ยาคุมกำเนิด รู้จริงป๊ะ?


คุมมันคุ้มไหว ใครตัดสิน

คุณรู้จักดีแค่ไหนใช้ถูกต้องรึยังจ้ะ

ถุงยางอนามัยที่เรารู้จักกันอยู่ในทุกวันนี้เริ่มมีการบันทึกไว้เป็นครั้งแรก

ในสมัยของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณเมื่อกว่า5,000ปีมาแล้ว

โดยนำลำไส้ของสัตว์มาทำเป็นอวัยวะเพศชายขณะร่วมเพศ

เพื่อเป็นการคุมกำเนิด ในปีค.ศ.1564 ก็มีการใช้ผ้าลินิน

มาทำเป็นปลอกสวมที่อวัยวะเพศชายเพื่อป้องกันโรคซิฟิลิส

ต่อมาได้มีนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ Dr.Condomได้ประดิษฐ์

ปลอกสวมบนอวัยวะเพศชายเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

(VenerealDiseases)ต่อมาภายหลังได้มีการพัฒนานำเอาลำไส้แกะ

และยางธรรมชาติมาใช้ในการผลิตถุงยางอนามัยจึงได้ตั้งชื่อว่า

Condom ตามชื่อนายแพทย์ชาวอังกฤษผู้คิดค้น

 

ขนาดของถุงยางอนามัยโดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 44-56mm.

ความหนา 0.05-0.08 mm ความยาวเฉลี่ยประมาณ 200 mm  

(ตามข้อกำหนดต้องยาวไม่ต่ำกว่า160 mm)แต่ในเมืองไทย

ส่วนใหญ่จะมี 2 ขนาดคือ 49 mm และ 52 mm 


http://www.geocities.com
คุณรู้จักยาคุมดีหรือยัง?

ผู้หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดทราบหรือไม่ว่าอาจจะทำให้กระดูกอ่อนแอได้วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...


แคลเซียม คือ
เป็นธาตุอาหารจำเป็นสำหรับผู้หญิงสาว ๆองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ควรกินแคลเซียมวันละ 1,000มิลลิกรัม โดยอาจดื่มนมวันละสามแก้วหรือโยเกิร์ตสามถ้วยเนยแข็งหรือซีเรียลหรือน้ำผลไม้แบบเสริมธาตุแคลเซียมวันละสามมื้อก็ได้ ที่สำคัญก็คือหากกำลังใช้ยาคุมกำเนิดอยู่ ยิ่งจำเป็นจะต้องได้รับแคลเซียมตามปริมาณที่องค์กรอาหารและยาแนะนำ


ดร.โดโรธีทีการ์เดนผู้ร่วมวิจัย และเป็นรองศาสตราจารย์ด้านโภชนาการมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ได้ศึกษาผลงานวิจัยว่า

ผู้หญิงที่กินยาคุมนั้น หากได้รับแคลเซียมน้อยกว่าปริมาณที่แนะนำจะสูญเสียภาวะมวลกระดูกมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ใช้ยาคุม ในช่วงวัย 20และ 30 กว่านี้ หากสูญเสียมวลกระดูกมาก โอกาสที่ต่อไปจะเป็นโรคกระดูกพรุนเมื่อสูงวัยขึ้นย่อมมีมากทำให้กระดูกเปราะและหักได้ง่าย

ยังไงทานยาคุมแล้วก็อย่าลืมทานแคลเซียมเยอะ ๆจะได้มีกระดูกที่แข็งแรง.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
คนที่กินยาคุมมานานๆคงจะมีคำถามต่างๆ เหล่านี้ วิธีเลือกกินยาคุมแล้วป้องกันไม่ให้เกิดสิวควรเลือกอย่างไร? ถ้ากินมาแล้ว 6-7ปีจะทำให้เป็นมะเร็งได้หรือไม่?เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

นายแพทย์วิริยะ เล็กประเสริฐ สูตินารีแพทย์บอกว่า

ยาคุมที่กินแล้วไม่เป็นสิวก็คือยาคุมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและแอนโดรเจนรวมกันอยู่ใน 1 เม็ด แต่ควรเลือกชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงประมาณ 20 มิลลิกรัมต่อเม็ดก็จะช่วยป้องกันสิวได้


แต่ในยาคุมที่มีฮอร์โมนรวม 2ตัวนี้อยู่ก็จะมีฮอร์โมนโปรเจสโตเจน

ซึ่งออกฤทธิ์ข้างเคียงเหมือนฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจนอีก 1ตัว ถ้าสาวๆ คนไหนโดยปกติในร่างกายมีฮอร์โมนเพศชายมากอยู่แล้วก็จะทำให้มีสิวมากขึ้นได้เช่นกันเพราะฉะนั้นควรให้แพทย์เป็นผู้ช่วยเลือกให้

ส่วนคนที่กินยาคุม 6-7ปีแล้วกลัวเป็นมะเร็ง

ก็อาจเกิดขึ้นได้ถ้าสาวคนนั้นเคยมีประวัติคนในครอครัวเป็นมะเร็งมาก่อนเนื่องจากยาคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมได้แต่ค่อนข้างน้อย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เลดี้ทิป


นักวิจัยอังกฤษยืนยันยาคุมช่วยป้องกันมะเร็งรังไข่ได้


ลอนดอน 25 ม.ค. - คณะนักวิจัยในอังกฤษสรุปผลการศึกษาว่ายาเม็ดคุมกำเนิดช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ในอังกฤษไว้แล้วอย่างน้อย100,000 คน ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาและในอีกไม่นานจะช่วยป้องกันผู้ป่วยรายใหม่ได้ปีละ 30,000 คนเพราะเริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น

วารสารแลนเซทลงพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวของคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดที่ได้จากการวิเคราะห์ผลการศึกษาเก่า45 ชิ้น ก่อนหน้านี้ มีการเชื่อมโยงกันมานานแล้วว่ายาเม็ดคุมกำเนิดช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็งรังไข่แต่การศึกษานี้พยายามลงลึกในรายละเอียดเพื่อหาว่ายาเม็ดคุมกำเนิดมีผลตลอดชั่วอายุของผู้หญิงอย่างไรพวกเขาพบว่า แม้ยาเม็ดคุมกำเนิดช่วงคริสต์ทศวรรษหลังปี 1960 และ 1970มีปริมาณฮอร์โมนสูงกว่าปัจจุบัน 2 เท่าแต่ผลในการป้องกันมะเร็งรังไข่ไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใดและผลในการป้องกันก็ยังคงอยู่หลายสิบปีหลังจากหยุดรับประทานยาไปแล้ว

อย่างไรก็ดีการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดไม่ได้มีแต่ผลดีอย่างเดียวผลเสียอีกด้านหนึ่งคือเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกแต่นักวิจัยให้ความมั่นใจแก่สตรีอายุน้อยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เพราะยาเม็ดคุมกำเนิดให้ผลลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งชนิดอื่นด้านบทบรรณาธิการของแลนเซทระบุว่าผลการศึกษานี้เป็นหลักฐานสนับสนุนกระแสเรียกร้องให้ยาคุมกำเนิดเป็นยาที่จำหน่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ปัจจุบันสตรีในอังกฤษที่ต้องการซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดต้องมีใบสั่งแพทย์เพราะยาชนิดนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้มีประวัติลิ่มเลือดอุดตันเป็นโรคหัวใจ และเป็นโรคตับ.- สำนักข่าวไทย

 

http://opdlabudon.blog.dada.net/
หมายเลขบันทึก: 228789เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2008 14:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 01:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

แวะมาเรียนรู้เพิ่มเติมค่ะ

 

คู่มือของสาวยุคใหม่ “เลิฟ ไดอารี่... รักนี้คุมได้
โดย ผู้จัดการออนไลน์

 

        วิธีคุมกำเนิด แบบดูง่ายๆ คุมง่ายๆ แบบไหนดี จะหลั่งข้างนอก นับหน้า 7 หลัง 7 ใช้ถุงยางอนามัย ยาคุมแบบรับประทาน ยาคุมแบบฉีด แบบแปะ แบบฉุกเฉิน สารพัดวิธีให้เลือกสรร

 

        แต่ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไรบ้าง แม้บางเรื่องน่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่มันอาจไม่จริงเสมอไป หรือหากมีเซ็กซ์ไม่ตั้งใจ แถมไม่ได้ป้องกันจะทำอย่างไร เลิฟ ไดอารี่... รักนี้ คุมได้ คู่มือบันทึกรักเพื่อสาวยุคใหม่ มีทางออกที่ช่วยให้รู้เท่าทันและป้องกันตนเอง ไม่ให้ท้องแบบไม่ตั้งใจ หรือติดโรคร้าย เป็นตราบาปตลอดชีวิต
       
       
**กำเนิดคู่มือสาวยุคใหม่

       รศ.นพ.วรพงศ์ ภู่พงศ์ ผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย บอกที่มาของ เลิฟ ไดอารี่... รักนี้ คุมได้
คู่มือบันทึกรักเพื่อสาวยุคใหม่ ว่า เป็น 1 ใน กิจกรรมไฮไลต์ของ โครงการรักนี้...คุมได้ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ไบเออร์ เชริ่ง ฟาร์มา เพื่อรณรงค์ให้ความรู้กับวัยรุ่นไทยเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และผลที่เกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ปลอดภัย ซึ่งนำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะท้องไม่ตั้งใจและการทำแท้งเถื่อนที่อันตรายถึงชีวิต
       
       “คู่มือฉบับนี้มีข้อมูลที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งเคล็ดลับของการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ข้อดีและข้อเสียของการคุมกำเนิดแบบต่างๆ เบอร์ติดต่อศูนย์ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือทั่วประเทศ หากต้องการคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือ ที่สำคัญ มีส่วนที่ใช้บันทึกรอบเดือนมาวันไหนบ้าง วันแรกที่มีรอบเดือนเป็นวันที่เท่าไหร่ สม่ำเสมอหรือไม่ ซึ่งถ้ารอบเดือนในแต่ละเดือนมาไม่ตรงกัน ถ้าใช้วิธีนับ หน้า 7 หลัง 7 ก็อาจจะคลาดเคลื่อนได้ ป้องกันการท้องไม่ตั้งใจได้ยาก ซึ่งอาจต้องใช้สูตรการนับอื่นที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นไปอีกรศ.นพ.วรพงศ์ อธิบาย
       
       นอกจากนี้
เลิฟ ไดอารี่... รักนี้ คุมได้ ถือเป็นสื่อรณรงค์หนึ่งที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นหญิงได้มากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีเว็บไซต์ เว็บบอร์ด ที่เด็กๆ สามารถเข้าไปหาความรู้ ซักถาม โดยไม่ต้องอาย
       
       **เรียนรู้สารพัดวิธีคุมกำเนิด
       

 

       ส่วนแนวทางการป้องกันการท้องไม่ตั้งใจในวัยรุ่นนั้น พญ.นันทา อ่วมสกุล ผอ.สำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข อธิบายวิธีการคุมกำเนิดอย่างละเอียดว่า การคุมกำเนิดมี 3 ประเภท คือ 1.วิธีธรรมชาติ โดยการการหลั่งข้างนอก ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของฝ่ายชาย วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดเพียงแค่ 70% จึงมีความเสี่ยงในการตั้งท้องสูงมาก
       
       ส่วนอีกวิธีที่บรรดาสาวๆ นิยมอย่างมาก คือ การนับ หน้า 7 หลัง 7” ซึ่งหลายๆ คนเข้าใจผิดเยอะมาก และพลาดพลั้งจนตั้งท้อง ทั้งนี้ การนับหน้า 7 หลัง 7 ที่ถูกต้อง ให้นับล่วงหน้า 7 วัน ก่อนวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมา และให้นับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาเป็นวันที่1 และนับต่อไปอีก 6 วัน จะรวมเป็น 7 วันพอดี ไม่ใช่นับหลัง 7 จากวันสุดท้ายของการมีประจำเดือน ซึ่งวิธีนี้จะต้องหัดสังเกตรอบเดือนของตนเอง และจดบันทึกทุกเดือนและเหมาะกับคนที่มรอบเดือนสม่ำเสมอแต่ก็ยังมีความเสี่ยงการตั้งท้องสูง เพราะวิธีนี้มีประสิทธิภาพแค่ 75%
       
       นอกจากวิธีธรรมชาติแล้ว ยังมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีขวางกั้น หรือ การใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งท้อง สำหรับวิธีนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกัน 98%
       
       พญ.นันทา อธิบายต่อว่า ส่วนวิธีที่ 3 เป็นการใช้ฮอร์โมน โดยการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งมีประสิทธิภาพถึง 99.7% ซึ่งนอกจากยาเม็ดแล้ว ยังมียาคุมกำเนิดทั้งแบบยาฉีด แผ่นแปะ ห่วงคุมกำเนิดหรือห่วงอนามัย IUDs และยาคุมฉุกเฉินในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ตั้งใจ ซึ่งจะต้องศึกษารายละเอียดว่า ปรึกษาทางแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะไม่ใช่ยาทุกแบบจะเหมาะกับทุกคน และต้องใช้อย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม วิธีการคุมกำเนิดลักษณะนี้ ไม่สามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งเราไม่รู้ว่าคู่ของเราเป็นโรคอะไรหรือเปล่า ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยที่สุด คือ การใช้ยาคุมกำเนิดควบคู่กับการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง

 

   การกินยาคุมกำเนิดนอกจากป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังช่วยรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ลดอาการปวดประจำเดือน ใช้เลื่อนประจำเดือน ไปจนถึงลดภาวะโลหิตจาง ช่วยลดการเกิดสิว ผิวหน้ามัน และขนขึ้นดก รวมถึงกินแล้วไม่ได้ทำให้อ้วน เหมือนที่เชื่อๆ กัน ส่วนยาคุมฉุกเฉินนั้น ถึงแม้จะช่วยให้ไม่ตั้งท้อง หากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ตั้งใจ แต่มีประสิทธิภาพแค่ 70% และยังกินไม่ได้บ่อย ควรกินไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง หรือ 4 เม็ดเท่านั้น
       
       พญ.นันทา
บอกด้วยว่า อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ แล้วกลัวว่าจะตั้งท้อง หรือเมื่อตั้งท้องแล้ว ไม่ควรตัดสินใจทำแท้งเถื่อนเพราะมีความเสี่ยงเสียชีวิต 300 เท่าของการคลอดปกติ นอกจากนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต้องตัดมดลูก เกิดการติดเชื้อไม่สามารถมีลูกได้อีก ดังนั้น ควรปรึกษาพ่อแม่ ผู้ใกล้ชิด หรือถ้าไม่กล้าก็สามารถที่จะปรึกษาเพื่อนได้ แต่ต้องเป็นเพื่อนที่ดี หรือศูนย์ฮอตไลน์ที่ให้บริการ ซึ่งจะช่วยหาทางออกคลี่คลายปัญหา

 

       ทั้งนี้ ในอดีตเด็กที่ท้องในวัยเรียนต้องเสียอนาคตทางการศึกษาไปเลย แต่ปัจจุบันโรงเรียนให้โอกาสกับเด็กเหล่านี้มากขึ้น โดยโรงเรียนหลายแห่งให้เด็กมีปัญหาตั้งท้องแบบไม่ตั้งใจ สามารถคลอดลูกก่อนแล้วกลับมาเรียนต่อได้ ระหว่างนั้นพ่อแม่ผู้ใหญ่ก็ควรให้โอกาสและกำลังใจในการที่ช่วยให้เด็กสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข
       
       ขณะที่ผลของการรับประทานยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อนั้น นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง
ผอ.กองอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า การรับประทานยาคุมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ผู้ใช้ต้องรับประทานอย่างสม่ำเสมอ และต้องรู้จักวิธีรับประทานอย่างถูกต้องด้วย
       
       แต่สำหรับการซื้อยาคุมกำหนดแบบฉุกเฉินมารับประทานเองหลังมีเพศสัมพันธ์ ปัญหาอยู่ตรงที่ส่วนใหญ่วัยรุ่นไม่ทราบวิธีใช้ที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ กะปริบกะปรอย จนถึงขั้นท้องนอกมดลูกได้
       
       ยาดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ที่ถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยรั่ว หรือหลุดหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่วัยรุ่นกลับใช้วิธีดังกล่าวแทนการทานยาคุมกำเนิดชนิดแผง และการใช้ถุงยางอนามัย ทั้งนี้ การใช้ยาคุมกำเนิดดังกล่าวยังยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากถึง 25% เพราะต้องทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ แต่จะได้ผลดีต้องทานภายใน 24 ชั่วโมง และตามด้วยเม็ดที่สองภายใน 12 ชั่วโมงถัดจากทานเม็ดแรก 

       

       **ดูง่ายคุมง่ายแบบไหนดี   

      

       *หลั่งข้างนอก = เสี่ยงตั้งท้องหรือไม่ก็น้องเราติดโรค
    
   
       *นับหน้า 7 หลัง 7 = นับจริง ตั้งใจจริง บันทึกจริง ถึงจะปลอดท้อง แต่ไม่ปลอดโรค
       
      
 *หลั่งข้างนอก+นับหน้า 7 หลัง 7
= เสี่ยงท้องน้อยลง แต่เสี่ยงโรคเหมือนเดิม
       
     
  *ถุงยางอนามัย = ป้องกันท้อง (98%) ป้องกันโรค จะไม่โศกถ้าใช้ถูกวิธี
       
       *ถุงยางอนามัย +นับหน้า 7 หลัง 7 = ป้องกันท้องได้สูง แต่คะแนนจะพุ่งก็ต่อเมื่อเช็กมีเซ็กซ์ตามตาราง
       
       *ยาคุมแบบรับประทาน = สะดวก ป้องกันท้องเกือบ 100% ยกเว้นป้องกันโรค
       
       *ยาคุมแบบแปะ = ป้องกันท้องเกือบ 100% ยกเว้นป้องกันโรค มีส่วนเกินบนผิวแถมอาจระคายเคืองผิวได้
       
       *ยาคุมแบบฉีด
= ป้องกันท้องเกือบ 100% ยกเว้นป้องกันโรค แอบโศกกับผลข้างเคียงสูง
       
       *ห่วงคุมกำเนิด
= คุมได้ยาว แต่สำหรับสาวเคยมีลูกแล้ว
       
       
*ยาคุมฉุกเฉิน
= ต้องฉุกเฉินจริง ไม่งั้นอันตรายมาก โอกาสท้องสูงอีกต่างหาก
       
       *ยาคุมแบบรับประทาน+ถุงยางอนามัย = ไม่ท้องเกือบ 100% ไม่ติดโรคเกือบ 100% ไม่ต้องมานั่งโศก มั่นใจไร้กังวล
 

อยากแนะนำเรื่องนี้ด้วย

หูด HPV ผู้ร้ายตัวจริง

 

HPV หรือในชื่อเต็มว่า Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดหูดชนิดต่างๆ มีมากกว่า 180 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็ก่อโรคหูดแตกต่างกันไป ที่สำคัญมีหลายสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ

 วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV หรือ HPV Vaccine

หูดหงอนไก่ เป็นหูดที่เรารู้จักกันดีมานาน แต่เดิมเราก็ไม่ได้เฉลียวใจถึงความร้ายกาจของมัน เป็นมาก็รักษากันไป แต่ในตอนหลังเราพบว่า หูดเหล่านี้นอกจากจะเกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ เบอร์ 6 และ เบอร์11 แล้วก็มีหลายรายที่เกิดจากสายพันธุ์เบอร์ 16 และเบอร์ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดุมีโอกาสทำให้ กลายเป็นมะเร็งได้ หูดหงอนไก่จึงไม่ใช่หูดธรรมดาๆ อย่างที่เราเคยรู้จักกันซะแล้ว

 

การติดเชื้อ HPV มีมากแค่ไหน มีการประมาณการกันว่า ประชากรของไทยเรา ประมาณ 20 – 40 % ติดเชื้อ HPV แต่ส่วนใหญ่การติดเชื้อนั้นไม่แสดงอาการ ส่วนที่มีอาการไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ธรรมดา หรือสายพันธุ์ดุ ก็มีโอกาสหายเองได้เหมือนกัน โดยที่คนอายุน้อยมีโอกาสหายได้เองมากกว่าคนอายุมาก

 

หูดของอวัยวะสืบพันธุ์ มีอาการแสดงออกหลายแบบ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 4 กลุ่มดังนี้
1. หูดหงอนไก่ ( condyloma accuminata) เป็นหูดที่เรารู้จักกันดี โดยเฉพาะนักเที่ยวทั้งหลายทราบซึ้งกันเป็นอย่างดี มีลักษณะเป็นดอกกะหล่ำ หรือแบบหงอนที่หัวไก่ชน

 

2. หูดผิวเรียบ (smooth papular warts) มีสีเนื้อ ผิวเรียบขนาด 1 – 4 มิลลิเมตร มักพบบริเวณเยื่อบุต่างๆ แต่ที่ผิวหนังก็อาจพบได้ ที่พบบ่อยๆ ก็ตรงโคนอวัยวะ ที่ถุงยางอนามัยคลุมไม่ถึง

 

3. หูดผิวหนัง (keratotic genital warts) ลักษณะก็เหมือนหูดตามผิวหนังทั่วไป บางรายอาจพบหูดนี้ ตามร่างกายก่อนที่จะเป็นที่อวัยวะเพศด้วยซ้ำไป

 

4. หูดแบน (flat warts) อาจเป็นหลายจุดใกล้ๆกันแล้วรวมตัวเป็นปื้นใหญ่ มักพบตามเยื่อบุต่างๆ หรือตามผิวหนังก็อาจพบได้
นอกจากนี้ยังมีชนิดย่อยๆ ที่พบได้เช่น
หูดยักษ์ ( Giant Condyloma Accumunata หรือ Buschke-Lowenstein tumor) เกิดจาก HPV สายพันธุ์ไม่ดุ (6, 11) แต่ดูน่ากลัวเพราะมีขนาดใหญ่

 

หูดในท่อปัสสาวะ ( Urethral Meatus Warts) เป็นหูดที่มีปัญหาในการรักษามากที่สุด เพราะมักจะไม่หายขาด หายแล้วกลับมาเป็นอีก เพราะนอกจากจะเกิดบริเวณปลายท่อปัสสาวะ ให้เจ้าของเห็นแล้ว ก็อาจยังมีในท่อปัสสาวะที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วย

 

หูดในทวารหนัก (Intra-Anal Warts) หูดพวกนี้พบมากในพวกเกย์ พบว่าเยื่อบุในทวารหนักมีลักษณะคล้ายกับบริเวณปากมดลูกจึงมีโอกาสเกิดมะเร็งได้ เช่นเดียวกับปากมดลูก เมื่อปีที่แล้วมีรายงานใน New England Journal of Medicine ว่าพบมะเร็งที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ในทวารหนักด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามะเร็งนั้นกลายพันธุ์ มาจากหูดที่เกิดจากเชื้อ HPV

 

อวัยวะเพศอักเสบจากหูด (Papillomavirus-associat balanoprosthitis) อันนี้พบค่อนข้างบ่อย จะเกิดรอยแผลแตกเป็นร่องๆ โดนน้ำหรือโดนของเหลว ในช่องคลอดจะแสบ เวลาแข็งตัวหรือเวลาร่วมเพศจะเจ็บ รักษาไม่ค่อยจะหายขาด เป็นๆหายๆ

 

มะเร็งปากมดลูก เดิมที่เราเคยโทษว่าเกิดจากเริมนั้น เดี๋ยวนี้พิสูจน์แล้วว่าเกิดจากเชื้อ HPV นี่แหละ ดังนั้นถ้าท่านเป็นหูดหงอนไก่ตรงอวัยวะเพศ ก็คงต้องตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูก (Pap smear) บ่อยหน่อย ตรวจปีละครั้งอาจไม่พอซะแล้ว หรือถ้าตรวจ Pap smear แล้วพบว่ามีเชื้อ HPV อยู่ละก้อ หมอก็ต้องตรวจอย่างอื่น เพิ่มเติมด้วย

 

หญิงมีครรภ์ ถ้าเป็นหูดหงอนไก่อยู่ด้วย หูดจะขยายตัวอย่างเร็วมาก เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมาก ในช่วงตั้งครรภ์ ต้องรีบรักษาแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอุปสรรคต่อการคลอดได้ ซึ่งถ้าพบตอนคลอด หมอก็จะผ่าให้คลอดทางหน้าท้องแทนการคลอดตามธรรมชาติ

 

ระยะฟักตัว หลังรับเชื้อมาแล้ว บางราย แค่สัปดาห์ก็แสดงอาการ บางรายเป็นเดือนๆค่อยแสดงอาการ แต่หลายๆราย ก็ไม่แสดงอากรเลยก็มี

 

การป้องกัน ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะป้องกันได้นอกจากใช้ถุงยางอนามัยกับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา หรือ ในชายรักร่วมเพศก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเท่านั้น

(ที่มาภาพ หนังสือตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน
โดย ปรียา กุลละวณิชย์ และ ประวิตร พิศาลบุตร)

 

(ที่มาภาพ หนังสือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โดย ร.ศ.น.พ.ประทักษ์ โอประเสริฐสวัสดิ์)

(ที่มาภาพ หนังสือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โดย ร.ศ.น.พ.ประทักษ์ โอประเสริฐสวัสดิ์)

 

(ที่มาภาพ หนังสือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โดย ร.ศ.น.พ.ประทักษ์ โอประเสริฐสวัสดิ์)

(ที่มาภาพ หนังสือตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน
โดย ปรียา กุลละวณิชย์ และ ประวิตร พิศาลบุตร)

 

(ที่มาภาพ หนังสือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โดย ร.ศ.น.พ.ประทักษ์ โอประเสริฐสวัสดิ์)

 

การรักษา

 

การรักษามีหลายแบบ ทั้งทายา จี้เย็น จี้ด้วยไฟฟ้า เลเซอร์หรือแม้แต่การตัดออก แต่โดยปกติหมอจะเริ่มด้วยการทายา ยาที่ทาตัวแรกเริ่มชื่อ podophylins 25 % ใช้มานมนานก็ยังคงได้ผลอยู่ การทาต้องให้แพทย์เป็นผู้ทาให้ โดยเฉพาะคนไข้หญิงมีซอกมีหลืบ บางครั้งเป็นที่ผนังช่องคลอดหรือปากมดลูก คนไข้ทาเองไม่ได้ ผมเคยให้ยาคนไข้ชายไปทาเอง กลับมาอีกครั้งเน่าเลยครับ ปกติการทานั้น 4-6 ชั่วโมงต้องล้างออก และทาสัปดาห์ละครั้ง แต่พี่ท่านใจร้อนทาทุกวัน กลับมาอีกทีเน่าเพราะโดนยากัด ถ้าเชื้อดื้อต่อยาตัวนี้ ก็มียาตัวอื่นๆเป็นทางเลือก

 

ปัจจุบันมียาทาตัวใหม่ ชื่อ imiquimod (ชื่อการค้า Aldara เป็นของ3M) ใช้รักษาหูดได้ผล การกลับเป็นซ้ำน้อย แต่ราคายังแพงอยู่ ค่าใช้จ่ายครั้งละ 3-4000 บาท

น.พ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ

www.elib-online.com/doctors2/std_hpv01.html

 วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV หรือ HPV Vaccine

อ่านตามลิงค์นี้นะคะ

http://webboard.srbr.in.th/Default.aspx?g=posts&m=16

 

<a href=”https://hellokhunmor.com/สุขภาพชีวิตที่ดี/สุขภาพทางเพศ/การกินยาคุมกำเนิด/.</a>ขออนุญาติมาแชร์บทความเพิ่มเติมดีดีค่ะ เป็นเรื่องของข้อผิดพลาดในการกินยาคุมกำเนิดที่อาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ค่ะ อ่านได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท