ภาษาพูดสื่อความรู้สึก.....
สวัสดีปีใหม่เพื่อน พี่ น้อง และ ชาว gotoknowทุกท่านค่ะ
เป็นงัยกันบ้างคะช่วงปีใหม่ที่ผ่าน กับ วันหยุดอันยาวนาน 5 วันเต็ม คงจะมีความสุขกันทั่วหน้านะคะ ข้าพเจ้า ขึ้นหัวข้อแบบนี้ตรงประเด็นเลยละคะ ก็เหมือนกับยกกลอนแห่งกาลเวลามาฝากกันนะคะ อาจจะเป็นเรื่องต่อเนื่องกันด้วยรึเปล่า แต่ข้าพเจ้าคิดว่าต่อนะ เพราะว่าเรื่องของกลอนก็คือว่า ชีวิตคนเราก็จะก้าวกันต่อไป คงไม่มีใครจะสามารถย้อนกาลเวลาได้แน่นอน มีเพื่อนผู้อ่านบางท่านให้ข้อคิดกับข้าพเจ้าได้ดีเหลือเกินทำให้วันนี้ข้าพเจ้าก็เลยคิดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมาได้ เอามาพูดให้กันฟัง ในการพูดของคนเรานั้นข้าพเจ้าคิดว่าการพูด กับการแสดงความรู้สึกน่าจะเป็นของคู่กันเพราะในบางครั้งการไม่พูดเราจะรู้ได้อย่างไรเพียงแค่แสดงนั้นไม่เพียงพอต่อการสื่อสารความรู้สึกอย่างแน่นอน เพราะคนเราไม่เหมือนกันทุกคนที่จะสามารถรู้อะไรได้โดยที่ไม่ต้องบอก ขนาดไม่ต้องบอกไม่พูด ก็ดูเหมือนจะรู้นะว่าคิดอะไรอยู่แต่ยังเดาออกมาผิดเลย กลายเป็นความเข้าใจกันคนละความหมายอีกต่างหากไปกันใหญ่
ที่ข้าพเจ้าได้ข้อคิดก็จากเพื่อน จากนอ้งหลายคนที่รู้จักที่เป็นแบบนี้ ก็เลยมาลองคิดดู เอามาพูดให้กันฟังแลกเปลี่ยนกัน จากที่มีผู้ที่อ่านและฝากความคิดไว้ให้ข้าพเจ้าจากบทกลอนแห่งกาลเวลาว่าเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้เพราะมันกลายเป็นอดีตไป แต่เราสามารถที่จะนำมันกลับมาเพื่อที่จะเป็นบทเรียน สอนเราได้ในคราวต่อไปถ้าเราสามารถคิดถึงมันและก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสบการณ์
นอกจากนี้การปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าจะหรือพูดมันออกไปซักเรื่องแต่แค่คิดกลับไม่ได้ทำ ไม่ได้พูด มันอาจจะสายเกินไปก็ได้ ถูกต้องที่เวลาสำหรับคนเรานั้นทุกชีวิตสั้นนักเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไป จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าหากมีสิ่งใดที่เราคิดว่าเป็นสิ่งดีๆ คำพูดดีๆกับคนรอบข้าง ที่เราควรทำหรือทำได้ก็น่าจะทำหรือบอกกันซะตั้งแต่ที่เรายังมีชีวิตอยู่จริงมั๊ยคะ
จากที่ข้าพเจ้าคิดนะคนเรามักมีจะมีอะไรแปลๆนะ บางอย่างควรพูดก็ไม่พูด บางอย่างควรทำก็ไม่ทำต่อกัน ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่มีผู้เขียนเรื่องทำนองนี้และก็คิดว่าจริงคะ
เมื่อเรามีคนใกล้ชิดกับเราซักคนหรือเพื่อนฝูงครอบครัวของเรา ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะแสดงความรู้สึกทั้งการกระทำและคำพูด ความนึกคิดออกมาบ้างในบางขณะ การแสดงความรู้สึกกับอารมณ์ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อเรามากกว่า เพราะฝ่ายตรงข้ามจะได้รู้แต่ไม่ได้หมายถึงการเปิดเผยเรื่องที่เป็นส่วนตัวทุกเรื่องนะแค่ความรู้สึก ก็คนส่วนใหญ่ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันซะเลยความคิดไม่ค่อยจะตรงกับพูด
จะสังเกตได้ว่าการขาดการพูดคุยสื่อสารความรู้สึกที่ถูกต้องทำให้นำมาซื่งปัญหาและความเข้าใจที่ไม่ตรงกันหลายรูปแบบ(สังเกตจากคนรอบข้างคะ)เพราะขาดการพูดกันอย่างแท้จริงข้าพเจ้าอยากคนที่ชื่นชอบการเก็บงำความรู้สึกหรือคนที่เก็บอะไรไว้ในคนเดียว ได้พูดมันออกมา ไม่ว่าจะกับคนในครอบครัว คนรอบข้างที่อยู่กับเรา ที่เราคิดว่าเค้าน่าจะรับฟังเราได้ ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไปดีกว่าเก็บไว้คนเดียว เช่นว่า ถ้ารู้สึกรักใครซักคนก็บอกกันเลยว่ารัก รู้สึกไม่ชอบอะไรก็บอกว่าไม่ชอบ ทำแบบนี้รับไม่ได้ทำอย่างไรถึงจะรับได้ รับปากว่าทำได้ก็บอกว่าได้ถ้าไม่ได้ก็บอกไม่ได้คนขอร้องจะได้ไม่เสียความรู้สึก เสียใจก็บอกว่าเสียใจ โกรธกับบอกว่าโกรธ อะไรประมาณนี้ เพราะการเฉไฉพูดไม่ตรงกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ประเภทที่แบบรักนะแต่ไม่แสดงออกนี่ ไม่รู้ดิ ข้าพเจ้าว่ามันใช่เหรอ แล้วจะรักกันจริงรึเปล่าละ แล้วคนที่ถูกรักจะรับรู้ด้วยมั๊ยว่ารัก......ถ้าได้บอกความรู้สึกแบบนี้ออกไปข้าพเจ้าว่าทุกคนน่าจะมีความสุขอยู่รวมกันได้นะคะ แต่ก็ไม่ได้หมายความตรงเกินเหตุไปก็ไม่ไหว..อะไรที่มากเกินไปไม่ดีนะ
ข้าพเจ้าเคยเจอเพื่อนของข้าพเจ้าบางคนเป็นแบบนี้คะมากๆ คือ ต้องเสียใจเพราะการไม่พูดมาแล้วพออยากจะพูดอีกทีก็สายเกินไปแล้ว เพราะคนบางคนก็มีฐิธิมากเกิน บางคนก็มีความลับในใจมากเกิน บางคนก็หยิ่งมากเกินกว่าที่จะพูดง้อใคร ข้าพเจ้าก็บอกเพื่อนว่าถ้าเรื่องมันไม่สาหัสก็น่าจะทำเป็นลืมๆมั่งก็ได้การเป็นแบบนี้ จริงมั๊ยคะ ข้าพเจ้าอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ที่มีนามปากกาว่า ลิช..ไม่น่าเชื่อ เพิ่งจะมารู้เมื่อก่อนวันเลี้ยงรุ่นปีใหม่นี่เองว่าเป็นเพื่อนข้าพเจ้าเอง แล้วเค้าก็เอามาให้อ่านตอนแรกก็ไม่คิดไรคิดว่าเพื่อนช่างเก่งตามความฝันของตังเองเจอแล้ว โดยการเป็นนักเขียนนิยาย ข้าพเจ้าอ่านเรื่องแล้วได้แง่คิดเรื่องการพูดนี่ละโดยนางเอกของเรื่องช่างน่ารักที่พูดได้ทุกความรู้สึกกับทั้งคนในครอบครัวและคนรอบข้างได้ดี สร้างความรักได้โดยแท้ ไม่ได้โฆษณานิยายเพื่อนนะคะ แต่ ยกตัวอย่างคะ และต้องยกนิ้วให้เพื่อนที่เขียนเรื่องความรักของครอบครัวโดยแท้จริงแบบชนิดถึงไม่มีใครรักและสนใจเราแต่สิ่งเดียวที่รักและให้ความสำคัญกับเราไม่เปลี่ยนแปลงก็คือครอบครัว ที่มี พ่อ แม่ พี่ น้อง นี่ละคะ เป็นสำคัญจริงๆ
เหมือนเพื่อนข้าพเจ้าคู่หนึ่งคบกับแฟนมาได้ตั้ง 2 ปี แล้ว ไม่เคยบอกรักแฟนซักคำ แถมไม่เคยบอกตรงๆด้วยว่ารักเค้า ทั้งๆที่ฝ่ายชายบอกรักตลอด สุดท้ายพอมีปัญหากัน จะเลิกกันผู้ชายบอกว่าก็นึกว่าไม่รักไม่เห็นเคยบอกเลยว่ารัก อะคะ เพื่อนบอกว่ารีบบอกไปเดี๊ยวแฟนได้ใจรู้ว่ารักแล้วทำให้เสียใจเป็นงั้นคะ สุดท้ายก็จบกันไปด้วยความไม่เข้าใจน่าเสียดาย แต่ข้าพเจ้าว่ามีอีกหลายคนนะคะที่เป็นแบบนี้
มาถึงตอนนี้แล้วก็มีเรื่องของข้าพเจ้าเองละคะกับเพื่อนคนหนึ่งเราเป็นเพื่อนกันมาประมาณ7-8 ปี ละเราสนิทกันพอดูมีเรื่องอะไรคุยได้หมดแต่พอมาช่วงหลังเค้าเงียบๆไปก็คิดว่าเค้าคงจะยุ่งๆอยู่กับครอบครัว และก็แฟนๆของเค้า เค้าโทรมาชวนกินข้าวหลายครั้ง หรือขับรถผ่านที่ทำงานก็หลายครั้งแล้วก็ให้ออกมาเจอกันคุยกัน แต่ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่ว่าง งานยุ่ง กว่าจะเลิกสอนก็ค่ำมืด แต่พอบางครั้งข้าพเจ้าว่างก็บอกว่าไม่ว่างเพราะไม่อยากไปไหน ข้าพเจ้าจำได้วันสุดท้ายที่ได้คุยกับเค้าก็โทรมาบอกว่าช่วยแนะนำและเอาหนังสือที่เรียนปริญญาโทมาให้ด้วย ให้เก็บไว้ในรถ จะมาเอา แล้วเค้าก็หายไปประมาณ1 เดือนจนจะถึงวันสอบปริญญาโทข้าพเจ้าก็ไม่เห็นเค้ามาเอาหนังสือซักทีจนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เจอแม่เค้าแล้วบอกว่าเค้าเสียชีวิตแล้วก่อนที่จะเจอแม่เค้า 1 วัน ตกใจมาก มากจริงๆ ข้าพเจ้ายังไม่ได้บอกคิดถึงมันเลย ยังไม่ได้แนะนำหนังสือดีๆเลย ยังไม่ได้ไปกินข้าวกับมันตามที่รับปากไว้เลย แถมตอนที่มันโทรมาข้าพเจ้ายังทำเป็นไม่ใส่ใจอีกเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องเจอ ยังไงก็ได้คุยกัน แน่นอน ข้าพเจ้าเสียใจมากจริงๆ .........
สุดท้ายข้าพเจ้าก็อยากจะบอกกับชาวเราทุกคนว่า การพูดกับการแสดงความรู้สึก หรือการบอกอะไรก็ตามกับครอบครัว กับคนที่เรารักและรักเรา กับคนรอบข้างมันน่าจะวิเศษกว่าการเก็บมันไว้ในใจนะคะว่ามั๊ย...เหมือนกับโฆษณาอะไรไม่ทราบข้าพเจ้าจำไม่ได้ แต่จำได้ที่เค้าบอกว่า พูดคุยกันมากขึ้น บอกความรู้สึกกันมากขึ้น และแสดงอะไรออกมามากขึ้นแล้วคุณจะได้อะไรมากกว่าที่คิด
แปลกนะคะ ...บางทีการพูดกลับจำเป็นกว่าการกระทำ...
แล้วคนที่ชอบพูดเสมอว่ารัก แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม จะให้เราเข้าใจว่ายังไงดี
บางทีการที่เราจะแสดงความรู้สึกกับใครสักคนมันก็ยากแสนจะยาก
เพราะปากมันหนัก โอกาสดีๆๆจึงหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
ฉันมีความรู้สึกดีดีต่อคุณ