คิดเรื่องงาน (27) : บวก ..


ทำงาน” ไม่ใช่รู้สึกกำลัง “แบกรับงาน"

มันยากยิ่งที่จะบอกได้ว่า  การจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขนั้น  จำต้องยึดหลักคิดใดบ้าง   เพราะในความเป็นจริงนั้น  คงไม่มีหลักคิดใดเป็นสูตรสำเร็จเสียทั้งหมด

 

ย้อนหลับไปเมื่อเกือบ ๆ จะสิบเดือนที่แล้ว  ผมตัดสินใจลาออกจากการทำงานบริหารในกลุ่มงานหนึ่ง  เป็นการลาออกอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  ลาออกแบบไม่สนใจคำทัดทานของทีมงาน  และเป็นการลาออกโดยไม่ถูกกดดันจากการเมืองใด ๆ

 

ครั้งนั้น  ผมแน่ชัดเหลือเกินว่า  ผมอิ่มตัวและพอแล้ว  และไม่ปรารถนาที่จะก้าวไปในจุดที่สูงกว่านั้น  พร้อม ๆ กับการเปิดพื้นที่ให้คนอื่น ๆ ได้ก้าวเข้ามาเติบโตในจุดของเรา

 

และครั้งนั้น  ผมพร้อมน้องทีมงานเพียงไม่กี่ชีวิตก็หอบหิ้วกันไปสู่การตั้งงานใหม่  แต่งานใหม่ที่ว่านั้น  ถึงแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าเดิม  แต่ใน เนื้องาน  นั้นกลับไม่ได้ไปจากเดิม

 

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าผมบ้าหรือเสียสติไปแล้วหรือเปล่า  อยู่ดี ๆ ก็ละทิ้งความก้าวหน้าแบบหน้าตาเฉย  ส่วนบางท่านก็มองในอีกมุมว่า  ผมละทิ้งการงานและทีมงานโดยไม่แยแสว่า  พวกเขาพร้อมแค่ไหนกันแล้ว   หรือแม้แต่บางท่านก็ปลอบประโลมราวกับผมกำลังอกหักด้วยวาทกรรมอันแสนงามว่า  ดีแล้วล่ะ  คนอื่นจะได้เติบโตและพิสูจน์ตัวเอง

 

ห้วงเวลานั้นก็แปลกแปร่งอยู่บ้าง  เคยมีลูกน้อง หรือทีมงานให้กำกับเป็นสิบ ๆ คน  แต่ ณ ห้วงที่เลือกนั้นเหลือลูกน้องร่วมชะตากรรมเพียง  4  คนเท่านั้น

 

การทำงานในสายงานใหม่ไม่ซับซ้อนเหมือนก่อนเก่า  อะไรก็สะดวกรวดเร็ว และเรามีเวลาในการสร้างสรรค์กระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียนกว่าแต่เก่า  เพราะไม่ได้ถูก งานบริหาร  กดทับและบีบรัดจนแทบขยับตัวไม่ได้

 

เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของการ จัดสรร  เวลาให้สมดุลเสียทีเดียว  แต่ถ้าใครมาอยู่ในภาวะ หรือสถานการณ์ของผม  จะรู้เลยว่า  การงานอันหนักหน่วงที่ว่านั้น  มันเป็นภารกิจที่อยู่เหนือคำอธิบายใด ๆ  ...

 

และเป็นความมหัศจรรย์  ในวงรอบที่ผ่านมา  ผมกลับได้รับความดีความชอบจากผู้ใหญ่ (หลังจากไม่ได้มาหลายปี)  ซึ่งในแต่ละปี  คนในแวดวงมหาวิทยาลัยมักเออออไปเองว่า  ผมคงได้สองขั้นทุกปีแหละ  ซึ่งวิธีคิดเช่นนั้น  ได้เดินสวนทางความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

 

ตราบจนไม่กี่เดือนที่ผ่านมา  ผมถูกล้อมกรอบอย่างสุภาพให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม  โดยมีเหตุผลนานัปการมากล่าวอ้าง  และเหตุผลเหล่านั้น  ก็เป็นเหตุผลของความเป็น ส่วนรวม  ที่เป็น จุดตาย  ของผม

 

ที่ประชุมในวันนั้น  ประกอบด้วยผู้บริหารหลายท่าน  และหัวหน้าส่วนอีกหลายส่วน  ผมแทบไม่มีโอกาสได้กล่าวปฏิเสธอย่างที่ใจอยากจะกล่าวนัก  เพราะแต่ละท่านก็ล้วนแล้วแต่ยกเหตุผลแห่งความเป็น ส่วนรวม  เข้ามาประชิดจิตใจของผม  ราวกับกำลังจะบอกว่า  ผมจะดูดายเชียวเหรอ..

 

และที่สุดแล้ว  ผมก็กลับสู่ตำแหน่งเดิมแบบขำ ๆ  พร้อม ๆ กับการงานอันมากมายก็ขานรับอย่างเซ็งแซ่ .. ทั้งงานใหม่งานเก่าเรียงแถวเข้าประกบติดราวกับเป็นกระทิงดุที่กำลังถูกปล่อยออกจากคอก  โดยไม่สนใจว่าผมจะอยู่ในสถานการณ์ใด, พร้อม หรือไม่พร้อม

 

เหตุการณ์เช่นนี้มันเหมือนกับเราถูกผลักลงไปยังสนามรบแบบไม่ได้ตั้งตัว  และไม่เปิดโอกาสให้ผมอุทธรณ์ขอเวลานอกเลยแม้แต่น้อยนิด ..

 

และภาวะเช่นนั้นก็ทำเอาผมออกอาการเอ๋อ ๆ  อยู่พอสมควร  (ถึงตอนนี้ก็ยังออกอาการเดิมอยู่อย่างเห็นได้ชัด)

 

จากวันนั้นถึงวันนี้  ผมแทบยังไม่ได้ตั้งหลักในทางบริหารเลย  ได้แต่ประคองให้แต่ละคนทำงานไปตามกรอบเดิม ๆ  และเฝ้ารอเวลา หรือจังหวะอันเหมาะควรเพื่อนำเข้าสู่เวทีของการทำงานร่วมอย่างที่ควรจะเป็น

 

และแล้ว  จู่ ๆ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา  ลมเพลมพัดก็นำพาให้ผมไปสู่ระบบการทำงานใหม่อีกระบบหนึ่ง  นั่นคือ  การเข้าไปกำกับดูแลงานหอพักอย่างเต็มตัว   ซึ่งนั่นเท่ากับว่าโดยหลัก ๆ แล้ว  ผมมีลูกน้อง หรือทีมงานให้กำกับอย่างน้อยก็เกือบ 140  คนเลยทีเดียว (นะ)  ...

 

เดิมงานหอพักเติบโตไปเป็น สำนักกิจการหอพัก  มีผู้อำนวยการกำกับดูแลโดยตรง  แต่พอมาถึงวันนี้  นโยบายเปลี่ยนมาเป็นการปรับเปลี่ยนให้มีสถานะเป็นเพียงงานหนึ่งในกองกิจการนิสิต  ดังนั้น  ผมจึงจำต้องนั่งควบเก้าอี้สองตัวในเวลาเดียวกัน ..

 

ด้วยเหตุนี้ ในวันแต่ละวัน  ผมจึงจำต้องบริหารเวลาอย่างยกใหญ่  แฟ้มจำนวนมากก่ายกองให้สะสาง  และเดินเข้าออกระหว่างสองหน่วยงานราวกับวินมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งเข้าออกตามซอยต่าง ๆ อย่างว่าเล่น

 

ผมเขียนบันทึกนี้เพื่อบอกกล่าวความเปลี่ยนแปลงของผมในวิถีแห่ง การงาน  และวิถีที่ว่านี้จะหมายถึงความเติบโต หรือก้าวหน้าหรือไม่นั้น  ผมเองก็ยังไม่แน่ใจนัก  เพราะลึก ๆ ก็หวั่นหวาดอยู่ตลอดเวลาว่า  ว่าจะทำได้ไม่ดีพอ  ... เพราะ เวลา  กับ งาน  ทั้งสองฝ่ายนั้นก็ต้องการเวลาเต็ม ๆ  ไปสู่ตัวเองเหมือนกัน

 

และยิ่งต้องมาแบกรับงานใหม่ที่มีคนจำนวนมาก ๆ  ให้กำกับ  พร้อมกับนิสิตในหอพักอีกเป็นหมื่น ๆ  รวมถึงเงินจำนวนหลาย ๆ ล้านจากหอพัก  ก็ยิ่งคิดแบบขำ ๆ  กับตัวเองตลอดเวลาว่า จะรอด..ไม่รอด

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น  ผมไม่รู้หรอกว่า  การจะอยู่รอด  หรืออยู่อย่างมีความสุขได้นั้น  จำต้องอาศัยหลักคิดใดเป็นตัวนำทาง   จึงได้แต่ย้ำและปลุกเร้าตัวเองอยู่เสมอว่า ลองดู ๆ  หรือไม่ก็บอกกับตัวเองอย่างขำ ๆ ว่า ไม่เกินแรงพยายามของเราหรอก ...

 

นี่เป็นขวัญกำลังใจที่ผมนำพามาปลุกปลอบตัวเองอย่างเงียบ ๆ  เหมือนกับการกำลังร้องเพลงให้ตัวเองฟังอย่างนุ่มเนียน  เพื่อให้ตัวเองรู้สึกรื่นรมย์กับการ ทำงาน  ไม่ใช่รู้สึกกำลัง แบกรับงาน

 

ทั้งหลายทั้งปวงนั้น  ผมไม่รู้จะเรียกวิธีคิดแบบนี้ว่าอะไรดี  หลายคนก็บอกอย่างเป็นวิชาการว่า  นั่นคือวิธีคิดแบบการ มองโลกในแง่ดี  หรือ ทัศนคติทางบวก  (POSITIVE  THINKING)  ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยมิใช่น้อย  เพราะวิธีคิดเช่นนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่สิ้นหวัง  ไม่มองอะไรลบไปเสียทั้งหมด  จนบั่นทอนจังหวะก้าวของตนเอง

 

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง  เพราะหากขืนเรามองในแง่ร้าย หรือมองเรื่องนี้ในแง่ลบ  ก็ยิ่งพลอยให้เราเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง  และการมองด้วยวิธีเช่นนี้ก็ยิ่งผลักให้เราจมดิ่งลึกลงไปสู่เบื้องลึกอันเป็นมุมอับของจิตใจ  
    -
เมื่อใจไม่สบาย  กายก็ย่อมไม่สบายไปด้วยเช่นกัน

 

แน่นอนล่ะ  ฟังดูเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง  แต่นั่นก็หมายถึงการรู้ตัวดีว่าเรากำลังปลอบใจตัวเองบนพื้นฐานของความเป็นจริงของชีวิตและการงาน  มิใช่ปลอบใจแบบเพ้อฝันจนหลุดลอยไปจากความเป็นจริงที่เราแตะต้องและสัมผัสได้  หรือเรียกง่าย ๆ เลยก็คือ วิธีคิดแบบนี้  ก็หาใช่ เห็นอะไรก็บอกดีไปหมด  เพราะนั่นคือ ความมักง่าย หรือการ การหลอกตัวเอง ดี ๆ นั่นเอง

 

ท้ายที่สุดนี้  ผมก็กำลังบอกกับตัวเองอีกครั้งว่า  ผมจะไม่ประเมินตัวเองจากงานเหล่านี้เพียงมุมเดียวคือ ผ่าน...หรือไม่ผ่าน  ล้มเหลว..หรือสำเร็จ  ขาว...หรือดำ ...

 

เพราะในความเป็นจริงของระยะทาง  หาใช่เริ่มต้นแค่เลข 1 แล้วจบกันที่เลข 10  อันเป็นจุดหมายเท่านั้น  และเราก็คงไม่ควรที่จะวัดค่าของคน หรือค่าของงานกันเพียงแค่หมายเลข  เพียงสองหมายเลขเท่านั้น 

 

เพราะหากผมเดินไปไม่ถึงจุดที่ 10  ก็คงไม่ได้หมายความว่า  ผมล้มเหลวเสียทั้งหมด  เพราะผมต้องได้อะไรบ้างล่ะจากจุดที่ 2 – 9 .. หรือในทางกลับกัน  ในระหว่างเส้นทางนั้น  ผมก็คงสร้างอะไรได้บ้างล่ะ ...

 

วันนี้ยังทำงานหนักเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ (เงินเดือนเท่าเดิม ..)  งานที่ว่านี้  แต่ก่อนใครมาทำก็มีเงินประจำตำแหน่ง  แต่สำหรับผม  ไม่มีเงื่อนไขเงินมาเกี่ยวข้อง  มีแต่เรื่องของ "ใจ" กับ "ใจ" แบบล้วน ๆ

แต่สำคัญที่สุดผมก็ค้นพบแล้วล่ะว่า  มันเป็นความสุขอีกแบบหนึ่งที่ชีวิตกำลังสัมผัสได้ 

และการทำงานในภาวะที่ไม่มีค่าตอบแทนเช่นนี้  ก็เป็นห้วงเวลาอันดีที่ผมจะพิสูจน์ให้รู้ว่า  "ผมรักและพร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณของมหาวิทยาลัย"  เสมอ

   

หมายเลขบันทึก: 230285เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2008 22:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 04:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

แวะมาเป็นกำลังใจให้เดินต่อไปนะคะ

มาให้กำลังใจคะอาจารย์พนัส  มีความสุขในการทำงานคะ

  • ตามมาอ่านได้เรียนรู้วิธีคิด
  • และการทำงานครับ
  • สบายดีนะครับพี่

สวัสดีคะอจารย์

หนูก็ตั้งใจใจมาอ่านข้อคิดดีๆในการทำงานค่ะ

และมาให้กำลังใจน๊าค่ะ

สู้ๆค่ะ

สวัสดีค่ะคุณแผ่นดินP

  • แวะมาเรียนรู้การทำงาน
  • วิธีการคิด
  • การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
  • ..ตรงใจที่ว่า..ทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข โดยที่ไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง..แต่มีประโยชน์บ้างล่ะ..จริงมั๊ย?..เพราะในระหว่างเส้นทางนั้น  ผมก็คงสร้างอะไรได้บ้างล่ะ
  • ขอให้มีความสุขทุกวันนะคะ
  • ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณประสบการณ์ Positive thinking ครับ

สวัสดีครับ add

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ

ในโลกความเป็นจริง  ความหวัง และกำลังใจ  คือกลไกอันสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้  ถึงแม้จะพบเจอห้วงอุปสรรคอันยิ่งใหญ่สักปานใด ถ้าชีวิตยังรู้สึกว่ามีความหวัง..  และมีกำลังใจ  ก็ย่อมฝ่าฟันไปได้ในสักวันหนึ่ง

 

สวัสดีครับ พี่ ประกาย~natachoei

ต้องขออภัยมาก ๆ  ที่พักนี้หาย ๆ โผล่ ๆ  เพราะกำลังวุ่นๆ อยู่กับงานพระราชทานปริญญาบัตร  ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นวันนี้เอง  และนี่ก็เพิ่งตื่นจากการนอนพักแบบไม่รู้หนาวรู้ร้อน

ยังไงเสีย.. ขอให้สุขภาพแข็งแรง  มีพลังใจ พลังกายกับการใช้ชีวิตสืบต่อไปนะครับ

สวัสดีครับ . ครูโย่ง หัวหน้า~ natadee

ตอนนี้จัดสรรเวลาให้กับสองหน่วยงานอย่างระห่ำเลย  เป็นต้นว่า  เช้าเซ็นแฟ้มที่กอง  สาย ๆ ไปเซ็นแฟ้มที่หอพัก  ตอนนี้เลยดูเหมือนนั่งที่ไหนได้ไม่นานนัก 

แต่ก็ดีครับ, ดูเป็นความท้าทายอันสำคัญอีกครั้ง  และคิดว่าตนเองยังพอมีแรงไหวกับงานเหล่านี้  อย่างน้อยก็คือ การพยายามอย่างเต็มกำลังนั่นเอง

ขอบคุณครับ

น้องเอ๋ย ดีที่มีความมานนะ อดทน ขยัน ขันแข็ง

ตอนนี้ มีแรงก็ทำไป เพื่อขาติ จ๊ะ

แต่ก็ให้รู้เพียร รู้พัก นะคะ

มวนกับมันโลดหล่า... 555

เอี้ยสิถ่าเบิ่งทาง(มุมตึก)นี้

อิอิ

 

สวัสดีครับ เทียนน้อย

ขออภัยที่เพิ่งกลับมาตอบบันทึก...

ตอนนี้กำลังประมวลความคิดเพื่อถอดบทเรียนจากการเข้าฝึกอบรม  ซึ่งเรื่องที่จะเขียนก็คือ "ความคิดเชิงบวก"  จึงพลอยได้กลับมายังบันทึกนี้อีกครั้ง

การมองโลกในแง่ดี-เป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต  เพราะไม่เพียงให้เราสิ้นหวังกับห้วง หรือสถานะที่กำลังเผชิญหน้า  แต่ยังหมายถึงการสะกิดตนให้มีสติ รู้พักรู้ผ่อน และเรียนรู้ที่จะพลิกวิกฤตไปสู่ "โอกาส"

ผมเองก็ปลอบเตือนตัวเองในทำนองนี้เสมอ.. อย่างน้อยก็ทำให้เรา "กลับมา"  โดยไม่จำต้องจมดิ่งไปความห้วงทุกข์นั้นๆ

 

 

สวัสดีครับ  สีตะวัน

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ..

สิ่งหนึ่งที่เราติดยึดเรื่อยมาก็คือแนวคิดที่ขลาดกลัวต่อการที่จะเรียนรู้ชีวิตจากความผิดพลาดของตนเอง  ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก  เพราะการเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น  ไม่ใช่การแตะต้องสัมผัสกับความเลวร้าย  แต่หมายถึงการเรียนรู้ในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพื่อนำพาไปสู่เป้าหมายอย่างรอบคอบต่างหาก

ผมเชื่อเช่นนั้น..ครับ

สวัสดีครับ . small man~natadee

อันที่จริงบันทึกนี้ออกในแนวหม่นๆ บ่นๆ อยู่มากเลยทีเดียวนะครับ  หากแต่ผมจงใจให้เนื้อหาสื่อสารออกมาในรูปนี้  เพราะต้องการที่จะสะท้อนให้เห็นว่า  ในความหนักหน่วงและแสนเหนื่อยนั้น  แท้จริงมันคือน้ำวิเศษที่ไหลรินมาสู่การหล่อเลี้ยงชีวิตของผมเอง

เป็นการมองวิกฤต...สู่โอกาสไปในที

ขอบคุณครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท