1.ไม่เอ่ยถึงสิ่งไม่ดีของผู้อื่น นำแต่ส่วนที่ดีเท่าที่ทราบมาพูด
2.ธรรมชาติที่ล้ำลึกที่สุดของมนุษย์ก็คือการโหยหาที่ จะได้รับการยกย่อง
3.จะใช้คำยกย่องที่กลั่นออกมาจากใจจริง คำพูดของเราจะอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเน ิ่นนาน ทั้งยังจะย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงมันเสมอแม้เราจะลืมไ ปแล้ว
4.พูดถึงแต่สิ่งที่เขาต้องการและแสดงให้เห็นว่าทำอย่ างไรจึงจะได้มัน
5.จงเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างแท้จริง
6.จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกันที่ท่านต้องการให้ผู้ อื่นปฏิบัติต่อท่าน
7.มนุษย์ต้องสอนเขาเหมือนกับคุณไม่ได้สอนและจงเสนอสิ ่งที่เขาไม่รู้ประหนึ่งว่าเขาลืมเลือนมันไป
8.จงเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายและอย่าบอกว่าใคร (เขา) ผิด
9.จงเริ่มต้นด้วยไมตรีจิต
10.การโต้แย้งถกเถียงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ผลใด
11.จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งตอบรับทันทีเมื่อเปิดฉากสนทนา
12.จงทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความรู้สึกว่าความคิดนั้นเป ็นของเขา
13.ทุกคนชมชอบการขอร้อง
14.จงขอร้องด้วยการพูดให้อีกฝ่ายบังเกิดความรู้สึกว่ าเป็นเจตนาที่ดีงามต่อกัน
15.อย่าเตือนผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาผิด
16.เหตุผลมีเฉพาะก่อนเหตุการณ์ หลังเหตุการณ์มีแค่คำแก้ตัว
17.พูดถึงความผิดพลาดของตนเองก่อนเสมอแล้วจึงตำหนิผู ้อื่น
18.ไม่มีใครชอบรับคำสั่ง จงขอความเห็นแทน
19.จงอย่าฉีกหน้าอีกฝ่าย
20.จงรักษาหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง
จากข้อคิดของเดล คาร์เนกี้ เดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1888 ในเมืองแมรีวิลล์ รัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา จบการศึกษาจาก Warrenburg State Teacher College ขณะที่ทำงานเป็นพนักงานขายและนักแสดง เขาได้เดินทางไปที่กรุงนิวยอร์ก และเริ่มสอนทักษะในการสื่อสารให้กับนักศึกษาผู้ใหญ่ท ี่ YMCA และในปี ค.ศ. 1912 ได้กำเนิดหลักสูตรเดล คาร์เนกี้
เดล คาร์เนกี เขียนหนังสือเรื่อง ศิลปะการผูกมิตรและจูงใจคน และ หยุดวิตกกังวลและอยู่อย่างมีความสุข หนังสือได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมด 38 ภาษา นอกจากนี้เขาได้เขียนคอลัมภ์ในหนังสือพิมพ์และมีรายก ารวิทยุประจำวันของตนเอง ปัจจุบันเดล คาร์เนกี เป็นชื่อศูนย์ฝึกอบรมซึ่งมีสำนักงานต่างๆกว่า 70 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย