ที่มา"ผญา"


ที่มาผญา

                 

          ประวัติความเป็นมาของผญาอีสานเป็นบทกวีหรือวรรณคดีภาษาอีสานมีประวัติมาตั้งแต่บรรพกาล  ในหนังสือประชุมพงศาวดาร  ภาค ๑  เรื่องพงศาวดารล้านช้าง  เรื่องขุนบูฮมหรือบูลม(บรม) เขียนไว้ว่า  ขุนบูฮมอพยพมาจากทางเหนือเพื่อสร้างบ้านแปลงเมืองโดยมีแถนกลอนมาสอนคำแปลคำด้วย นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงการเผยแพร่พุทธศาสนาเข้ามาในดินแดนแหลมทองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดบทกวีและวรรณกรรม โดยการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายให้นักปราชญ์อาจารย์นำเค้าโครงเรื่องในนิทานชาดก แต่งเป็นกาพย์กลอนบทกวี  เป็นภาษาอีสานเพื่อเป็นกุศโลบายในการโน้มน้าวจิตใจคน  

ให้เลื่อมใสในพุทธศาสนา (จารุบุตร   เรืองสุวรรณ .๒๕๒๐)

                          ราวปี ..  ๒๑๐๗  ตั้งแต่เมืองเวียงจันทน์เป็นราชธานี  มีชายอายุกลางคน  เกิดที่เมืองเวียงจันทน์  ชายผู้นี้เป็นคนฉลาดแต่การศึกษาไม่สูงนัก  ชายผู้นี้เห็นอะไรพบอะไรก็จะผูกเป็นคำผญา      เกี่ยวกับสิ่งนั้นทันที  ชายผู้นี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อบักเซียงน้อยหรือบักน้อย  เมื่อไปที่ใดก็จะมี  บักน้อยไปด้วยเสมอ  ชายผู้นี้มีความฉลาดเห็นอะไรก็ผูกเป็นผญา  แล้วพูดออกมา  บักเซียงน้อยเป็นคนคอยจดเอาคำผญานั้นทุกครั้ง  จึงมีคำผญาให้ผู้คนได้พูดจาสืบต่อมาจนปัจจุบัน   แต่ผู้ที่เขียนก็ได้ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานต่อ ๆ กันมา  ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนมายืนยัน (ปรีชา    พิณทอง .๒๕๒๘)

                       ผญาจะเริ่มมีใช้มีช่วงไหนนั้นไม่มี  หลักฐานระบุแน่ชัด แต่ยอมรับว่ามีมานานแล้วเพราะในวรรณกรรมซึ่งเป็นที่ยอมนับว่าเก่าแก่    ที่สุดของชาวอีสานคือ ท้าวฮุ่งท้าวเจืองบางตอนมีการใช้เปรียบแบบผญา(นิตยา ภักดิ์บัณฑิต.๒๕๓๒ : ๑๔-๑๙)   เช่น

                ตอนท้าวฮุ่งหรือเจืองพบกับนางง้อมในพิธีลงข่วงเสี่ยงสานแนน

                แต่นั้น                    บาคานเจ้าคำหวาน                              ต้านม่วน

                                                ขุนกล่าวถ้อยแถลงถ้วน                      สุอัน

                                                ชอบอ่อนน้องนงถ่าว                          ภูบาล

                                                ในทรวงคิดว่าพอ                                เพิงต้าน

                                                คำจาแท้สงสาร                                   สองภาค

                อันนี้เขาว่า            หินก้อนล้าน                                          ทับมือ

                                                จักปากรือ                                           ว่าได้      

                                                เยียวท่อให้                                           ลือซา  เป็นต้น

                (เปรียบเทียบความรู้สึกต่อนางอันแสดงถึงความชอบพอ  ความอายที่จะบอกรักนั้นมากดุจดังมีหินล้านก้อนมาทับมือไว้ไม่ให้ยกมือขึ้นได้)

                เฮาก็                       ดูแนนทั้งสอง                                       เสมอภาค               กันแล้ว

                ท่อว่า                      แนนเพื่อนพุ้นทังค่าย                           ต่างสวน

                                                กกอยู่พุ้นปลายหาก                             เชยชอน

                                                ออระควรไป้ฮ่วมกัน                           เผือผั้น

                (เปรียบเทียบความสัมพันธ์เหมือนกับต้นไม้  ที่ถึงแม้โคนต้นจะอยู่ห่างกัน  แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นกิ่งก้านของทั้ง ๒ ต้นก็จะติดกันเอง)

 

สาเหตุที่ทำให้มีคำผญาในสังคมอีสานนั้นมีอยู่   ประการใหญ่ ๆ  คือ

                      .  เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี

                              ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสานที่ก่อให้เกิดการพูดผญาระหว่างกลุ่มชนส่วนมากจะเป็นประเพณีที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะกันอย่างอิสระ  เช่น

                              .๑ ประเพณีลงข่วง

                                      ข่วง หมายถึง อาณาเขตบริเวณบ้านหรือลานบ้านที่ยกพื้นสูงปูด้วยไม้กระดานหรือไม้ไผ่  มีขนาดกว้างพอที่จะนั่งทำงานได้หลายคน  ตรงกลางจะมีแคร่จะก่อไฟขึ้นเพื่อแสงสว่างและความอบอุ่น

                                      ประเพณีลงข่วง เป็นประเพณีของผู้หญิงชาวอีสานที่เวลาที่จะทำงานหัตถรรมมักจะทำร่วมกันเป็นกลุ่มในตอนกลางคืน  ส่วนมากมักจะเป็นหน้าหนาวซึ่งเป็นฤดูการสิ้นสุดจากการทำนา พอตกค่ำหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ผู้หญิงที่อยู่ละแวก      บ้านเดียวกันก็จะมานั่งทำงานในบริเวณเดียวกัน  โดยมีการก่อกองไฟไว้ตรงกลาง  การลงข่วงนี้ผู้หญิงจะจัดเตรียมหมาก  พลู บุหรี่และขันน้ำเอาไว้คอยต้อนรับชายหนุ่มที่จะมาเยือนซึ่งก็จะเป็นชายหนุ่มที่อยู่ละแวกบ้านเดียวกันหรือจากบ้านอื่นชักชวนกันมาเป็นกลุ่มเพื่อที่จะได้คุยกับผู้หญิงที่ตนเองรัก  โดยมีการเป่าแคน  ดีดพิณ  ดีดซึง  บ้างก็สีซอมาด้วย  เมื่อถึงข่วงจะแยกย้ายกันเข้าทักทายและสนทนาเกี้ยวพาราสีกันด้วยผญา แต่จะล่วงเกินกันไม่ได้เพราะถือเป็นเรื่องร้ายเเรง

                                      ปัจจุบันประเพณีลงข่วงไม่มีแล้วอันเนื่องมาจากการรับเอาวัฒนธรรมชาวตะวันตกมาใช้และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของสภาพสังคมบ้านเมืองการถูกเนื้อ  ต้องตัวมีเพศสัมพันธ์จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา  การที่จะพบปะพูดคุยของหนุ่มสาวนั่นก็ง่ายดาย  ดังนั้นประเพณีการลงข่วงจึงเสื่อมสูญไปในที่สุด  คงเหลือแต่บันทึกความทรงจำเท่านั้น

                              .๒ ประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว

                                      ในสังคมอีสานสมัยก่อน วิถีชีวิตส่วนหนึ่งของผู้หญิงชาวชนบทอีสานต้องปฏิบัติตนเป็นงานหลักคือการตักน้ำ  ตำข้าว  โดยเฉพาะเมื่อสมัยที่ยังไม่มีโรงสี  เครื่องสีข้าว  การเปลี่ยนข้าวเปลือกเป็นข้าวสารเพื่อใช้ในการบริโภคเครื่องมือที่ใช้ก็คือครกกระเดื่องนั่นเอง  ซึ่งตามภาษาถิ่นเรียกว่า "ครกมอง"  ชาวอีสานเกือบทุกหลังคาเรือนจะมีครกกระเดื่องอยู่ข้าง ๆ กับยุ้งข้าว โดยต่อหลังคาจากยุ้งข้าวลงมาเพื่อกันแดดกันฝนเรียกว่า "เทิบมอง" การทำครกมองไว้ใกล้ ๆ กับยุ้งข้าวก็เพราะความต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการตักข้าวเปลือกจากยุ้งข้าวมาตำ

                                      การทำข้าวจะทำกันตอนเช้าตรู่หรือกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนเดือนเพ็ญโดยเริ่มจากการตักข้าวเปลือกออกจากยุ้งใส่ตะกร้าแล้วนำไปที่ครกมองพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ข้าวที่ตำแต่ละครั้งจะเพียงพอสำหรับการบริโภคในแต่ละวันเท่านั้น  เพราะข้าวที่ตำไว้นานจะไม่อร่อยและจะมีมดหรือมอดมากิน  ขณะที่สาว ๆ ตำข้าวนั้นก็เป็นโอกาสเหมาะที่หนุ่ม ๆ จะเข้ามาพูดคุยเกี้ยวพาราสีกัน  โดยจะมีการเป่าแคน   ดีดพิณดีด  ประกอบการพูดคุยอย่างสนุกสนาน  บางทีพวกหนุ่มก็จะช่วยสาวตำข้าวด้วย

                              .  ประเพณีลงแขก

                                      ประเพณีการลงแขกเป็นประเพณีที่แสดงถึงความมีน้ำใจมีใจเอื้อเฟื้อต่อกันฉันญาติมิตร  การลงแขก  หมายถึง  การไปบอกกล่าวขอแรงญาติมิตรให้มาช่วยทำงาน  ในกรณีที่ต้องใช้คนจำนวนมากทำงานให้เสร็จในระยะเวลาอันสั้น  งานลงแขกเป็นงานที่สนุกสนาน    เพราะชาวบ้านต่างเต็มใจไปร่วมงาน  งานที่ต้องลงแขกในชนบทอีสานที่เป็นงานส่วนตัวได้แก่    งานลงแขกสร้างบ้านทำนา   เกี่ยวข้าว  นวดข้าว  เป็นต้น ส่วนการลงแขกในงานส่วนรวม     ได้แก่  งานก่อสร้าง  เช่น  สร้างถนน   สะพาน   และวัด  เป็นต้น

                                      การลงแขกที่ทำมากคือ  ลงแขกเกี่ยวข้าว  นวดข้าว  และ ขนข้าวขึ้นยุ้งในระหว่างการทำงานก็จะมีการพูดผญาโต้ตอบกันทำให้เกิดความสนุกสนานและไม่เหน็ดเหนื่อย

                              .๔ ประเพณีการอ่านหนังสือผูก

                                      การอ่านหนังสือผูก  คือ  การอ่านวรรณกรรมที่เขียนไว้ในใบลานเพื่อเป็นมหรสพแก่ผู้ฟังในงานงันเฮือนดี (งานศพงานหม้อกรรม(ฉลองหญิงที่อยู่ไฟหลังการคลอดบุตร) และงัน(สมโภช )  บุญต่าง ๆ

                                      วรรณกรรมที่นิยมเอามาอ่านส่วนมากจะเป็นนิทานที่ให้คติธรรม และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่น สังข์ศิลป์ไชย  กาละเกด  นางผมหอม เป็นต้น ผญาในวรรณกรรมเหล่านี้จะได้รับการเผยแพร่  ทำให้ผู้ฟังได้รับทั้งความบันเทิงใจ   พร้อมทั้งสาระที่มีคุณค่าต่อชีวิต  ซึ่งบางคนจดจำเพื่อนำไปพูดในโอกาสอันเหมาะสมต่อไป   ดังนั้นการอ่านหนังสือผูกจึงเป็นสื่อกลางที่ให้ผญาแพร่หลายจากกลุ่มที่มีการศึกษาและอ่านหนังสือได้เพียงไม่กี่คนไปยังกลุ่มคนที่อ่านไม่ออก  เขียนไม่เป็น

                              .  ประเพณีการเล่นหมอลำ

                                      หมอลำเป็นการละเล่นพื้นเมืองอีสานที่มีการพัฒนาจากการอ่านหนังสือผูกในงานต่าง ๆ หมอลำที่ได้รับความนิยมจะต้องมีเสียงดี  กลอนลำดี   มีไหวพริบในการโต้ตอบ  ดังนั้นหมอลำจึงต้องท่องกลอนลำและจดจำผญาไว้ใช้ในการลำและการโต้ตอบหมอลำจึงเป็นเสมือนผู้เก็บรวบรวมผญาไว้พร้อมกับเป็นผู้เผยแพ่ผญาให้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป

 

 

                      . เกิดจากการเผยแผศาสนาซึ่งใช้ภาษาเป็นสื่อ 

                              ความเชื่อทางศาสนาเป็นบ่อเกิดของผญา  เพราะศาสนาเป็นคำสอนให้คนประพฤติดี  ด้วยเหตุที่คนอีสานยึดมั่นในพุทธศาสนาและมีการอ้างอิงคำสอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้เด็ดขาดดังนั้นจึงมีการนำเอาข้อสั่งสอนทางศาสนามาใช้โดยผูกเป็นผญาเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ  นำไปไตร่ตรอง    ปฏิบัติและถ่ายทอดต่อไป  ซึ่งผญาเหล่านี้ส่วนมากจะอยู่ในลักษณะของผญาภาษิตดังตัวอย่าง

 

                                               ทางไปสวรรค์ฮก                                  ทางไปหม้อนรกแปน

(การที่จะไปสวรรค์คือการทำความดีนั้นล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคแต่การไปสู้นรกคือการกระทำความชั่วนั้นทำได้โดยง่ายไม่มีอุปสรรคขวางกั้น) 

 

                                               ให้อดสาห์ทำเพียรสร้าง                     ศีลทานอย่าได้ขาด

                                               บุญสิซอยยู้                                             ซูขึ้นเมื่อลุน

(ให้พยายามทำแต่ความดี  รู้จักให้ทาน  รักษาศีลแล้วบุญจะช่วยให้ประสบโชคดีภายหลัง)

 

                      . เกิดจากการอบรมสั่งสอนสมาชิกในสังคมโดยใช้ภาษาเป็นสื่อ

                              สังคมประกอบขึ้นจากการที่ผู้คนมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม  เมื่อมีการรวมกันเป็นหมู่ มักเกิดปัญหา  เช่น   ปัญหาเรื่องอาหารการกิน   การอยู่ร่วมกัน  หรือการดำเนินชีวิต  เป็นต้น  ดังนั้นจึงได้มีการนำแนวทางที่ดีที่พึงปฏิบัติ  ทั้งค่านิยมและอุดมการณ์ที่สังคมต้องการมาแต่งเป็นผญาเพื่ออบรมสั่งสอนสมาชิกในสังคมโดยเริ่มที่ครอบครัวก่อนแล้วแพร่ขยายไปยังกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ  เช่น  สอนในเรื่องการครองตน  โดยชี้แนะว่าต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะของตนไม่ว่าจะเป็นเด็ก  หนุ่มสาว   ผู้สูงอายุ   หรือผู้นำ   ในเรื่องการประกอบอาชีพก็ชี้แนะแนวทางปฏิบัติโดยสอนให้มีความขยัน  ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง  เตรียมตัวให้พร้อมในการทำงาน   หรือผู้ที่เป็น      ผู้นำในสังคมนั้น  แนวทางปฏิบัติคือ  ต้องรัก  เอาใจใส่  ไม่ข่มเหงผู้อยู่ใต้การปกครอง  เป็นต้น  ดังตัวอย่าง

                              เฮือคาแก่งเกวียนเห็นให้เกวียนแก่บาดห่าฮอดแม่น้ำเฮือสิได้แก่เกวียน  (ควรช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากเพราะเมื่อเราตกยากลำบากมาบางทีเขาอาจจะช่วยเหลือเราได้ )

                                                        

                                               อย่าได้เก็บดอกหว่าน           บ้านเพิ่นมาซม

                                               ให้เจ้าอดสาดม                      ดอกกระเจียวแคมฮั้ว

                                               (จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่)

 

                                               ฮักเมียโตให้ฮักลุงตา           ฮักนาโตให้ฮักพ่อบ้าน

                                               (รักผู้หญิงก็ให้รักวงศาคณาญาติของเธอด้วย)

 

                                               ทุกข์ยากฮ้าย                          เขาะขอดแลงงาย

                                               อย่าได้ลืมคำสัตย์                   เที่ยงจริงคำหมั้น

                                               (ถึงแม้จะยากจนมากแค่ไหน  ก็ต้องรักษาความสัตย์เอาไว้)

 

                                   สรุปว่า ผญา  เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะที่มีมานานแล้ว  ในระยะแรกไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  ต่อมาจึงได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  และนิยมเอาเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกมาแต่งเป็นผญาเพื่อการเสพคบงันและเพื่อเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล  ผญาไม่ว่ารากฐานจะมาจากภาษาอักษรใด ผญาก็ยังเป็นวัฒนธรรมทางภาษาอันสูงส่งของชาวอีสานนั่นเอง

คำสำคัญ (Tags): #อีสาน
หมายเลขบันทึก: 234603เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2009 13:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:08 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)
  • สวัสดีค่ะ แวะมาทักทาย
  • "ผญา" เป็นกลอนที่ชอบจับจิตจับใจ มาตั้งแต่เด็กๆๆ
  • เมื่อสมัยเด็ก ๆ ไปนั่งฟังหมอลำ จนถึงสว่าง
  • บ่งบอกถึงความชอบ ทั้ง หมอลำ เพลงลูกทุ่ง อมตะ ด้วยแหล่ะ อิอิ
  • เอกลักษณ์ของอีสาน ควรอนุรักษ์และสืบสานให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ต่อไปนะคะ
  • ขอบคุณค่ะ

  • ขอบคุณครับที่นำประวัติผญามาบอกเล่าให้ทราบ
  • คงจะทำให้คนรุ่นหลังได้ทราบความเป็นมา
  • "ผญา" เป็นคติเตือนใจอขงคนอีสาน ที่ควรจะสืบทอดกันไว้

สวัสดีค่ะ แวะมาเยี่ยมชมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีสาน

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ

ขอบคุณครับคุณบัวปริ่มน้ำ คุณศรีกมล คุณหนรี ที่เข้ามาสดับรับรู้เรื่องลาวดี ๆ ครับ ช่วยกันดำรงไว้ให้คงอยู่คู่บ้านเมืองเราต่อไปนะครับ

ดีใจนะ...เมื่อยังมีคนรุ่นใหม่ที่ยังสนใจอยู่...เมื่อก่อนผมมีหนังสือหลายเล่ม..แล้วยังมีหนังสือที่ปู่ย่าตายายเขียนไว้เยอะ..แต่เสียดายที่ย้ายมาอยู่ กทม.แล้วหนังสือหายหมดเลย...ปัจจุบันเหลืออยู่เล่มเดียวที่ติดตัวอยู่...ปัจจุบันนี้ไม่รู่จะไปหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง.....ใครทราบบ้างช่วยบอกผมที่ครับ..ขอบคุณครับ..

........................จากบ่าวพ่อฮ้าง......

หนูเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจผญาอีสาน หนูดีใจที่มีผู้ใหญ่ใจดีเเละมีความรู้เกี่ยวกับผญามาแบ่งปันความรู้ให้กับน้องๆคนรุ่นหลังได้ศึกษา

ตอนนี้หนูกำลังทำรายงานเชิงวิชาการ หนูทำเรื่องของผญา....ปรัชญาการดำเนินชีวิตอันล้ำค่าของชาวอีสาน... ขอบคุณคะ

ครับ

เเวะมาเยี่ยมชมความเป็นอารยธรรมของชนอีสาน

ยังมีผญามาต้อน บอกกล่าวพี่น้องด้วยนะครับ

พี่น้องเอ้ย อันว่าความจริงเเล้วบ่มีเกรงกลัวต่อ ดอกนา

ไผสิหยันสิหย่อบ่มีย้านดอกต่อไผ

ใจประสงค์สร้างสางทางให้มันฮุ่ง

ใจประสงค์ก่อตั้งหวังสร้างให้ฮุ่งเฮือง

ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าผู้มาใหม่ให้อยู่สุข

ขออย่ามีความทุกข์สิ่งใดได้มาต้อง

ให้เจ้าคองแปลงสร้างเอาดีเข้ามาใส่

ให้คิดหนักคิดเเหน่นเเสนตั้งให้ค่อยทำ

นักศึกษายังอยู่ยั้งคอยส่งกำลังใจ

ให้ครูบาอาจารย์สู่วันบ่มีเว้น

คอยถ้าเข็นคอยถ้าสร้างนักศึกษาให้เฮืองฮุ่ง

ให้มันสมเเท้เเท้ ครูนั้นได้สั่งสอน

ขอเป็นกำลังให้นะครับ....อิอิอิอิ

โอ๊วววววววว รับทราบเลยครับอาจารย์ครับ ข้อมูลเยี่ยม ๆ ครับ ขอบคุณจริง ๆ ครับ

DJ บ่าวกลางทุ่ง FM.87.75 MHz

ผญาม่วนดี ผมเป็นคนมักศิลปะอีสาน บ่ว่าสิเป็น ผญา หมอลำ ดนตรีพื้นบ้านอีสานเฮา ผมขอฝากผญานำแน่

พี่น้องเอ้ย สามัคคีกันไว้คือข้าวเหนียวปั้นใหญ่ อย่าได้เพแตกม้างคือน้ำถืกข้าวเหนียว

กราบเรียนไทครูไทยท่านพ่อลูกขอลูกขอยอยกนิ้วประนบน้อมขาบกร

เอาลำพื้น มาฝาก หากมีใครเสียงดีดีก็ ช่วยฝึกหัดด้วยนะครับ

ลำพื้น

นิทานเรื่องขูลูนางอั้ว (ตอน ขูลู)

เกริ่น บัดนี้ จักกล่าวก้ำบาบ่าวขูลู เนานครกาสีบ่มีหมองมั้ว

ได้ข่าวนงนางอั้วคนงามทิพย์กลิ่น

คนในดินทีปใต้บ่มีได้หม่อมพระนาง

พอปานโลกสิม้างฟ้าเหงี่ยงดินหงวย

เฮ็ดให้หัวใจกวยสิท่าวเซซานล้ม

อยากเห็นโฉมใบหน้าอำคาอั้วค่า

จับได้อานฮ่างม้าเลยขึ้นขี่หลัง

คอบอยากเห็นรูปร่างอั้วค่องคองไสว....ละคันบ่ไปคงตามสิบ่ยืนนำบ้าน..........

ลำ เอาเด้อ ภูบาลท้าวขูลูได้ข่าว ทรงกระสันปวดร้าวอยากเห็นอั้วเคิ่งตา

ขึ้นขี่ม้าตีแล่นซำ ๆ ใจคณิงงามขำบ่มียามว่าง

ในปางแก้วเมืองทองเทียวท่อง คันบ่เห็นหน้าน้องคงม้วยแน่นอน

แดดแห่งฮ้อนซ่นฮ่มรมเย็น ยามกลางเว็นชมดงป่าพงไพรด้าว

ใจของท้าวคณิงนำเนื้อไข่ อยากได้ดวงดอกไม้มาไว้ใส่คอ

คอบอยากพ้อจั่งได้ท่อสังขาร สิบพะลานหินผาป่าดงบ่มีย้าน

ลำธารห้วยขวางตันหลายบ่อน คันได้ดวงดอกซ้อนตายถิ่มบ่แหนง

พักหนึ่งแม้งถึงที่ปรางศรี แล้วจึ่งเอาพาชีพักเซาแคมไกล้

ผูกม้าไว้แคมสวนป่าหมากถั่ว ผูกม้าไว้แคมฮั้วป่าหมากเยา

ขึ้นกล่าวเว้าอั้วค่าคำไหล ต่างกะตกลงใจฮ่วมเตียงเฮียงซ้อน

เดิก ๆ ข่อนเอาขาซอนซ้อนว่าง ฮู้ว่าจ่างป่างฟ้าลาน้องต่าวเมือง

บอกเหตุเบื้องพี่สิห่างนางหนี ถึงดิถีมงคลสิด่วนมาขอน้อง

ทองคำก้อนอย่าได้เอาผัวซอนนอนอั้วกลิ้งกล่อม

ให้เจ้าขอดออมป้อม ๆ คอยอ้ายแหน่เด้อ

อั้วว่าเอ้อ เออ รับคำหวาน แม่นสินานปานใด๋ว่าสิคองคอยอ้าย

กายยามนั้นวันเดือนแถมถ่าย ขูลูพระเคลื่อนย้ายมาเล่นสู่วัน

แม่อั้วนั้นฮู้ข่าวคราวเขือง เลยละเคืองขัดใจด่านางคือบ้า

โยนาท้าวขูลูไว้ก่อน บทออนซอนข้างหน้ายังกว้างกว่าหลัง

ฟังบ่อนบั้นอั่วค่ารำพรรณ ตายอยู่เทิงจวงจันท์ฮักทะลายม้าง....

ลำพื้น

นิทานเรื่องขูลูนางอั้ว (ตอน นางอั้ว)

เกริ่น กล่าวถึงนงนางอั้วความหวังบ่สมมาตร

นางบ่อาจอยู่ได้ให้คนเย้ยหุ่มฮอ

ทั้งละหวลคิดพ้อแม่ให้ฮักขุนลาง

เหลียวไปเมืองขูลูพระเนตรนองฮำแก้ม

แนมเบิ่งดวงจันทร์เจ้ามาใสงามโพดแท้ห่า

ใจของอั้วนาทหล่าคือมาเศร้าบ่เซา

มีแต่อุกอั่งเอ้าเพ้อป่วงทรวงตรม

แม่นว่าแสนลมพัดกะเย็นกายย้อน

บ่อาจนอนทนกลั้นขอตายดีกว่า

จั่งว่าทุกข์บ่แล้วน้ำตาห่งอั่งนอง

อั้วนาทน้องสิไปผูกคอตาย........บ่ได้กับขูลูแม่นบ่ยืนนำบ้าน.......

ลำ เอาเด้อ คั่นนงนางอั้วหวังตายหายส่วง ลงจากปราสาทกว้างเตรียมพร้อมสู่แนว

แก้วเหล่าก้มกราบพ่อบิดา อีกกับทั้งมารดาอ่าวคณิงลาไท้

ไปตายหน้าบ่หวังมาคืนคอบ จิตชอบนั้นอภัยเจ้าสู่แนว

พ่อแม่แก้วบ่ฮู้ว่านางลา เป็นแต่เพียงวาจาแม่นงนางอั้ว

คัวเอาได้ไหมคำเคียนคาด ลงปราสาทยอดแก้วลงย้ายย่างซำ

เหลียวเห็นน้ำมองหน่วยจันทร์โท โอ้พระจันทร์คือกูบ่ายลงคีคล้อย

วอย ๆ ดั้นเดินดันเข้าป่า นกกะบาปากกว้างตีค้อนน่ำนี

ลอดป่ามี้ฮอดที่กกสัง หูนางฟังเสียงนกกระโดกโดนมันฮ้อง

เขาทองขึ้นมุมมัมเข้าป่า จวนเวลาสิแจ้งแยงเข้าป่าจวง

ฮอดป่าไม้ฝูงหมู่จวงจันท์ เลยละวันทานบกราบลงทั้งเว้า

จวงจันท์เจ้าสงสารอั้วแหน่ นางนี่ทุกข์แท้ ๆ จันท์เจ้าอีดู

จันท์เล่าฮู้บอกว่าเซา ๆ เจ้าผู้เลาคีงสวยอย่าทำคือนี้

อั้งจึ่งว่าขอให้ปราณีถ่อน วอนหลายเหล่า

จนว่าจันท์แก่มเจ้ากวยน้อมง่าลง

นงนาทอั้วไหมผูกเคียนคอ พอดีเลยจวงจันท์ดีดเมือเมืองฟ้า

นางคานหล้าตายคาค้างง่า ชาวบรรดาพี่น้องบ่มีฮู้ฮ่อมนำ

หมดทุกข์ก้ำบ่ฮู้ว่านางตาย จนว่าสามโมงงายจั่งได้ยินกาฮ้อง

กามันฮ้องปลายซานจวงจ่อง ลูกผู้ได๋ผูกคล้องตายค้างง่าจวง

กาเล่าท้วงคนกะแล่นสวนเส็น เห็นนางตายคาจวงส่าลือทั้งค่าย.........

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีนะคะคุณเพื่อนตอนนี้กำลังค้นคว้างานให้คุณสามี ไปเรียนเสาร์อาทิตย์ไม่ค่อยได้เจอกันเลยอยากเห็นหน้าหลานน้อยจังเลย

utnnvfemnkfkg.akxltognrot.pfg.,gp[gatktop4.rkormel

แล้วที่มาของคำว่า พญาอีสาน แปลว่าอยางไร   ( ทำไมไม่แปลมาให้หมดละไอ้นี้แปลกคนแหอะ )    ( แปลมาให้หมดด้วยเข้ใจนะไอ้สาด )

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท