนาดนี้ต้องตามอ่านตอนต่อไปครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท