ประวัติความเป็นมาของผญาอีสานเป็นบทกวีหรือวรรณคดีภาษาอีสานมีประวัติมาตั้งแต่บรรพกาล ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาค ๑ เรื่องพงศาวดารล้านช้าง เรื่องขุนบูฮมหรือบูลม(บรม) เขียนไว้ว่า ขุนบูฮมอพยพมาจากทางเหนือเพื่อสร้างบ้านแปลงเมืองโดยมีแถนกลอนมาสอนคำแปลคำด้วย นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงการเผยแพร่พุทธศาสนาเข้ามาในดินแดนแหลมทองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดบทกวีและวรรณกรรม โดยการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายให้นักปราชญ์อาจารย์นำเค้าโครงเรื่องในนิทานชาดก แต่งเป็นกาพย์กลอนบทกวี เป็นภาษาอีสานเพื่อเป็นกุศโลบายในการโน้มน้าวจิตใจคน
ให้เลื่อมใสในพุทธศาสนา (จารุบุตร เรืองสุวรรณ .๒๕๒๐)
ราวปี พ.ศ. ๒๑๐๗ ตั้งแต่เมืองเวียงจันทน์เป็นราชธานี มีชายอายุกลางคน เกิดที่เมืองเวียงจันทน์ ชายผู้นี้เป็นคนฉลาดแต่การศึกษาไม่สูงนัก ชายผู้นี้เห็นอะไรพบอะไรก็จะผูกเป็นคำผญา เกี่ยวกับสิ่งนั้นทันที ชายผู้นี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อบักเซียงน้อยหรือบักน้อย เมื่อไปที่ใดก็จะมี บักน้อยไปด้วยเสมอ ชายผู้นี้มีความฉลาดเห็นอะไรก็ผูกเป็นผญา แล้วพูดออกมา บักเซียงน้อยเป็นคนคอยจดเอาคำผญานั้นทุกครั้ง จึงมีคำผญาให้ผู้คนได้พูดจาสืบต่อมาจนปัจจุบัน แต่ผู้ที่เขียนก็ได้ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานต่อ ๆ กันมา ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนมายืนยัน (ปรีชา พิณทอง .๒๕๒๘)
ผญาจะเริ่มมีใช้มีช่วงไหนนั้นไม่มี หลักฐานระบุแน่ชัด แต่ยอมรับว่ามีมานานแล้วเพราะในวรรณกรรมซึ่งเป็นที่ยอมนับว่าเก่าแก่ ที่สุดของชาวอีสานคือ ท้าวฮุ่งท้าวเจืองบางตอนมีการใช้เปรียบแบบผญา(นิตยา ภักดิ์บัณฑิต.๒๕๓๒ : ๑๔-๑๙) เช่น
ตอนท้าวฮุ่งหรือเจืองพบกับนางง้อมในพิธีลงข่วงเสี่ยงสานแนน
แต่นั้น บาคานเจ้าคำหวาน ต้านม่วน
ขุนกล่าวถ้อยแถลงถ้วน สุอัน
ชอบอ่อนน้องนงถ่าว ภูบาล
ในทรวงคิดว่าพอ เพิงต้าน
คำจาแท้สงสาร สองภาค
อันนี้เขาว่า หินก้อนล้าน ทับมือ
จักปากรือ ว่าได้
เยียวท่อให้ ลือซา เป็นต้น
(เปรียบเทียบความรู้สึกต่อนางอันแสดงถึงความชอบพอ ความอายที่จะบอกรักนั้นมากดุจดังมีหินล้านก้อนมาทับมือไว้ไม่ให้ยกมือขึ้นได้)
เฮาก็ ดูแนนทั้งสอง เสมอภาค กันแล้ว
ท่อว่า แนนเพื่อนพุ้นทังค่าย ต่างสวน
กกอยู่พุ้นปลายหาก เชยชอน
ออระควรไป้ฮ่วมกัน เผือผั้น
(เปรียบเทียบความสัมพันธ์เหมือนกับต้นไม้ ที่ถึงแม้โคนต้นจะอยู่ห่างกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นกิ่งก้านของทั้ง ๒ ต้นก็จะติดกันเอง)
สาเหตุที่ทำให้มีคำผญาในสังคมอีสานนั้นมีอยู่ ๓ ประการใหญ่ ๆ คือ
๑. เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสานที่ก่อให้เกิดการพูดผญาระหว่างกลุ่มชนส่วนมากจะเป็นประเพณีที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะกันอย่างอิสระ เช่น
๑.๑ ประเพณีลงข่วง
ข่วง หมายถึง อาณาเขตบริเวณบ้านหรือลานบ้านที่ยกพื้นสูงปูด้วยไม้กระดานหรือไม้ไผ่ มีขนาดกว้างพอที่จะนั่งทำงานได้หลายคน ตรงกลางจะมีแคร่จะก่อไฟขึ้นเพื่อแสงสว่างและความอบอุ่น
ประเพณีลงข่วง เป็นประเพณีของผู้หญิงชาวอีสานที่เวลาที่จะทำงานหัตถรรมมักจะทำร่วมกันเป็นกลุ่มในตอนกลางคืน ส่วนมากมักจะเป็นหน้าหนาวซึ่งเป็นฤดูการสิ้นสุดจากการทำนา พอตกค่ำหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ผู้หญิงที่อยู่ละแวก บ้านเดียวกันก็จะมานั่งทำงานในบริเวณเดียวกัน โดยมีการก่อกองไฟไว้ตรงกลาง การลงข่วงนี้ผู้หญิงจะจัดเตรียมหมาก พลู บุหรี่และขันน้ำเอาไว้คอยต้อนรับชายหนุ่มที่จะมาเยือนซึ่งก็จะเป็นชายหนุ่มที่อยู่ละแวกบ้านเดียวกันหรือจากบ้านอื่นชักชวนกันมาเป็นกลุ่มเพื่อที่จะได้คุยกับผู้หญิงที่ตนเองรัก โดยมีการเป่าแคน ดีดพิณ ดีดซึง บ้างก็สีซอมาด้วย เมื่อถึงข่วงจะแยกย้ายกันเข้าทักทายและสนทนาเกี้ยวพาราสีกันด้วยผญา แต่จะล่วงเกินกันไม่ได้เพราะถือเป็นเรื่องร้ายเเรง
ปัจจุบันประเพณีลงข่วงไม่มีแล้วอันเนื่องมาจากการรับเอาวัฒนธรรมชาวตะวันตกมาใช้และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของสภาพสังคมบ้านเมืองการถูกเนื้อ ต้องตัวมีเพศสัมพันธ์จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา การที่จะพบปะพูดคุยของหนุ่มสาวนั่นก็ง่ายดาย ดังนั้นประเพณีการลงข่วงจึงเสื่อมสูญไปในที่สุด คงเหลือแต่บันทึกความทรงจำเท่านั้น
๑.๒ ประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว
ในสังคมอีสานสมัยก่อน วิถีชีวิตส่วนหนึ่งของผู้หญิงชาวชนบทอีสานต้องปฏิบัติตนเป็นงานหลักคือการตักน้ำ ตำข้าว โดยเฉพาะเมื่อสมัยที่ยังไม่มีโรงสี เครื่องสีข้าว การเปลี่ยนข้าวเปลือกเป็นข้าวสารเพื่อใช้ในการบริโภคเครื่องมือที่ใช้ก็คือครกกระเดื่องนั่นเอง ซึ่งตามภาษาถิ่นเรียกว่า "ครกมอง" ชาวอีสานเกือบทุกหลังคาเรือนจะมีครกกระเดื่องอยู่ข้าง ๆ กับยุ้งข้าว โดยต่อหลังคาจากยุ้งข้าวลงมาเพื่อกันแดดกันฝนเรียกว่า "เทิบมอง" การทำครกมองไว้ใกล้ ๆ กับยุ้งข้าวก็เพราะความต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการตักข้าวเปลือกจากยุ้งข้าวมาตำ
การทำข้าวจะทำกันตอนเช้าตรู่หรือกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนเดือนเพ็ญโดยเริ่มจากการตักข้าวเปลือกออกจากยุ้งใส่ตะกร้าแล้วนำไปที่ครกมองพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ข้าวที่ตำแต่ละครั้งจะเพียงพอสำหรับการบริโภคในแต่ละวันเท่านั้น เพราะข้าวที่ตำไว้นานจะไม่อร่อยและจะมีมดหรือมอดมากิน ขณะที่สาว ๆ ตำข้าวนั้นก็เป็นโอกาสเหมาะที่หนุ่ม ๆ จะเข้ามาพูดคุยเกี้ยวพาราสีกัน โดยจะมีการเป่าแคน ดีดพิณดีด ประกอบการพูดคุยอย่างสนุกสนาน บางทีพวกหนุ่มก็จะช่วยสาวตำข้าวด้วย
๑.๓ ประเพณีลงแขก
ประเพณีการลงแขกเป็นประเพณีที่แสดงถึงความมีน้ำใจมีใจเอื้อเฟื้อต่อกันฉันญาติมิตร การลงแขก หมายถึง การไปบอกกล่าวขอแรงญาติมิตรให้มาช่วยทำงาน ในกรณีที่ต้องใช้คนจำนวนมากทำงานให้เสร็จในระยะเวลาอันสั้น งานลงแขกเป็นงานที่สนุกสนาน เพราะชาวบ้านต่างเต็มใจไปร่วมงาน งานที่ต้องลงแขกในชนบทอีสานที่เป็นงานส่วนตัวได้แก่ งานลงแขกสร้างบ้านทำนา เกี่ยวข้าว นวดข้าว เป็นต้น ส่วนการลงแขกในงานส่วนรวม ได้แก่ งานก่อสร้าง เช่น สร้างถนน สะพาน และวัด เป็นต้น
การลงแขกที่ทำมากคือ ลงแขกเกี่ยวข้าว นวดข้าว และ ขนข้าวขึ้นยุ้งในระหว่างการทำงานก็จะมีการพูดผญาโต้ตอบกันทำให้เกิดความสนุกสนานและไม่เหน็ดเหนื่อย
๑.๔ ประเพณีการอ่านหนังสือผูก
การอ่านหนังสือผูก คือ การอ่านวรรณกรรมที่เขียนไว้ในใบลานเพื่อเป็นมหรสพแก่ผู้ฟังในงานงันเฮือนดี (งานศพ) งานหม้อกรรม(ฉลองหญิงที่อยู่ไฟหลังการคลอดบุตร) และงัน(สมโภช ) บุญต่าง ๆ
วรรณกรรมที่นิยมเอามาอ่านส่วนมากจะเป็นนิทานที่ให้คติธรรม และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่น สังข์ศิลป์ไชย กาละเกด นางผมหอม เป็นต้น ผญาในวรรณกรรมเหล่านี้จะได้รับการเผยแพร่ ทำให้ผู้ฟังได้รับทั้งความบันเทิงใจ พร้อมทั้งสาระที่มีคุณค่าต่อชีวิต ซึ่งบางคนจดจำเพื่อนำไปพูดในโอกาสอันเหมาะสมต่อไป ดังนั้นการอ่านหนังสือผูกจึงเป็นสื่อกลางที่ให้ผญาแพร่หลายจากกลุ่มที่มีการศึกษาและอ่านหนังสือได้เพียงไม่กี่คนไปยังกลุ่มคนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น
๑.๕ ประเพณีการเล่นหมอลำ
หมอลำเป็นการละเล่นพื้นเมืองอีสานที่มีการพัฒนาจากการอ่านหนังสือผูกในงานต่าง ๆ หมอลำที่ได้รับความนิยมจะต้องมีเสียงดี กลอนลำดี มีไหวพริบในการโต้ตอบ ดังนั้นหมอลำจึงต้องท่องกลอนลำและจดจำผญาไว้ใช้ในการลำและการโต้ตอบหมอลำจึงเป็นเสมือนผู้เก็บรวบรวมผญาไว้พร้อมกับเป็นผู้เผยแพ่ผญาให้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
๒. เกิดจากการเผยแผศาสนาซึ่งใช้ภาษาเป็นสื่อ
ความเชื่อทางศาสนาเป็นบ่อเกิดของผญา เพราะศาสนาเป็นคำสอนให้คนประพฤติดี ด้วยเหตุที่คนอีสานยึดมั่นในพุทธศาสนาและมีการอ้างอิงคำสอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้เด็ดขาดดังนั้นจึงมีการนำเอาข้อสั่งสอนทางศาสนามาใช้โดยผูกเป็นผญาเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ นำไปไตร่ตรอง ปฏิบัติและถ่ายทอดต่อไป ซึ่งผญาเหล่านี้ส่วนมากจะอยู่ในลักษณะของผญาภาษิตดังตัวอย่าง
ทางไปสวรรค์ฮก ทางไปหม้อนรกแปน
(การที่จะไปสวรรค์คือการทำความดีนั้นล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคแต่การไปสู้นรกคือการกระทำความชั่วนั้นทำได้โดยง่ายไม่มีอุปสรรคขวางกั้น)
ให้อดสาห์ทำเพียรสร้าง ศีลทานอย่าได้ขาด
บุญสิซอยยู้ ซูขึ้นเมื่อลุน
(ให้พยายามทำแต่ความดี รู้จักให้ทาน รักษาศีลแล้วบุญจะช่วยให้ประสบโชคดีภายหลัง)
๓. เกิดจากการอบรมสั่งสอนสมาชิกในสังคมโดยใช้ภาษาเป็นสื่อ
สังคมประกอบขึ้นจากการที่ผู้คนมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เมื่อมีการรวมกันเป็นหมู่ มักเกิดปัญหา เช่น ปัญหาเรื่องอาหารการกิน การอยู่ร่วมกัน หรือการดำเนินชีวิต เป็นต้น ดังนั้นจึงได้มีการนำแนวทางที่ดีที่พึงปฏิบัติ ทั้งค่านิยมและอุดมการณ์ที่สังคมต้องการมาแต่งเป็นผญาเพื่ออบรมสั่งสอนสมาชิกในสังคมโดยเริ่มที่ครอบครัวก่อนแล้วแพร่ขยายไปยังกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ เช่น สอนในเรื่องการครองตน โดยชี้แนะว่าต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะของตนไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว ผู้สูงอายุ หรือผู้นำ ในเรื่องการประกอบอาชีพก็ชี้แนะแนวทางปฏิบัติโดยสอนให้มีความขยัน ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เตรียมตัวให้พร้อมในการทำงาน หรือผู้ที่เป็น ผู้นำในสังคมนั้น แนวทางปฏิบัติคือ ต้องรัก เอาใจใส่ ไม่ข่มเหงผู้อยู่ใต้การปกครอง เป็นต้น ดังตัวอย่าง
เฮือคาแก่งเกวียนเห็นให้เกวียนแก่บาดห่าฮอดแม่น้ำเฮือสิได้แก่เกวียน (ควรช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากเพราะเมื่อเราตกยากลำบากมาบางทีเขาอาจจะช่วยเหลือเราได้ )
อย่าได้เก็บดอกหว่าน บ้านเพิ่นมาซม
ให้เจ้าอดสาดม ดอกกระเจียวแคมฮั้ว
(จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่)
ฮักเมียโตให้ฮักลุงตา ฮักนาโตให้ฮักพ่อบ้าน
(รักผู้หญิงก็ให้รักวงศาคณาญาติของเธอด้วย)
ทุกข์ยากฮ้าย เขาะขอดแลงงาย
อย่าได้ลืมคำสัตย์ เที่ยงจริงคำหมั้น
(ถึงแม้จะยากจนมากแค่ไหน ก็ต้องรักษาความสัตย์เอาไว้)
สรุปว่า ผญา เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะที่มีมานานแล้ว ในระยะแรกไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาจึงได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และนิยมเอาเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกมาแต่งเป็นผญาเพื่อการเสพคบงันและเพื่อเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล ผญาไม่ว่ารากฐานจะมาจากภาษาอักษรใด ผญาก็ยังเป็นวัฒนธรรมทางภาษาอันสูงส่งของชาวอีสานนั่นเอง
สวัสดีค่ะ แวะมาเยี่ยมชมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีสาน
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ
ขอบคุณครับคุณบัวปริ่มน้ำ คุณศรีกมล คุณหนรี ที่เข้ามาสดับรับรู้เรื่องลาวดี ๆ ครับ ช่วยกันดำรงไว้ให้คงอยู่คู่บ้านเมืองเราต่อไปนะครับ
ดีใจนะ...เมื่อยังมีคนรุ่นใหม่ที่ยังสนใจอยู่...เมื่อก่อนผมมีหนังสือหลายเล่ม..แล้วยังมีหนังสือที่ปู่ย่าตายายเขียนไว้เยอะ..แต่เสียดายที่ย้ายมาอยู่ กทม.แล้วหนังสือหายหมดเลย...ปัจจุบันเหลืออยู่เล่มเดียวที่ติดตัวอยู่...ปัจจุบันนี้ไม่รู่จะไปหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง.....ใครทราบบ้างช่วยบอกผมที่ครับ..ขอบคุณครับ..
........................จากบ่าวพ่อฮ้าง......
หนูเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจผญาอีสาน หนูดีใจที่มีผู้ใหญ่ใจดีเเละมีความรู้เกี่ยวกับผญามาแบ่งปันความรู้ให้กับน้องๆคนรุ่นหลังได้ศึกษา
ตอนนี้หนูกำลังทำรายงานเชิงวิชาการ หนูทำเรื่องของผญา....ปรัชญาการดำเนินชีวิตอันล้ำค่าของชาวอีสาน... ขอบคุณคะ
ครับ
เเวะมาเยี่ยมชมความเป็นอารยธรรมของชนอีสาน
ยังมีผญามาต้อน บอกกล่าวพี่น้องด้วยนะครับ
พี่น้องเอ้ย อันว่าความจริงเเล้วบ่มีเกรงกลัวต่อ ดอกนา
ไผสิหยันสิหย่อบ่มีย้านดอกต่อไผ
ใจประสงค์สร้างสางทางให้มันฮุ่ง
ใจประสงค์ก่อตั้งหวังสร้างให้ฮุ่งเฮือง
ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าผู้มาใหม่ให้อยู่สุข
ขออย่ามีความทุกข์สิ่งใดได้มาต้อง
ให้เจ้าคองแปลงสร้างเอาดีเข้ามาใส่
ให้คิดหนักคิดเเหน่นเเสนตั้งให้ค่อยทำ
นักศึกษายังอยู่ยั้งคอยส่งกำลังใจ
ให้ครูบาอาจารย์สู่วันบ่มีเว้น
คอยถ้าเข็นคอยถ้าสร้างนักศึกษาให้เฮืองฮุ่ง
ให้มันสมเเท้เเท้ ครูนั้นได้สั่งสอน
ขอเป็นกำลังให้นะครับ....อิอิอิอิ
โอ๊วววววววว รับทราบเลยครับอาจารย์ครับ ข้อมูลเยี่ยม ๆ ครับ ขอบคุณจริง ๆ ครับ
ผญาม่วนดี ผมเป็นคนมักศิลปะอีสาน บ่ว่าสิเป็น ผญา หมอลำ ดนตรีพื้นบ้านอีสานเฮา ผมขอฝากผญานำแน่
พี่น้องเอ้ย สามัคคีกันไว้คือข้าวเหนียวปั้นใหญ่ อย่าได้เพแตกม้างคือน้ำถืกข้าวเหนียว
กราบเรียนไทครูไทยท่านพ่อลูกขอลูกขอยอยกนิ้วประนบน้อมขาบกร
เอาลำพื้น มาฝาก หากมีใครเสียงดีดีก็ ช่วยฝึกหัดด้วยนะครับ
ลำพื้น
นิทานเรื่องขูลูนางอั้ว (ตอน ขูลู)
เกริ่น บัดนี้ จักกล่าวก้ำบาบ่าวขูลู เนานครกาสีบ่มีหมองมั้ว
ได้ข่าวนงนางอั้วคนงามทิพย์กลิ่น
คนในดินทีปใต้บ่มีได้หม่อมพระนาง
พอปานโลกสิม้างฟ้าเหงี่ยงดินหงวย
เฮ็ดให้หัวใจกวยสิท่าวเซซานล้ม
อยากเห็นโฉมใบหน้าอำคาอั้วค่า
จับได้อานฮ่างม้าเลยขึ้นขี่หลัง
คอบอยากเห็นรูปร่างอั้วค่องคองไสว....ละคันบ่ไปคงตามสิบ่ยืนนำบ้าน..........
ลำ เอาเด้อ ภูบาลท้าวขูลูได้ข่าว ทรงกระสันปวดร้าวอยากเห็นอั้วเคิ่งตา
ขึ้นขี่ม้าตีแล่นซำ ๆ ใจคณิงงามขำบ่มียามว่าง
ในปางแก้วเมืองทองเทียวท่อง คันบ่เห็นหน้าน้องคงม้วยแน่นอน
แดดแห่งฮ้อนซ่นฮ่มรมเย็น ยามกลางเว็นชมดงป่าพงไพรด้าว
ใจของท้าวคณิงนำเนื้อไข่ อยากได้ดวงดอกไม้มาไว้ใส่คอ
คอบอยากพ้อจั่งได้ท่อสังขาร สิบพะลานหินผาป่าดงบ่มีย้าน
ลำธารห้วยขวางตันหลายบ่อน คันได้ดวงดอกซ้อนตายถิ่มบ่แหนง
พักหนึ่งแม้งถึงที่ปรางศรี แล้วจึ่งเอาพาชีพักเซาแคมไกล้
ผูกม้าไว้แคมสวนป่าหมากถั่ว ผูกม้าไว้แคมฮั้วป่าหมากเยา
ขึ้นกล่าวเว้าอั้วค่าคำไหล ต่างกะตกลงใจฮ่วมเตียงเฮียงซ้อน
เดิก ๆ ข่อนเอาขาซอนซ้อนว่าง ฮู้ว่าจ่างป่างฟ้าลาน้องต่าวเมือง
บอกเหตุเบื้องพี่สิห่างนางหนี ถึงดิถีมงคลสิด่วนมาขอน้อง
ทองคำก้อนอย่าได้เอาผัวซอนนอนอั้วกลิ้งกล่อม
ให้เจ้าขอดออมป้อม ๆ คอยอ้ายแหน่เด้อ
อั้วว่าเอ้อ เออ รับคำหวาน แม่นสินานปานใด๋ว่าสิคองคอยอ้าย
กายยามนั้นวันเดือนแถมถ่าย ขูลูพระเคลื่อนย้ายมาเล่นสู่วัน
แม่อั้วนั้นฮู้ข่าวคราวเขือง เลยละเคืองขัดใจด่านางคือบ้า
โยนาท้าวขูลูไว้ก่อน บทออนซอนข้างหน้ายังกว้างกว่าหลัง
ฟังบ่อนบั้นอั่วค่ารำพรรณ ตายอยู่เทิงจวงจันท์ฮักทะลายม้าง....
ลำพื้น
นิทานเรื่องขูลูนางอั้ว (ตอน นางอั้ว)
เกริ่น กล่าวถึงนงนางอั้วความหวังบ่สมมาตร
นางบ่อาจอยู่ได้ให้คนเย้ยหุ่มฮอ
ทั้งละหวลคิดพ้อแม่ให้ฮักขุนลาง
เหลียวไปเมืองขูลูพระเนตรนองฮำแก้ม
แนมเบิ่งดวงจันทร์เจ้ามาใสงามโพดแท้ห่า
ใจของอั้วนาทหล่าคือมาเศร้าบ่เซา
มีแต่อุกอั่งเอ้าเพ้อป่วงทรวงตรม
แม่นว่าแสนลมพัดกะเย็นกายย้อน
บ่อาจนอนทนกลั้นขอตายดีกว่า
จั่งว่าทุกข์บ่แล้วน้ำตาห่งอั่งนอง
อั้วนาทน้องสิไปผูกคอตาย........บ่ได้กับขูลูแม่นบ่ยืนนำบ้าน.......
ลำ เอาเด้อ คั่นนงนางอั้วหวังตายหายส่วง ลงจากปราสาทกว้างเตรียมพร้อมสู่แนว
แก้วเหล่าก้มกราบพ่อบิดา อีกกับทั้งมารดาอ่าวคณิงลาไท้
ไปตายหน้าบ่หวังมาคืนคอบ จิตชอบนั้นอภัยเจ้าสู่แนว
พ่อแม่แก้วบ่ฮู้ว่านางลา เป็นแต่เพียงวาจาแม่นงนางอั้ว
คัวเอาได้ไหมคำเคียนคาด ลงปราสาทยอดแก้วลงย้ายย่างซำ
เหลียวเห็นน้ำมองหน่วยจันทร์โท โอ้พระจันทร์คือกูบ่ายลงคีคล้อย
วอย ๆ ดั้นเดินดันเข้าป่า นกกะบาปากกว้างตีค้อนน่ำนี
ลอดป่ามี้ฮอดที่กกสัง หูนางฟังเสียงนกกระโดกโดนมันฮ้อง
เขาทองขึ้นมุมมัมเข้าป่า จวนเวลาสิแจ้งแยงเข้าป่าจวง
ฮอดป่าไม้ฝูงหมู่จวงจันท์ เลยละวันทานบกราบลงทั้งเว้า
จวงจันท์เจ้าสงสารอั้วแหน่ นางนี่ทุกข์แท้ ๆ จันท์เจ้าอีดู
จันท์เล่าฮู้บอกว่าเซา ๆ เจ้าผู้เลาคีงสวยอย่าทำคือนี้
อั้งจึ่งว่าขอให้ปราณีถ่อน วอนหลายเหล่า
จนว่าจันท์แก่มเจ้ากวยน้อมง่าลง
นงนาทอั้วไหมผูกเคียนคอ พอดีเลยจวงจันท์ดีดเมือเมืองฟ้า
นางคานหล้าตายคาค้างง่า ชาวบรรดาพี่น้องบ่มีฮู้ฮ่อมนำ
หมดทุกข์ก้ำบ่ฮู้ว่านางตาย จนว่าสามโมงงายจั่งได้ยินกาฮ้อง
กามันฮ้องปลายซานจวงจ่อง ลูกผู้ได๋ผูกคล้องตายค้างง่าจวง
กาเล่าท้วงคนกะแล่นสวนเส็น เห็นนางตายคาจวงส่าลือทั้งค่าย.........
ของคุณนะค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีนะคะคุณเพื่อนตอนนี้กำลังค้นคว้างานให้คุณสามี ไปเรียนเสาร์อาทิตย์ไม่ค่อยได้เจอกันเลยอยากเห็นหน้าหลานน้อยจังเลย
utnnvfemnkfkg.akxltognrot.pfg.,gp[gatktop4.rkormel
แล้วที่มาของคำว่า พญาอีสาน แปลว่าอยางไร ( ทำไมไม่แปลมาให้หมดละไอ้นี้แปลกคนแหอะ ) ( แปลมาให้หมดด้วยเข้ใจนะไอ้สาด )