ฉบับที่ ๖ ลาก่อนออสเตรเลีย
๑๘ เมษายน ๒๕๔๔
กานต์วลีที่รัก (คำนี้ ผมจะใช้เป็นครั้งสุดท้าย)
อุทยานแห่งรัฐ (THE GARDEN STATE) ที่ผมหลงใหล ผมยังอยู่ที่นี่ เมลเบิร์น จะเป็นวันสุดท้ายแห่งการค้นหาซากอดีต ดินแดนแห่งความหลังของเรา
ผมออกจากโรงแรมมุ่งสู่สวนฟิตรอย (FITZROY GARDEN) ความร่มรื่นแห่งแมกไม้ คงทำให้ผมคลายโศก ผมเดินเท้าจนมาถึงบ้านกัปตันคุก (Cook’s Cottage) จ่าย ๓ เหรียญเป็นอัตราค่าเยี่ยมชม นายคุกนั้นเป็นผู้ค้นพบออสเตรเลีย บ้านน้อยหลังนี้เดิมอยู่ที่อังกฤษ แต่ออสเตรเลียได้ขอซื้อมา โดยรื้อเป็นส่วน ๆ มาประกอบใหม่ในปี ๑๙๓๔
ความจริงแล้ว นายคุก ไม่ใช่ชาวยุโรปคนแรกที่พบออสเตรเลีย เพราะในปี ค.ศ. ๑๖๐๖ นั้น นักสำรวจดินแดนชาวดัตซ์ ชื่อวิลเลี่ยม แจนส์ ที่มาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว แต่ในปี ค.ศ. ๑๗๗๐ กัปตันเจมส์ คุก ชาวอังกฤษได้ประกาศสิทธิในดินแดนชายฝั่งตะวันออกให้อยู่ภายใต้การครอบครองของจักรภพอังกฤษและขนานนามว่า นิวเซาท์เวลล์
ผมตระหนักถึงการกระทำของพวกล่าอาณานิคม ซึ่งอ้างความศิวิไลส์ เพื่อขับไล่ ชาวอะบอริจินิส เข้ายึดครองสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่ทำกินของชนพื้นเมือง มันเป็นวัฒนธรรมของคนกินคนอย่างสมบูรณ์แบบ กานต์กลับบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว โลกจะต้องพัฒนาไปด้วยกลุ่มชนที่มีความเจริญก้าวหน้ากว่า กานต์บอกว่าพฤติกรรมและการดำรงชีวิตของชนพื้นเมืองเหล่านี้เหมาะที่จะอยู่ในหุบเขาป่าลึกมากกว่าในเมือง
กานต์วลี
น่าแปลกที่คุณสมเพชคนเดินช้า แต่ไม่สมเพชคนคิดช้า
และกลับสมเพชคนตาบอด แทนที่จะสมเพชคนใจบอด
Strange that you should pity the slow – footed and not The slow- minded
And the blind – eyed rather than The blind – hearted.
ผมแวะที่โบสถ์ ST.PRATRIC ที่งดงามตามแบบสถาปัตยกรรม สไตล์ โกธิค ที่ตัวกานต์เคยฝันใฝ่จะแต่งชุดเจ้าสาวขาวพราวในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้กานต์คงเข้าใจแล้วกระมัง ว่าความฝันก็คือความฝันและสุดท้าย ผมทิ้งความร่มรื่นและสง่างามเข้าสู่ถนนเบิร์ก ซึ่งกานต์ทราบดีว่า เป็นที่ตั้งของห้างร้านชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นห้างไดมารู ห้างไมเยอร์และเดวิด โจนส์ ผมไม่ได้คิดจะซื้ออะไร เพียงแต่ผมคิดเข้าไปดูในครั้งสุดท้าย
กานต์วลี..มันเป็นเรื่องยากที่ผมจะเอ่ยร่ำบอกคำลาแก่กานต์ ผมรู้ถึงความอ่อนไหวและอารมณ์ร้อนร้ายของกานต์ได้เป็นอย่างดี จดหมายฉบับนี้จึงเป็นฉบับสุดท้ายแทนคำพูดจากปากของผมผมอาจจะจากมาโดยที่กานต์ไม่ทันตั้งตัวตั้งหัวใจ แต่กานต์วลี การกระทำบางอย่างนั้นไม่มีเหตุผลที่จะให้โอกาสแก่กานต์เพื่อแก้ตัว
และเมื่อผมได้เดินทางมาสู่ดินแดนแห่งความหลังของสองเราครั้งนี้ความทรงจำต่าง ๆ ที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาทำให้ผมทราบว่า กานต์กับผมแตกต่างกันเหลือเกินและเป็นเหตุผลที่สำคัญยิ่ง ในการย้ำการตัดสินใจของผม
ความรักไม่ได้ทำให้ตาบอด แต่มันทำให้มองเห็นมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง และเพราะมันเห็นมากขึ้นผมจึงเต็มใจที่จะเห็นให้น้อยลง
หลังจากวันนี้ ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีกออสเตรเลียดินแดนของสองเรา ผมจะเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ การเดินทางคือชีวิตของผมการเดินทางที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในชีวิตของผม คือ การพบกานต์... อย่าได้ถาม ว่าต่อไปผมจะไปที่ไหน ทุกที่ที่มีสายลม หุบเขา แมกไม้ ชายทะเล เวิ้งฟ้า ผมอาจจะอยู่ที่นั่น
ลานิจนิรันดร์
อภิษฐา
I BELIEVE I CAN FLY
I use to think that I could not to go
And life was nothing but an awful song
But now I know the meaning of true love
I’m leaning on the everlasting arms
If I can see then I can do it
If I just believe it there’s nothing to it…
…I believe I can fly. I believe I can fly. I believe I can fly.
ฉันเคยคิดว่าตัวเองไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้
เคยคิดว่า ชีวิตนี้เป็นบทเพลงที่ขับขานความน่ากลัว
แต่ว่า ณ วันนี้ฉันได้รู้ซึ่งถึงความหมายแห่งรักที่แท้จริง
ฉันได้อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนอันเป็นนิรันดร์
หากเพียงฉันได้เห็น เมื่อนั้นฉันคงทำได้
หากเพียงมีความเชื่อ ไม่มีอะไรต้องหวาดหวั่น..
..ฉันเชื่อว่า ฉันจะบินได้ ฉันจะบินได้ และฉันจะบินไป บินไป...
ชีวิตที่แท้นั้นแตกต่าง
อยู่บนรอย เท้ากว้างบนทางฝัน
เดินขนาน จะพานพบ อย่างไรกัน
เมื่อต่างคน ต่างฝัน ด้นดั้นเดิน
ความรักโรยริน เกือบสิ้นรัก
ควรหยุดพัก เดี่ยวร้าง ยอมห่างเหิน
เยียวยาใจ ก่อนกล้าแกร่ง ล้าเหลือเกิน
แล้วจะลุก เร่งเดินไปหากัน
จะบอกรัก เพื่อให้รู้อยู่ว่ารัก
แน่นอนนัก รักแท้ ไม่แปรผัน
รักเราสอง เป็นของกันและกัน
หวังว่าฝัน เธอฉัน นั้นยืนยง
ขอบคุณครับ คุณนารี สุวรรณ
อ่านแล้วเศร้า ..... ปัญหามีไว้ให้แก้ ...เนื้อคู่กันแล้วอย่างไรก็ได้พบกันอีก
ว้า..เพิ่มมาอ่าน ก็เป็นตอนจบพอดีเลยหรือนี่..
เดี๋ยวต้องกลับไปอ่านใหม่แล้วล่ะค่ะ..
ขอบคุณนะคะ..สำหรับเรื่องราวที่ประทับใจเรื่องนี้ค่ะ.^^
ขอบคุณที่มีคำตอบ
ไม่เข้าใจครับ
คำตอบอะไร !