ความยากจนเป็นภาวะที่เราพบเห็นบ่อยในแถบต่างจังหวัด
พบได้ทุกภาคของประเทศไทย
ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลในปัจจุบันชูเป็นนโยบายที่สำคัญ
ในการแก้ปัญหาความยากจน
โดยเน้นให้ทุกส่วนราชการผนึกกำลังและเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดีจนกระทั่งมีการจัดตั้ง
ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.)
ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย และได้รับความร่วมมือจาก
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) ในการดำเนินโครงการนำร่องบูรณาการจังหวัด
มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่
และพัฒนาระบบบริหารงานในจังหวัดเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน
ซึ่งมีพื้นที่นำร่อง 12 จังหวัดคือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์
อุทัยธานี อุบลราชธานี ยโสธร กาฬสินธุ์ นครพนม สมุทรสงคราม ตรัง
พัทลุง
การแก้ปัญหาความยากจน
ต้องใช้เป้าหมายของยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความยากจนเป็นตัวตั้งและหาวิธีการให้เกิดการเสริมแรงกัน
ระหว่างการทำงานตาม Function ของหน่วยงานต่างๆ และการทำงานแบบ
Area-based
แนวคิดหลังที่ใช้ในโครงการนี้คือ
การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ หรือ area – based approach
คือการบริหารจัดการที่ลงไปทำกระบวนการในพื้นที่เป้าหมาย
โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ ภาควิชาการ
และองค์กรพัฒนาเอกชน
ให้มาร่วมแก้ไขปัญหาในเรื่องใหญ่ที่ทุกคนในพื้นที่เห็นว่าต้องแก้ไข
และจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของคนในพื้นที่
ซึ่งในการดำเนินโครงการฯ
ได้ทำในลักษณะทำไป ปรับไป เรียนรู้ไป
เพื่อพัฒนารูปแบบและกลไกการทำงานที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่
และได้มีการถอดวิธีการทำงานเป็น 6 ขั้นตอนคือ
รูปแบบและกลไกการทำงานที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่
และได้มีการถอดวิธีการทำงานเป็น 6 ขั้นตอนคือ
1. การเตรียมความพร้อม
2. การพัฒนาเครื่องมือและวิทยากร
3. การสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูล
4. การทำแผนและข้อเสนอภาคประชาชน
5.
การบูรณาการแผนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
6. การจัดการความรู้และขยายผล
แต่ละจังหวัดมีการดำเนินงานตามขั้นตอนเหล่านี้
แต่อาจมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความพร้อมและเงื่อนไขบริบทต่างๆ
ของแต่ละจังหวัด แม้จะมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน
แต่ผลที่ต้องการให้เกิดขึ้นไม่มีความแตกต่างกันมาก
เพราะวัตถุประสงค์ของการขับเคลื่อนงานนี้คือ
การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
เพื่อจัดทำข้อเสนอภาคประชาชนโดยใช้กระบวนการสำรวจครัวเรือนและเชื่อมโยงข้อเสนอดังกล่าวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และยุทธศาสตร์ของจังหวัด
ผลการขับเคลื่อนงานของโครงการโดยใช้กระบวนการเก็บข้อมูลครัวเรือนและจัดทำแผนชุมชนเป็นเครื่องมือ
ได้นำไปสู่การรับรู้ปัญหาความยากจนในระดับครัวเรือน หมู่บ้าน ตำบล
อำเภอ และจังหวัด เป็นกระบวนการค้นหาเพื่อ “การรู้จักตัวเอง”
และสะท้อนความต้องการของชุมชน
ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปสู่การทำงานขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
บนฐานการพึ่งตนเอง
และเป็นช่องทางใหม่ในการสะท้อนความต้องการอย่างแท้จริงของท้องถิ่น
และในการทำงานร่วมกับภาคทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถตอบสนองชุมชนได้ตรงเป้า
ซึ่งใช้เวลาเพียง 6-8 เดือน
กระบวนการดังกล่าวไม่เพียงทำให้ชุมชน
และประชาสังคมตื่นตัวเท่านั้นแต่ได้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจในการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนให้เกิดเป็นพลังขับเคลื่อน
ซึ่งนำไปสู่หุ่นส่วน
เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนแบบบูรณาการต่อไปในอนาคต ดังนั้นศตจ.
ได้รับความเห็นชอบให้มีการขยายผลการดำเนินงานของโครงการนำร่องไปยังจังหวัดที่เหลือ
อีกกว่า 60 จังหวัด
และในวันที่
30 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา ดร. ลีลาภรณ์ บัวสาย
และทีมสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ประสานในฝ่ายวิชาการในโครงการนำร่องบูรณาการจังหวัดเพื่อแก้ปัญหาความยากจน
เข้าพบและให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของโครงการฯ นี้แก่ ศ.นพ. วิจารณ์
พานิช และทีมสคส.
ในการขยายผลการดำเนินงานโครงการแก้จนนี้ไปยังจังหวัดอื่นๆ ซึ่ง
ดร. ลีลาภรณ์ บัวสาย ได้เล่าความเป็นมาของโครงการฯ
และปัญหาอุปสรรคที่พบในการทำโครงการฯ
และได้ใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือในการทำโครงการฯ
ด้วยการรวบรวมความรู้และคัดเลือกความรู้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อยกระดับความรู้นั้น
ให้สามารถประยุกต์ใช้ในพื้นที่ได้
ซึ่งอาจได้ความรู้ใหม่ที่สามารถต่อยอดความรู้เดิมและนำไปใช้เพื่อการเผยแพร่ขยายผล
และขณะเดียวกัน สคส.
มีแผนงานที่จะจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของการแก้จนและชีวิตสาธารณะ
“เวทีนวัตกรรมหุ้นส่วนการพัฒนาพื้นที่ (Area
Based)” โดยในการจัดงานครั้งนี้ได้เชิญ สกว.
เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพร่วม ซึ่งคุณวรรณา เลิศวิจิตรจรัส
เป็นผู้ประสานงานในการจัดเวทีแก้จนของ สคส.
โดยมีการคัดเลือกจังหวัดที่มีการแก้จนและได้ผลดี "Best
practices" 4-5 จังหวัด และมีบางจังหวัดที่อยู่ในโครงการฯ
ของ ดร. ลีลาภรณ์ บัวสาย อีกด้วย ความสำคัญของงานนี้คือ
จุดเด่นของแต่ละจังหวัด
การแก้ไขความยากจนได้อย่างไร และ ใครเป็นผู้กระทำการแก้ไขความยากจน
ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ สคส.
จะเชิญแต่ละจังหวัดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และะต้องมีคุณกิจ
(ผู้ปฏิบัติงานจริงในเรื่องนั้นๆ ) เข้าร่วมทีมไม่น้อยกว่า 2 คน
ซึ่งงานนี้มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2549 ณ โรงแรมกาตน์มณี
กรุงเทพ และสำหรับผู้สนใจสามารถเข้าร่วมเวทีนี้ได้
โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานท่านละ 400 บาท
ไม่มีความเห็น