เรามักจะได้แต่แนะนำคนอื่นให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ โดยเฉพาะต้องเขียนต้องจดไว้นะว่า...เราทำอะไรบ้าง เพราะนี่แหละคือประสบการณ์ในการทำงาน
ดิฉันลงมือเขียนงานปีละประมาณ 1 เรื่องเพื่อฝึกฝนตนเองให้นำหลักการเขียนผลงานวิชาการมาใช้ในเนื้องานที่ได้รับมอบหมายหรือรับผิดชอบ ปีนี้ก็เช่นเดียวกันก็ได้เริ่มต้นจากรวบรวมข้อมูลที่ได้บันทึกไว้มาอ่านทบทวน เริ่มออกแบบเค้าโครงการเขียน สืบค้นเอกสารอ้างอิง สอบถามคนที่เก่ง ๆ ด้านเนื้อหาที่จัดเก็บข้อมูลไว้เพื่อฟังแนวคิด และมาลงมือเขียน ก็เขียนไปได้สักระยะหนึ่งก็งง ๆ กับข้อมูลที่มีอยู่เพราะมีรายละเอียดมาก เลยต้องวางมือไป ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วกลับมาเริ่มใหม่โดยอ่านทบทวนข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดอีกครั้งทั้งข้อมูลดิบและเนื้อหาที่ได้เริ่มเขียนไว้ หลังจากนั้นจึงเรียบเรียงและต่อเติมใหม่
สำหรับตอนนี้สมองเริ่มลื่นไหลและอยากจะเขียนต่อให้เสร็จ ซึ่งความคิดของดิฉันก็คือว่า เวลาจะเริ่มต้นเขียนก็ยากอยู่แล้ว และเวลาจะเขียนให้จบก็ยิ่งยากไปอีก แต่ถ้าเขียนแบบไม่มีรูปแบบหรือแบบฟอร์มก็จะง่ายขึ้นเพราะเราเขียนตามความคิดหรือสมองที่ไหลลื่นแล้วค่อยมาจัดลงหัวข้อต่าง ๆ แต่ทั้งนี้เราก็มีกรอบในการนำเสนอด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าจะเขียนงานตอนนี้ดิฉันมีทั้งยกร่างกรอบไว้ในใจ และยกร่างกรอบหรือถอดแบบลงในกระดาษ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นก็คือ สมาธิสั้น เวลานั่งเพื่อตั้งใจเขียนงานสักกะนิดเวลามีอะไรมารบกวนเราก็ต้องไปทำงานอย่างอื่นให้เสร็จก่อนจึงทำให้ลืม บางครั้งก็ต่อไม่ติดเลยต้องเริ่มต้นอ่านข้อมูล/เนื้อหาใหม่อยู่เรื่อย ๆ
ในตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้การเขียนงานในเชิงวิชาการอยู่เหมือนกันซึ่งมีอะไร ๆ ที่สนุก ๆ ให้ได้เรียนรู้และศึกษาอยู่เรื่อย ๆ เช่น รูปแบบ เทคนิค/วิธีการ การวางเค้าโครง และการสรุปข้อมูลมานำเสนอ เป็นอะไรที่ชวนค้นหาความรู้ด้วยเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่า "จะเอาแบบไหนดี" แค่ตนเองคนเดียวยังตัดสินใจไม่ค่อยถูก ทั้งนี้เพราะพอข้อมูลที่จัดเก็บ/บันทึกไว้ในขณะทำงานมีจำนวนมากและปลายปีต้องสรุปงาน หรือเสร็จงานที่ทำแล้วก็ควรสรุปเรื่องราวทีนี้แหละเป็นอะไรที่สนุกมากว่า "จะใช้ฟอร์มไหนดี? / แต่ละเรื่องจะใส่เนื้อหาอะไรลงไปบ้าง?" โดยเฉพาะการเขียนสรุป/รายงานผลในเชิงผลงานวิจัย.
แวะมาให้กำลังใจ..ความพยายามอยู่ที่ไหน..ต้องมีความสำเร็จตามมานะคะ