การเล่าเรื่อง "ลมปราณแห่งปัญญา" ของวินทร์ เป็นเรื่องที่น่าคิดในวงการการศึกษา
"ความรู้และปัญญา" ยังเรื่องคู่เคียงกันมาแต่เกิด ... ดังคุณวินทร์จะเล่าให้ฟัง ดังนี้
.....................................................................................................................................
นิยายจีนกำลังภายในหลายร้อยเรื่องมีฉากที่อาจารย์ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ฝีมือเลิศล้ำถ่ายทอดวิชาให้พระเอกอย่างหมดสิ้น
ที่ว่า "ถ่ายทอดอย่างหมดสิ้น" หมายความตามคำทุกประการ นั่นคือ อาจารย์ประกบสองฝ่ามือบนแผ่นหลังของพระเอก ขับเคลื่อนลมปราณที่สะสมมาชั่วชีวิตผ่านเส้นชีพจรเข้าไปรวมตัวในร่างของพระเอก ขณะถ่ายทอดมักปรากฎควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นจาง ๆ จากกบาลของอาจารย์ สีหน้าของอาจารย์จะค่อย ๆ ซีดลง ขณะที่ใบหน้าของพระเอกเปล่งประกายขึ้น
ฝ่ายอาจารย์เมื่อถ่ายทอดลมปราณแล้ว ก็มักผมขาวโพลน เนื้อหนังเหี่ยวย่น และสิ้นลมปราณ ในบางเรื่องอาจารย์อาจจะเอ่ยคำอำลาสั่งเสียให้พระเอกไปกอบกู้ยุทธจักรต่อไป ในบางเรื่องที่อาจารย์เหนื่อยเกินไป ก็อาจตายไปเลยโดยไม่ต้องพูดมาก ปล่อยให้พระเอกลุยเดี่ยวต่อไป
ฝ่ายพระเอกจะรู้สึกสดชื่นเหมือนกินยาบ้าเข้าไปสักร้อยเม็ด สารอะดรีนาลีนหลั่งไหลพล่านทั่วร่าง เมื่อสะบัดฝ่ามือ หินผาที่อยู่ไกลออกไปหลายเชียะก็แตกร้าว กระโดดเบา ๆ ก็ตัวลอยถึงยอดไม้โดยไม่ต้องออกแรง สะกิดเท้าเบา ๆ ก็วิ่งไปร้อยสิบลี้โดยไม่เหนื่อยหอบ เพราะพลังภายในแบบ "สะสมทรัพย์" ของตนรวมดอกเบี้ยพลังหกสิบปีของอาจารย์เข้าไปด้วย
ช่างเป็นการถ่ายทอดพลังและลมปราณที่ง่ายดายราวกับถ่ายข้อมูลจากฮาร์ดไดร์ฟของคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง
หลายคนอยากเจออาจารย์ใจดีอย่างนี้บ้าง คงประหยัดเวลา ไม่ต้องเข้าฝึกปรือให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจ
เมื่อผมเป็นเด็ก ทุกครั้งที่ต้องเตรียมสอบ มักนึกอยากให้ โลกนี้มีเครื่องถ่ายทอดความรู้โดยไม่ต้องเรียน หากการนอนหนุนหนังสือแล้วความรู้ความสามารถซึมเข้าหัว ร้านขายหมอนในโลกนี้คงเลิกกิจการไปหมดสิ้น
ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์ ความคิดเรื่องการถ่ายทอดความรู้นี้ไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก วันหนึ่งในอนาคตอันไกล เมื่อเราเข้าใจการทำงานของสมองอย่างดีแล้ว การถ่ายทอดความรู้จากสมองหนึ่งไปยังอีกสมองหนึ่ง อาจไม่ใช่นิยายอีกต่อไป เพราะการทำงานของสมองที่แท้ก็คือการทำงานของสารเคมีและไฟฟ้า
หากเราสามารถรับวิชาความรู้ความสามารถจากคนอื่นได้ด้วยวิธีนี้คงสนุกพิลึก เราคงไม่ต้องเข้าโรงเรียน ไม่ต้องกวดวิชา ไม่ต้องเรียนหนังสือนาน 10 - 20 ปี และแข่งขันกันจะเป็นจะตายอย่างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนใน พ.ศ.นี้
แต่เรายังอยู่ในโลกของปัจจุบัน ในโลกของความจริง โลกที่ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ฟรี ๆ
ชีวิตเป็นการพัฒนาทีละขั้น เราต้องทำงานหนัก ฝึกฝนทีละขั้น ๆ จากไม่เก่งเป็นพอใช้ได้ ไปจนถึงเก่ง และเชี่ยวชาญในที่สุด
ไม่มีทางลัด
ไม่มีทางลัด
ไม่มีทางลัด
อย่างไรก็ตามถึงจะสามารถถ่ายทอดข้อมูลข้ามสมองได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณรับมาแต่ส่วนที่ดี?
ความจริงแล้ว ความรู้ (Knowledge) เป็นเรื่องหนึ่ง ปัญญา (Wisdom) เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่เช่นนั้นสุนทรภู่คงไม่เขียนบทกวีคลาสสิกที่ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"
จบปริญญาหลายใบมิได้หมายความว่าจะมีปัญญาโดยอัตโนมัติ
พูดง่าย ๆ ก็คือ ถึงจะถ่ายความรู้ข้ามสมองได้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ในชีวิตจริงอย่างไร เพราะความรู้อย่างเดียวไม่มีประโยชน์หากไม่สามารถแปลงให้เป็นปัญญาได้
ชีวิตมิได้มีแต่ด้านที่ทำงานหาเงินโดยใช้ความรู้เป็นเครื่องมือ ยังมีด้านของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย
คนเรียนจบสูง ๆ ไม่แน่ว่าจะมีความสุขกว่าคนที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย
เพราะ "ลมปราณแห่งปัญญา" ไม่สามารถ่ายทอดได้ แต่เพาะและพรวนให้พอกพูนได้
.....................................................................................................................................
ขอบคุณข้อเขียนดี ๆ ของคุณวินทร์ เลียววาริณ ... ที่ช่วยกระตุ้นเตือนและเปิดโลกทัศน์ในบางเรื่องที่เราอาจจะหลงลืมไปในการใช้ชีวิต
....................................................................................................................................
แหล่งอ้างอิง
วินทร์ เลียววาริณ. อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ 113, 2551.
winbookclub. http://www.winbookclub.com/basket_detail.php?id=164. (18 พ.ค.52).
ป.ล. ค้นหาภายหลังพบว่า คุณวินทร์ เลียววาริณ ได้นำบทความนี้ขึ้นเว็บไว้แล้ว ดังอ้างอิง ครับ
สวัสดีครับ
กำลังจะออกไปร้านหนังสือพอดีครับ...
ขอเก็บข้อมูลก่อนครับ
"หนังสือดี ๆ สวยงามเสมอ" ครับ ... คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร :)
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ปัจจุบันมีหนังสือดีๆให้ข้อคิดที่อ่านง่าย อ่านสนุก มีมากมายกว่าเมื่อก่อนเยอะทีเดียว โชคดีของคนยุคนี้นะคะ
เป็นนักเขียนอีกท่านที่ต้อมชื่นชอบค่ะ ^^
สวัสดีครับ พี่อาจารย์ คุณนายดอกเตอร์ :)
วงการหนังสือคงพัฒนาตามกาลเวลาน่ะครับ
กลุ่มเป้าหมายอย่างผม คงชอบอ่านอะไรง่าย ๆ เข้าใจง่าย เหมือนกันน่ะครับ
ขอบคุณครับ :)
ขอบคุณครับ หนูต้อม เนปาลี :) ....
หากชื่นชอบคุณวินทร์ แสดงว่า เป็นคนช่างคิดเหมือนคุณวินทร์ ครับ
:) )))) ครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร :)
ตกลงไปร้านหนังสือหรือยังครับเนี่ย :)
ช่างคิดเหมือนกันค่ะ คิดมาก..ก..ก อิอิ ^^ ต้อมชอบความคิดคุณวินทร์ กับคุณประภาส นะคะ แบบบางเรื่องก็ทำให้อึ้ง..ทึ่ง..ไปเลย คิดกันได้ไงก็ไม่รู้
555 หนูต้อม เนปาลี :) ... คิดมาก อ่อนไหวมาก
แต่คำอุทานของนักเขียนสองท่านนี้ คือ "คิดได้ไงหว่า" จริง ๆ ด้วย 555
เอาภาษานักวิชาการก็เรียกว่า "คิดนอกกรอบ" ตัวจริงเสียงจริง ครับ
จุ๊ๆๆ เลยนะ ที่บ้านต้อมมีหนังสือของคุณประภาสชุดหนึ่งเลย เจ้ซื้อมาให้ยืมอ่านเป็นปีๆแล้วมั้ง ไม่เห็นทวงคืน อิอิ เคยเอ่ยปากบอกไปแล้วด้วยว่าอ่านจบไปหลายรอบแล้ว จะเอาคืนให้ เธอก็บอกว่า..ยังไม่รีบอ่าน ดีจัง..เลยอยู่ประดับห้องต่อไปได้อีก
จริงๆ เล่มนี้ของคุณวินทร์ที่อาจารย์หยิบยกมาเขียน ต้อมก็อ่านดูในนิตยสารเช้านี้ที่แนะนำเล่มนี้เลย ก็ไว้มีโอกาส..จะลิสต์ให้เจ้ อิอิ เผื่อจะได้อ่านอีกเยอะๆๆ ไง
อุ๊บ! อยากได้อ่านหนังสือของคุณวินทร์เยอะๆ งั้นคงต้องยกหนังสือของคุณประภาสคืนเจ้ไป เธอคงไม่คิดว่าต้อมเจ้าเล่ห์หรอกนะคะ อิอิ
หุ หุ ร้ายจริง ๆ ... หนังสือคุณวินทร์นี่ ผมชอบชุดเสริมกำลังใจของเค้านี่แหละ มี 4 เล่ม ครับ
ยังขาดอีก 2 เล่มครับ เล่มที่ไม่ได้นำเสนอไว้ในบล็อกนั่นแหละครับ วันใดก็ตามที่ได้มีโอกาสนำเสนอ แสดงว่า ผมเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนั้นไปแล้วครับ
สวัสดีค่ะ
อ้าว ... คุณ คนของกาลเวลา อย่างนี้คงต้องใช้เวลาพิจารณานานหน่อยนะครับ เลือกเล่มที่ถูกจริตในใจตนไว้ก่อน ครับ
รอข่าวนะครับว่า จะได้เล่มไหนมาเอ่ย :)
ขอบคุณครับ น้องคุณครู เทียนน้อย :) ..
น้ำหนักคงเพิ่มขึ้น อิ อิ