บ้านฉันยามนี้


ยามนี้ คิดถึงความทรงจำวัยเยาว์ ยามเขียนบันทึกส่งคุณครู คิดถึงรูปประโยคเดิม ยามตั้งคำเขียนหัวเรื่องบทความ และคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบชีวิต รอบสังคม รอบประเทศชาติ และรอบแผ่นดินของเรา คิดถึงความรู้สึกและความเข้าใจของผู้คน ยามมองชีวิตและมองโลก ยามนี้เราเห็นบ้านเมืองของเราเป็นเช่นไร ในคำถามตัวตั้งประโยควัยเด็ก เขียนความเรียงเรื่อง บ้านของฉันยามนี้

บ้านฉันยามนี้

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

ตอนเด็กเล็ก

มีการบ้านวิชาหนึ่ง

ซึ่งครูมักมอบไว้ก่อนปิดเทอม

หรือแม้แต่เร่งตรวจการบ้าน ยามเปิดเทอมใหม่ใหม่ ไม่นับรวมการนำการบ้านชิ้นดังกล่าว เป็นผลงานชิ้นเอกหน้าชั้นเรียน ให้นักเรียนแต่ละคน ได้ยืนอ่านและบอกกล่าวเรื่องราวการบ้านชิ้นนั้น นับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะชื่นชอบนัก เป็นการบ้านประเภทยาขม

ที่มักกลืนไม่ค่อยจะเข้า

ครั้นจะคายออกมา

ก็ไม่ค่อยจะออก

เพราะมีครูยืนเขม็งตามอง ยามยืนจ้องอยู่หน้าชั้นเรียน เพื่อให้นักเรียนแต่ละคน บอกเล่าความประทับใจ ผ่านข้อเขียนความเรียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวข้ออมตะนิรันดร์กาล ประเภทว่า ความสุขในช่วงปิดเทอมของฉัน ฉันไปท่องเที่ยวที่ใดยามปิดเทอม หรือความประทับใจช่วงปิดเทอม

ไม่ว่าจะเป็น

หัวข้อความเรียงใด

ล้วนต้องกำกับด้วยคำว่าฉัน

ฉันเช่นนั้น ฉันเช่นนี้ หรือฉันมื้อดึกมื้อเช้ามื้อกลางวันเช่นไร ในความหมายของเด็กหลายคนในห้องเรียน ยามนั้นสำหรับความคิดแบบเด็กเด็ก ผมถือว่า การบ้านชิ้นนี้เป็นยาขม ไม่นับรวมความขมในยามเห็นเพื่อน แอบน้ำตาหยดนั่งหลบมุมอยู่ท้ายห้อง เพราะที่บ้านไม่ได้พาไปเที่ยวไหนในยามปิดเทอม พร้อมทั้งคำตอบแบบเด็กเด็ก ที่มีอาการน้อยใจพ่อแม่

แต่ชีวิตก็ล้วนเป็นเรื่องเล่นกล

เล่นตลกกับสิ่งไม่พึงใจ

เมื่อผมเติบโตขึ้น

จนต้องใช้อาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานเขียน ยาขมชิ้นสำคัญในวัยเด็กที่เกลียดนักเกลียดหนา จนเติบโตมาเพื่อทำงาน และใช้วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเขียน การบันทึก การบอกกล่าว การบอกเล่า และจดจำเรื่องราวผ่านตัวอักษร วันนี้อีกเช่นกันที่ผมนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากเขียนบันทึก

อยากตั้งหัวเรื่อง

เสมือนหนึ่งงานเขียน

ความเรียงสมัยวัยเด็กเล็ก

เพื่อทบทวนตัวเอง ให้ระลึกบางสิ่งบางอย่างที่แอบซ่อนของชีวิต บางสิ่งที่ชีวิตมองเห็น และอยากบอกกล่าวออกมา ท่ามกลางความประทับใจและความไม่ประทับใจมากมาย ซึ่งในยามนี้ อัดอั้นตันใจอยู่ภายใน จนต้องคิดค้นวิธีการเพื่อผ่อนคลายตัวเอง จากความเลวร้ายในใจ

ยามนี้หลังวันปะทะของกำลังทหาร

หลังการเจรจาทางการฑูต

จนนับมาสู่คำขู่

เมื่อประเทศรอบข้างเรา เช่น เขมร ประกาศผ่านทางนายกรัฐมนตรี อัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งประกาศคำราม หรือตะโกนแบบเล็กเล็ก ให้กองกำลังทหารไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่ รอบปราสาทเขาพระวิหาร ดินแดนสำคัญที่ถึงแม้ผมจะไม่คลั่งชาติ แต่ผมก็เชื่อโดยสุจริตใจว่า คือแผ่นดินไทย

แค่เพียงคำราม

ยังไม่สาแก่ใจเพียงพอ

วันรุ่งขึ้นจึงเกิดกรณีเสียงปืนลั่น

มีกองกำลังทหารเขมร เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของกองกำลังทหารไทย หลังปฏิบัติการขู่คำรามแบบนักเลงโต เห่าและขู่ เสมือนหนึ่งเพื่อนบ้านเรือนเคียง ไม่ใช่มิตรกันมาแต่เก่าก่อน ยิ่งในยามบ้านเมืองตนเอง แตกกระสานซ่านเซ็น ผู้คนไร้ที่นาคาที่อยู่ ต้องมาอาศัยขอข้าวคนไทยกิน ขออยู่ขอกิน ขอหลบภัยขอหลบความตาย ที่เกิดขึ้นจากฝีมือพี่น้องร่วมชาติฆ่ากันเอง

 

 

ยามนี้กลับไม่มีเสียงอุทรสำนึกนั้น

กลับมีแต่เสียงก่นด่าคนไทย

ว่าแก่งแย่งแผ่นดินเขา

ไม่นับกับบทวิเคราะห์ทางการเมือง หยิบจับเชื่อมโยงเหตุการณ์ เหตุความรุนแรงเลวร้าย เมื่อนักการเมืองคลั่งเลือด ประกาศขู่เข็นตำรวจให้เอาเลือดคนไทยล้างถนน แปดเปื้อนผืนแผ่นดินไทย เซ่นสังเวยอำนาจของนักการเมือง หรือเพื่อให้นายใหญ่นายหญิง ได้สมจิตเจตนาในการขอลี้ภัยทางการเมือง ขอหลบหนีคดีความในบ้านเกิดเมืองนอน

ยามนี้

บทวิเคราะห์

กล่าวเชื่อมโยงไว้

อย่างน่าสนอกสนใจยิ่ง เมื่อบอกกล่าวว่า พฤติกรรมกร้าวร้าวรุนแรง แบบไร้สกุลรุนชาติเช่นนี้ เป็นผลจากการเจรจาและผลประโยชน์ของ นักการเมืองแดนไกล และนักการเมืองแดนใกล้ ที่ต่างสบช่องผลประโยชน์ระหว่างกัน ระหว่างนักการเมืองที่ทำชาติเสียแผ่นดินให้คนอื่น

กับผลประโยชน์ที่คาดว่า

จะได้รับจากการเบี่ยง

เบนประเด็น

จากความรุนแรงที่คนในชาติเจ็บแค้น แตกแขนงไปสองฝักสามฝ่าย หรือกระทั่งแตกเป็นความรุนแรงฝังลึก สำหรับการบาดเจ็บล้มตาย และภาวะความสาหัสของชีวิตไทยทั้งหลาย ไม่นับรวมความกับการเบี่ยงประเด็น เพื่อให้เกิดศึกข้างบ้าน เพื่อกลบข่าวความกระเหี้ยนกระหือรือ

ในแต่ละถ้อยคำ

ความรุนแรงของคำสั่งการ

หรือการใช้อำนาจอย่างผิดมนุษย์

ยิ่งยามนี้ ได้ยินได้ฟังบทวิเคราะห์และเชื่อมโยงเยี่ยงนี้ ผมยิ่งคิดวิตกกังวลใจ ปนเปไปพร้อมความสลดหดหู่ สำหรับพฤติกรรมของใครก็ตาม ที่คิดจะชักศึกเข้าบ้าน ชักศัตรูเข้าเมือง หรือแม้กระทั่งเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง เพียงเพื่อจะกลบข่าวสารแห่งความระยำตำบอนที่ตนกระทำ คำนี้ที่กล่าวอาจดูกร้าวร้าวรุนแรง หากสิ่งที่ถูกประเมินไม่ใช่ความเป็นจริงที่เกิด

แต่คำกล่าวเหล่านี้จะดูดีมีน้ำหนัก

และสมฐานะแห่งคำด่าทอ

หากมีคนกระทำจริง

สำหรับความพยายามในการกระทำย่ำยี และกระทำต่อแผ่นดินของเรา ยิ่งในยามนี้ที่บ้านเมืองเผชิญหน้ากับวิกฤติ ทั้งวิกฤติศรัทธาของคนร่วมชาติ วิกฤติจากความไม่ไว้วางใจระหว่างกลุ่มก้อน ระหว่างเลือดไทยบนแผ่นดินเดียวกัน ระหว่างความแตกต่างทางความคิดยามนี้ และระหว่างวิกฤติทางเศรษฐกิจ ที่พัดผ่านวนเวียนไปทั่วโลก จากผลของกิเลสในระบบทุน

ยามนี้

ผมจึงอยากถอนใจ

และอยากเขียนบันทึกถึงบ้าน

คิดถึงความเรียง บ้านของฉันยามนี้

 

 

หมายเลขบันทึก: 226291เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2008 08:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 03:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

"ภาวะฉุกเฉิน"

ชัยชนะของสงครามที่ประกอบด้วยผลประโยชน์ สุดท้ายแล้ว ก็ไม่เหลืออะไร...

---------------------

ผมเพิ่งตามไปอ่านบันทึกของ พี่ใน  nation  มาเมื่อวันก่อนครับ ยังคิดอยู่ว่า ห่างหายจาก gotoknow ไปนาน...

ดีใจครับที่กลับมา

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท