beeman 吴联乐
นาย สมลักษณ์ (ลักษณวงศ์) วงศ์สมาโนดน์

เหตุเกิดที่ มน.


ครั้งแรกผมคิดว่าผมจะได้เรียนรู้ทางมิติกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่การณ์กลับปรากฏว่า ผมได้เรียนรู้มิติทางสังคม-และจิตวิทยาไปพร้อมกันด้วย

     ประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง ได้รับโทรศัพท์จาก อ.ภูคา ซึ่งกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดน่าน ว่า "นิสิตชายชีววิทยา ปีที่ ๑" ที่แกเป็นที่ปรึกษา คนหนึ่งขับรถไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน และมีผู้บาดเจ็บ ๑ ราย ถูกนำส่งโรงพยาบาลมน. วานให้ไปช่วยดูหน่อย เนื่องจากว่า beeman อยู่ในมน.(อ.ภูคา ติดต่อหัวหน้าภาควิชาไม่ได้ และรองหัวหน้าภาควิชา ๒ ท่านก็คุมนิสิต ๒๐ คน ไปเข้าค่ายหัวโจก ที่วังทอง)-อันนี้เป็นโจทย์

     คำถามคือ ผมเป็นอาจารย์ลูกภาคคนหนึ่งเท่านั้น...ผมต้องรับงานนี้หรือไม่ หรือควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้บริหารฯ

    คำตอบคือ ผมยินดีรับงานนี้ (โดยไม่แจ้งให้ฝ่ายบริหารทราบ-ค่อยบอกกันวันจันทร์) เพราะมันคงช่วยให้ผมเรียนรู้อะไรในกรณีนี้ เป็น Case Study (ความจริงคือผมได้เรียนรู้อะไรมากกว่าที่คาดหวังไว้มากทีเดียว)

    หลังจากผมถามชื่อนิสิตชาย และหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้ จากอ.ภูคาแล้ว ผมก็รีบเดินทางโดยพาหนะมอเตอร์ไซด์ ไปถึงรพ.มน. แผนกฉุกเฉินภายในเวลาไม่เกิน ๒๐ นาที

    ไปถึงโรงพยาบาลก็พบนิสิต ๔ คน เป็นชาย ๒ หญิง ๒ นั่งรออยู่ที่โรงพยาบาล หลังจากพูดคุยกันแล้ว พอจะลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้

    เวลาประมาณ ๑๓.๐๕ น. นิสิตชายชีววิทยาปี ๑ คนหนึ่งสมมุติชื่อว่า "ดำ" ขับขี่จักรยานยนต์มีนิสิตหญิงคณะศึกษาศาสตร์ชั้นปีที่ ๑ (สมมุติชื่อว่า "วิ") ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันเมื่อสมัยเรียนอยู่โรงเรียนในจังหวัดสุโขทัยซ้อนท้าย จุดหมายปลายทางคือหอพักนักศึกษาปี ๑ ของเอกชนซึ่งอยู่ในมน.

     พอขับมาผ่านหน้าโภชนาคาร ๒ (อยู่ตรงข้าม) ใกล้จะถึงป้ายรถเมล์ (อยู่ฝั่งตรงข้าม) มีรถยนต์สีเขียวคันหนึ่งขับช้าๆ อยู่ด้านหน้า "ดำ" เร่งความเร็วแซงรถยนต์คันนั้น คนขับรถยนต์คันนั้นมองไม่เห็นดำ เขาขับรถเลี้ยวขวาทันที เพื่อจะมุ่งหน้าไปทานอาหารที่โภชนาคาร ทำให้เฉี่ยวชนกับรถของดำ

    รถของดำเสียหลัก (แต่ไม่ล้ม) แต่เพื่อนของดำคือวิ ตกจากรถและสลบไปไม่รู้สึกตัว ดำไม่เป็นอะไรมาก...เจ้าของรถยนต์และดำ นำวิส่งรพ.มน.แผนกฉุกเฉิน

    เมื่อไปถึงรพ.แล้ว (ประมาณ ๑๓.๓๐ น.) เจ้าหน้าที่รพ. โดยคำสั่งของแพทย์ ส่งวิไป x-ray ศีรษะ ระหว่างนั้นดำก็โทรศัพท์ไป-(1) หาพ่อแม่ของตัวเอง (2) หาพี่สาวของวิ (3) หาอ.ภูคาที่ปรึกษา (4) เพื่อนอีก ๓ คนที่ไม่อยู่เหตุการณ์ มีเพื่อนชาย ๑ คน และเพื่อนหญิง ๑ อยู่ชีววิทยา และเพื่อนหญิงอีก ๑ คน อยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์

    ส่วนคู่กรณีไปทำธุระ ที่ shop ฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ก่อน เดี๋ยวจะกลับมา..

    ผมไปถึงรพ.ใกล้จะ ๔ โมงแล้ว ได้คุยกับดำ แล้วก็ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของรพ.หน้าห้องฉุกเฉิน ถึงเรื่องค่าใช้จ่าย เขาแนะนำว่า เดี๋ยวทางพยาบาลเขาจะแนะนำเอง

    ผมพอทราบว่า กรณีอย่างนี้ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ คือดำ ซึ่งมีผู้ซ้อนท้ายและมีผู้ประสบภัยหรือบาดเจ็บ จะใช้สิทธิ์ตามพรบ. ผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อเบิกค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ได้ในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท (ยังไม่ต้องพิสูจน์การขับขี่ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกหรือผิด)

    ผมพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้นิสิต ๔ คนฟัง แต่ไม่ทราบว่าเขาจะเข้าใจกันไหม แต่เดาเอาว่าคงไม่เข้าใจ เพราะจิตใจเป็นห่วงเพื่อนมากกว่า

    สักพักใหญ่ คู่กรณีมาพร้อมเพื่อนที่ Shop physic (หลังจากที่นิสิตบอกว่า โทรตามเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว)ผมก็คุยกับเขาดีๆ แบบผ่อนคลาย ว่า กรณีนี้เท่าที่ผมทราบ ค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ต้องพิสูจน์ว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด ทางพรบ.จะรับผิดชอบในวงเงิน 15,000 บาท เขาก็เข้าใจ แต่รู้สึกว่าเขามีกังวลหลายอย่าง

    เขาเล่าว่า เขาทำงานอยู่นอกมหาวิทยาลัย วันนี้ตั้งใจนำ "ชิ้นงาน" ชิ้นหนึ่งมาส่งให้ที่ Shop Physic และมาเกิดเหตุก่อน...ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น

    พยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน เชิญน้อง ๑ คน เข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมก็ให้ดำเข้าไป (ในฐานะที่เขาเป็นผู้ขับขี่และรู้จักวิดีที่สุด) เขารับใบสีขาวๆ มา ๑ ใบ และบอกผมว่า "หมอบอกว่า วิต้องนอนรพ.1-2 คืน เพื่อรอดูอาการ เนื่องจากกระดูกคอร้าวเล็กน้อย...ผมให้น้องทั้ง ๔ คน ไปพบเจ้าหน้าที่รพ.ตามลำพัง (จุดประสงค์เพื่อให้เขาเรียนรู้ประสบการณ์ ถ้าผมไปด้วยเขาก็จะคิดพึงพาผม) ส่วนผมยังคุยอยู่กับคู่กรณี (แบบสุนทรียสนทนา-คือไม่สร้างแรงกดดันให้กับเขา)

    สักพักนิสิตหญิงคนหนึ่ง เดินถือโทรศัพท์มายื่นให้ผม เพื่อคุยกับพี่สาวของวิ...คำแรกที่ผมได้ยินคือ "เราต้องสำรองจ่ายให้โรงพยาบาลก่อน 600 บาทหรือ ทั้งที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด.." ผมก็อธิบายก่อนว่า ผิดหรือถูกเราไม่รู้ เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และผมคิดว่าความจริงเราคงไม่ต้องจ่ายเงิน คงมีอะไรเข้าใจผิด เดี๋ยวผมจะเดินไปดูน้องๆ แต่ที่ผมไม่ไปด้วยตั้งแต่แรก เพราะผมต้องการจะสอนเขาแบบไม่สอน ให้เขาเรียนรู้จากประสบการณ์

   พี่สาวของวิก็เข้าใจผม บอกว่าให้สอนให้มากๆ หน่อย แล้วก็ขอชื่อและเบอร์ติดต่อผมไว้-พี่สาววิทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำหน้าที่เป็นล่าม (เข้าใจว่าคนเป็นล่ามนี้คงจะต้องเจรจาเก่งด้วย..อิอิ)

   พอผมไปพบเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เขาก็บอกว่า ให้เซ็นเอกสาร ที่มีค่าใช้จ่ายระบุไว้ว่า 600 บาท ผมถามที่มาที่ไป เขาบอกว่า เป็นเรื่องของเอกสาร แต่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน เพียงแต่รับทราบว่ามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น 600 บาท (ค่าใช้จ่ายเกิดจากวิ ต้องนอนรพ.1 คืน)  เมื่อเราทำเรื่องตามพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถแล้ว ทางรพ.จะไปเรียกเก็บเอง..เขาให้ผมเซ็นในฐานะพยาน และให้ดำเซ็นในฐานะผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

    หลังจากนั้นเขาก็ยื่นเอกสารสีเขียวพร้อมอธิบายให้ฟังว่าจะต้องเตรียมเอกสารมายื่นให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลดังนี้

  1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้ประสบภัย/เจ้าของรถ    จำนวน ๒ ฉบับ
  2. สำเนาทะเบียนบ้านผู้ประสบภัย/เจ้าของรถ                  จำนวน ๒ ฉบับ
  3. สำเนาใบขับขี่ (ถ้ามี)                                             จำนวน ๒ ฉบับ
  4. สำเนาตารางกรมธรรม์ (พรบ)                                  จำนวน ๒ ฉบับ
  5. สำเนารายการจดทะเบียนรถ (คู่มือรถ)                        จำนวน ๒ ฉบับ
  6. สำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน               จำนวน ๒ ฉบับ

    รายการที่ 1-5 น้องดำเป็นผู้ดำเนินการ...ซึ่งเขาคิดว่าจะกลับไปที่พิจิตรเพื่อนำเอกสารเหล่านี้มา ส่วนรายการที่ 6 นั้น ผมชวนดำและคู่กรณีไปที่โรงพัก (โดยผมใช้กลยุทธ์ให้ไปรถคันเดียวกัน-โดยคู่กรณีพาเราไป..อิอิ)

    โรงพักนั้นอยู่ในมน.นั่นเอง ขับรถไปไม่ถึง ๕ นาที มีนายดาบ ๑ คน เฝ้าโรงพัก พอบอกวัตถุประสงค์แล้วเขาก็ลงบันทึกประจำวัน ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เกิดเหตุวันใด มีใครเป็นคู่กรณี และมีใครเป็นผู้บาดเจ็บ ผู้ชับขี่ชื่ออะไร ผู้โดยสารชื่ออะไร (ต้องถูกต้องตามบัตรประชาชน) รถที่เกี่ยวข้องมียี่ห้อและหมายเลขทะเบียนอะไร...หลังจากนั้นเขาก็จะถ่ายสำเนาให้ ๒ ฉบับ รับรองสำเนาถูกต้อง ปกติต้องมีค่าใช้จ่ายในการคัดสำเนา แต่ที่สถานีมน.นี้ เขาใจดีอนุโลมไม่เรียกเก็บ

    ส่วนการชี้กรณีว่าใครถูกหรือผิดเขายังไม่ชี้ รอให้ร้อยเวรมาชี้ แต่ทางร้อยเวรก็จะรอให้ผู้บาดเจ็บออกจากรพ.เสียก่อน จึงจะเรียกคู่กรณีมาตกลงกัน

     ที่ทำให้ผมเรียนรู้มากคือ-ครั้งแรกผมคิดว่าผมจะได้เรียนรู้ทางมิติกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่การณ์กลับปรากฏว่า ผมได้เรียนรู้มิติทางสังคม-และจิตวิทยาไปพร้อมกันด้วย (จากการเชื่อมโยงของผม-ซึ่งจะไม่เล่าในที่นี้) และจากกรณีนี้ทำให้ผมเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่า 9 ปี ของการปฏิรูปการศึกษานั้นล้มเหลว..  

    เรากลับมาที่หน้าโรงพยาบาลพร้อมกัน 3 คน-คู่กรณีกลับไป, ดำ ไปดำเนินการเรื่องเอกสาร และเพื่อนหญิงคณะวิทยาศาสตร์จะเตรียมตัวมานอนเป็นเพื่อนวิในคืนนี้..ส่วนผมก็กลับมาหอพักของผม เราแยกย้ายกันตอน ๖ โมงกว่าๆ...

    อ่านบันทึกเก่าของผมที่เกี่ยวกับเรื่อง พรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้ <ที่นี่>

beeman by Apinya

มนุษย์ผึ้งมหัศจรรย์  
神奇的蜂爷
  
(shen2  qi2  de1  feng1  ye2)

หมายเลขบันทึก: 235799เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2009 20:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:10 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรียน ท่านอาจารย์ BeeMan ครูภูมิปัญญาไทย

  • ชีวิตมีหลายมิติ
  • ขอให้คิดสร้างสรรค์
  • ทุกปัญหามีทางออก
  • เพราะ
  • สติมา ปัญญา ย่อมเกิด ครับ

ขอบพระคุณครับท่านอาจารย์ JJ

ติดดาวในี้ห้ครับว่าบันทึดนี้มีความรู้

  • เมื่อวันก่อน ลูกสาวผมเขียนบันทึกเรื่องการทำ "น้ำผัก" ไปส่งครูภาษาไทย แล้วกลับมาคุยว่า ได้ 2*
  • บอกต่อว่า 2* ไม่ธรรมดาน๊ะ เพราะว่ามีหนูได้คนเดียวทั้งห้อง นอกนั้นได้ 1* หรือ ไม่มี * เลย
  • แล้วอ.หนึ่งให้ผมกี่ดาวครับ..อิอิ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท