มันยากยิ่งที่จะบอกได้ว่า การจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขนั้น จำต้องยึดหลักคิดใดบ้าง เพราะในความเป็นจริงนั้น คงไม่มีหลักคิดใดเป็นสูตรสำเร็จเสียทั้งหมด
ย้อนหลับไปเมื่อเกือบ ๆ จะสิบเดือนที่แล้ว ผมตัดสินใจลาออกจากการทำงานบริหารในกลุ่มงานหนึ่ง เป็นการลาออกอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ลาออกแบบไม่สนใจคำทัดทานของทีมงาน และเป็นการลาออกโดยไม่ถูกกดดันจากการเมืองใด ๆ
ครั้งนั้น ผมแน่ชัดเหลือเกินว่า ผมอิ่มตัวและพอแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะก้าวไปในจุดที่สูงกว่านั้น พร้อม ๆ กับการเปิดพื้นที่ให้คนอื่น ๆ ได้ก้าวเข้ามาเติบโตในจุดของเรา
และครั้งนั้น ผมพร้อมน้องทีมงานเพียงไม่กี่ชีวิตก็หอบหิ้วกันไปสู่การตั้งงานใหม่ แต่งานใหม่ที่ว่านั้น ถึงแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าเดิม แต่ใน “เนื้องาน” นั้นกลับไม่ได้ไปจากเดิม
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าผมบ้าหรือเสียสติไปแล้วหรือเปล่า อยู่ดี ๆ ก็ละทิ้งความก้าวหน้าแบบหน้าตาเฉย ส่วนบางท่านก็มองในอีกมุมว่า ผมละทิ้งการงานและทีมงานโดยไม่แยแสว่า พวกเขาพร้อมแค่ไหนกันแล้ว หรือแม้แต่บางท่านก็ปลอบประโลมราวกับผมกำลังอกหักด้วยวาทกรรมอันแสนงามว่า “ดีแล้วล่ะ คนอื่นจะได้เติบโตและพิสูจน์ตัวเอง”
ห้วงเวลานั้นก็แปลกแปร่งอยู่บ้าง เคยมีลูกน้อง หรือทีมงานให้กำกับเป็นสิบ ๆ คน แต่ ณ ห้วงที่เลือกนั้นเหลือลูกน้องร่วมชะตากรรมเพียง 4 คนเท่านั้น
การทำงานในสายงานใหม่ไม่ซับซ้อนเหมือนก่อนเก่า อะไรก็สะดวกรวดเร็ว และเรามีเวลาในการสร้างสรรค์กระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียนกว่าแต่เก่า เพราะไม่ได้ถูก “งานบริหาร” กดทับและบีบรัดจนแทบขยับตัวไม่ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของการ “จัดสรร” เวลาให้สมดุลเสียทีเดียว แต่ถ้าใครมาอยู่ในภาวะ หรือสถานการณ์ของผม จะรู้เลยว่า การงานอันหนักหน่วงที่ว่านั้น มันเป็นภารกิจที่อยู่เหนือคำอธิบายใด ๆ ...
และเป็นความมหัศจรรย์ ในวงรอบที่ผ่านมา ผมกลับได้รับความดีความชอบจากผู้ใหญ่ (หลังจากไม่ได้มาหลายปี) ซึ่งในแต่ละปี คนในแวดวงมหาวิทยาลัยมักเออออไปเองว่า ผมคงได้สองขั้นทุกปีแหละ ซึ่งวิธีคิดเช่นนั้น ได้เดินสวนทางความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
ตราบจนไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมถูกล้อมกรอบอย่างสุภาพให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม โดยมีเหตุผลนานัปการมากล่าวอ้าง และเหตุผลเหล่านั้น ก็เป็นเหตุผลของความเป็น “ส่วนรวม” ที่เป็น “จุดตาย” ของผม
ที่ประชุมในวันนั้น ประกอบด้วยผู้บริหารหลายท่าน และหัวหน้าส่วนอีกหลายส่วน ผมแทบไม่มีโอกาสได้กล่าวปฏิเสธอย่างที่ใจอยากจะกล่าวนัก เพราะแต่ละท่านก็ล้วนแล้วแต่ยกเหตุผลแห่งความเป็น “ส่วนรวม” เข้ามาประชิดจิตใจของผม ราวกับกำลังจะบอกว่า “ผมจะดูดายเชียวเหรอ..”
และที่สุดแล้ว ผมก็กลับสู่ตำแหน่งเดิมแบบขำ ๆ พร้อม ๆ กับการงานอันมากมายก็ขานรับอย่างเซ็งแซ่ .. ทั้งงานใหม่งานเก่าเรียงแถวเข้าประกบติดราวกับเป็นกระทิงดุที่กำลังถูกปล่อยออกจากคอก โดยไม่สนใจว่าผมจะอยู่ในสถานการณ์ใด, พร้อม หรือไม่พร้อม
เหตุการณ์เช่นนี้มันเหมือนกับเราถูกผลักลงไปยังสนามรบแบบไม่ได้ตั้งตัว และไม่เปิดโอกาสให้ผมอุทธรณ์ขอเวลานอกเลยแม้แต่น้อยนิด ..
และภาวะเช่นนั้นก็ทำเอาผมออกอาการเอ๋อ ๆ อยู่พอสมควร (ถึงตอนนี้ก็ยังออกอาการเดิมอยู่อย่างเห็นได้ชัด)
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมแทบยังไม่ได้ตั้งหลักในทางบริหารเลย ได้แต่ประคองให้แต่ละคนทำงานไปตามกรอบเดิม ๆ และเฝ้ารอเวลา หรือจังหวะอันเหมาะควรเพื่อนำเข้าสู่เวทีของการทำงานร่วมอย่างที่ควรจะเป็น
และแล้ว จู่ ๆ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ลมเพลมพัดก็นำพาให้ผมไปสู่ระบบการทำงานใหม่อีกระบบหนึ่ง นั่นคือ การเข้าไปกำกับดูแลงานหอพักอย่างเต็มตัว ซึ่งนั่นเท่ากับว่าโดยหลัก ๆ แล้ว ผมมีลูกน้อง หรือทีมงานให้กำกับอย่างน้อยก็เกือบ 140 คนเลยทีเดียว (นะ) ...
เดิมงานหอพักเติบโตไปเป็น “สำนักกิจการหอพัก” มีผู้อำนวยการกำกับดูแลโดยตรง แต่พอมาถึงวันนี้ นโยบายเปลี่ยนมาเป็นการปรับเปลี่ยนให้มีสถานะเป็นเพียงงานหนึ่งในกองกิจการนิสิต ดังนั้น ผมจึงจำต้องนั่งควบเก้าอี้สองตัวในเวลาเดียวกัน ..
ด้วยเหตุนี้ ในวันแต่ละวัน ผมจึงจำต้องบริหารเวลาอย่างยกใหญ่ แฟ้มจำนวนมากก่ายกองให้สะสาง และเดินเข้าออกระหว่างสองหน่วยงานราวกับวินมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งเข้าออกตามซอยต่าง ๆ อย่างว่าเล่น
ผมเขียนบันทึกนี้เพื่อบอกกล่าวความเปลี่ยนแปลงของผมในวิถีแห่ง “การงาน” และวิถีที่ว่านี้จะหมายถึงความเติบโต หรือก้าวหน้าหรือไม่นั้น ผมเองก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะลึก ๆ ก็หวั่นหวาดอยู่ตลอดเวลาว่า ว่าจะทำได้ไม่ดีพอ ... เพราะ “เวลา” กับ “งาน” ทั้งสองฝ่ายนั้นก็ต้องการเวลาเต็ม ๆ ไปสู่ตัวเองเหมือนกัน
และยิ่งต้องมาแบกรับงานใหม่ที่มีคนจำนวนมาก ๆ ให้กำกับ พร้อมกับนิสิตในหอพักอีกเป็นหมื่น ๆ รวมถึงเงินจำนวนหลาย ๆ ล้านจากหอพัก ก็ยิ่งคิดแบบขำ ๆ กับตัวเองตลอดเวลาว่า “จะรอด..ไม่รอด”
แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ผมไม่รู้หรอกว่า การจะอยู่รอด หรืออยู่อย่างมีความสุขได้นั้น จำต้องอาศัยหลักคิดใดเป็นตัวนำทาง จึงได้แต่ย้ำและปลุกเร้าตัวเองอยู่เสมอว่า “ลองดู ๆ” หรือไม่ก็บอกกับตัวเองอย่างขำ ๆ ว่า “ไม่เกินแรงพยายามของเราหรอก” ...
นี่เป็นขวัญกำลังใจที่ผมนำพามาปลุกปลอบตัวเองอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับการกำลังร้องเพลงให้ตัวเองฟังอย่างนุ่มเนียน เพื่อให้ตัวเองรู้สึกรื่นรมย์กับการ “ทำงาน” ไม่ใช่รู้สึกกำลัง “แบกรับงาน”
ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ผมไม่รู้จะเรียกวิธีคิดแบบนี้ว่าอะไรดี หลายคนก็บอกอย่างเป็นวิชาการว่า นั่นคือวิธีคิดแบบการ “มองโลกในแง่ดี” หรือ “ทัศนคติทางบวก” (POSITIVE THINKING) ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยมิใช่น้อย เพราะวิธีคิดเช่นนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่สิ้นหวัง ไม่มองอะไรลบไปเสียทั้งหมด จนบั่นทอนจังหวะก้าวของตนเอง
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะหากขืนเรามองในแง่ร้าย หรือมองเรื่องนี้ในแง่ลบ ก็ยิ่งพลอยให้เราเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง และการมองด้วยวิธีเช่นนี้ก็ยิ่งผลักให้เราจมดิ่งลึกลงไปสู่เบื้องลึกอันเป็นมุมอับของจิตใจ
- เมื่อใจไม่สบาย กายก็ย่อมไม่สบายไปด้วยเช่นกัน
แน่นอนล่ะ ฟังดูเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง แต่นั่นก็หมายถึงการรู้ตัวดีว่าเรากำลังปลอบใจตัวเองบนพื้นฐานของความเป็นจริงของชีวิตและการงาน มิใช่ปลอบใจแบบเพ้อฝันจนหลุดลอยไปจากความเป็นจริงที่เราแตะต้องและสัมผัสได้ หรือเรียกง่าย ๆ เลยก็คือ วิธีคิดแบบนี้ ก็หาใช่ “เห็นอะไรก็บอกดีไปหมด” เพราะนั่นคือ “ความมักง่าย” หรือการ “การหลอกตัวเอง” ดี ๆ นั่นเอง
ท้ายที่สุดนี้ ผมก็กำลังบอกกับตัวเองอีกครั้งว่า ผมจะไม่ประเมินตัวเองจากงานเหล่านี้เพียงมุมเดียวคือ “ผ่าน...หรือไม่ผ่าน” “ล้มเหลว..หรือสำเร็จ” “ขาว...หรือดำ” ...
เพราะในความเป็นจริงของระยะทาง หาใช่เริ่มต้นแค่เลข 1 แล้วจบกันที่เลข 10 อันเป็นจุดหมายเท่านั้น และเราก็คงไม่ควรที่จะวัดค่าของคน หรือค่าของงานกันเพียงแค่หมายเลข เพียงสองหมายเลขเท่านั้น
เพราะหากผมเดินไปไม่ถึงจุดที่ 10 ก็คงไม่ได้หมายความว่า ผมล้มเหลวเสียทั้งหมด เพราะผมต้องได้อะไรบ้างล่ะจากจุดที่ 2 – 9 .. หรือในทางกลับกัน ในระหว่างเส้นทางนั้น ผมก็คงสร้างอะไรได้บ้างล่ะ ...
วันนี้ยังทำงานหนักเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ (เงินเดือนเท่าเดิม ..) งานที่ว่านี้ แต่ก่อนใครมาทำก็มีเงินประจำตำแหน่ง แต่สำหรับผม ไม่มีเงื่อนไขเงินมาเกี่ยวข้อง มีแต่เรื่องของ "ใจ" กับ "ใจ" แบบล้วน ๆ
แต่สำคัญที่สุดผมก็ค้นพบแล้วล่ะว่า มันเป็นความสุขอีกแบบหนึ่งที่ชีวิตกำลังสัมผัสได้
และการทำงานในภาวะที่ไม่มีค่าตอบแทนเช่นนี้ ก็เป็นห้วงเวลาอันดีที่ผมจะพิสูจน์ให้รู้ว่า "ผมรักและพร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณของมหาวิทยาลัย" เสมอ
แวะมาเป็นกำลังใจให้เดินต่อไปนะคะ
มาให้กำลังใจคะอาจารย์พนัส มีความสุขในการทำงานคะ
สวัสดีคะอจารย์
หนูก็ตั้งใจใจมาอ่านข้อคิดดีๆในการทำงานค่ะ
และมาให้กำลังใจน๊าค่ะ
สู้ๆค่ะ
ขอบคุณประสบการณ์ Positive thinking ครับ
สวัสดีครับ add
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
ในโลกความเป็นจริง ความหวัง และกำลังใจ คือกลไกอันสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ ถึงแม้จะพบเจอห้วงอุปสรรคอันยิ่งใหญ่สักปานใด ถ้าชีวิตยังรู้สึกว่ามีความหวัง.. และมีกำลังใจ ก็ย่อมฝ่าฟันไปได้ในสักวันหนึ่ง
สวัสดีครับ พี่ ประกาย~natachoei
ต้องขออภัยมาก ๆ ที่พักนี้หาย ๆ โผล่ ๆ เพราะกำลังวุ่นๆ อยู่กับงานพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นวันนี้เอง และนี่ก็เพิ่งตื่นจากการนอนพักแบบไม่รู้หนาวรู้ร้อน
ยังไงเสีย.. ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีพลังใจ พลังกายกับการใช้ชีวิตสืบต่อไปนะครับ
สวัสดีครับ . ครูโย่ง หัวหน้า~ natadee
ตอนนี้จัดสรรเวลาให้กับสองหน่วยงานอย่างระห่ำเลย เป็นต้นว่า เช้าเซ็นแฟ้มที่กอง สาย ๆ ไปเซ็นแฟ้มที่หอพัก ตอนนี้เลยดูเหมือนนั่งที่ไหนได้ไม่นานนัก
แต่ก็ดีครับ, ดูเป็นความท้าทายอันสำคัญอีกครั้ง และคิดว่าตนเองยังพอมีแรงไหวกับงานเหล่านี้ อย่างน้อยก็คือ การพยายามอย่างเต็มกำลังนั่นเอง
ขอบคุณครับ
น้องเอ๋ย ดีที่มีความมานนะ อดทน ขยัน ขันแข็ง
ตอนนี้ มีแรงก็ทำไป เพื่อขาติ จ๊ะ
แต่ก็ให้รู้เพียร รู้พัก นะคะ
มวนกับมันโลดหล่า... 555
เอี้ยสิถ่าเบิ่งทาง(มุมตึก)นี้
อิอิ
สวัสดีครับ เทียนน้อย
ขออภัยที่เพิ่งกลับมาตอบบันทึก...
ตอนนี้กำลังประมวลความคิดเพื่อถอดบทเรียนจากการเข้าฝึกอบรม ซึ่งเรื่องที่จะเขียนก็คือ "ความคิดเชิงบวก" จึงพลอยได้กลับมายังบันทึกนี้อีกครั้ง
การมองโลกในแง่ดี-เป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะไม่เพียงให้เราสิ้นหวังกับห้วง หรือสถานะที่กำลังเผชิญหน้า แต่ยังหมายถึงการสะกิดตนให้มีสติ รู้พักรู้ผ่อน และเรียนรู้ที่จะพลิกวิกฤตไปสู่ "โอกาส"
ผมเองก็ปลอบเตือนตัวเองในทำนองนี้เสมอ.. อย่างน้อยก็ทำให้เรา "กลับมา" โดยไม่จำต้องจมดิ่งไปความห้วงทุกข์นั้นๆ
สวัสดีครับ สีตะวัน
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ..
สิ่งหนึ่งที่เราติดยึดเรื่อยมาก็คือแนวคิดที่ขลาดกลัวต่อการที่จะเรียนรู้ชีวิตจากความผิดพลาดของตนเอง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะการเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ไม่ใช่การแตะต้องสัมผัสกับความเลวร้าย แต่หมายถึงการเรียนรู้ในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพื่อนำพาไปสู่เป้าหมายอย่างรอบคอบต่างหาก
ผมเชื่อเช่นนั้น..ครับ
สวัสดีครับ . small man~natadee
อันที่จริงบันทึกนี้ออกในแนวหม่นๆ บ่นๆ อยู่มากเลยทีเดียวนะครับ หากแต่ผมจงใจให้เนื้อหาสื่อสารออกมาในรูปนี้ เพราะต้องการที่จะสะท้อนให้เห็นว่า ในความหนักหน่วงและแสนเหนื่อยนั้น แท้จริงมันคือน้ำวิเศษที่ไหลรินมาสู่การหล่อเลี้ยงชีวิตของผมเอง
เป็นการมองวิกฤต...สู่โอกาสไปในที
ขอบคุณครับ