แตกแยกที่มองไม่เห็น มีมานานแล้ว


พวกเราหลายๆคน   โดนสังคม ยุค Industrial era  ครอบงำ มาจน  เป็น กบในกะลา   มนุษย์รู   ที่มองไม่เห็นอะไรเลย  หรือ  มองจากมุมของตนเองเท่านั้น

ตั้งแต่ มีการค้นพบ เครื่องจักรไอน้ำ  โลกเข้่าสู่ ยุคอุตสาหกรรม      ทุกอย่างดู จะ เร่งๆๆๆๆๆ รีบ ๆๆๆๆ   จนกลายเป็น คนหยาบ คนผิวเผิน คนเน้นความสำเร็จ  เน้นแต่ Speed  เน้นผลงานระยะสั้น  ---->  พังหมด

เป็น ชีวิต แบบที่เรียกว่า Living in the fast lane (เพลง ของ วง The Eagles)  ....  มองไม่เห็นข้างทาง  ทำลายร้างโดนไม่รู้สึกตัง    นึกถึง วัวกระทิงวิ่งในร้านขายแจกันแก้ว   ....

พังตั้งแต่ ระบบการบริหารบ้านเมือง  เมื่อ คนบริหาร ไม่เข้าใจการศึกษา  ไม่เข้าใจตนเอง  มาดูแลการศึกษา   สังคมก็ล้มครืน ลงทีละนิด ทีละนิด  สะสมเรื่อยมา  จนถึง ทุกวันนี้

นึกถึง ระบบการศึกษาที่ต้องการความอิสระ เสรี แต่ เราดันเอาคน บ้ากฏเกณฑ์  มาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางการศึกษา ....  ได้ outcome  ที่เป็นแบบ    "จิตหยุดวิวัฒน์"

แต่ ก็ยังโชคดี  เพราะ มีบางกลุ่ม บางชุมชน   มองเห็น รอยแยก รอยแผล  เหล่านี้   และ  U-turn ตัวเองได้ทัน

ปัญญา ที่เราสะสมกันมา เป็น แบบที่เรียกกันว่า Systematic Problems  หรือ   ความซับซ้อนแบบเคลื่อนไหว   Dynamic Complexity     ยิ่งวาง "ระบบ"   ระบบก็ยิ่งซับซ้อน  ยิ่งแก้ยากขึ้นไปอีก       เพราะ คนวางระบบ เป็น คน "จิตว่องไว"   โดนกิเลส ครอบงำ  จนงอมแงม ----->  ผล คือ ก่อให้เกิด  Social Complexity  สังคมที่ซับซ้อน    คนเริ่มท้อแท้ ต่อต้าน เบื่อหน่าย  จำยอม  เอาเปรียบ  ฯลฯ  ตามสันดาน และ สติของแต่ละคน     ทำให้  ปัญหายิ่งแก้ยากขึ้นเรื่อยๆ

 

ระบบ และ สังคม ที่มีปัญหามานี้    คนมีปัญหามักเป็นคนควบคุมวิธีแก้ปัญหา    มันก็ยิ่ง พันกันนัว  ซับซ้อน วุ่นวาย  "จิตสับสน"   อัตตา ตัวตน  ยุ่งไปใหญ่

การแก้ ยากมาก   เพราะ  การจะฝึกให้ รู้จัก เชื่อมโยง (connect) กับคนอื่นๆ ว่า  พวกเราทั้งหมด มาจากแหล่งเดียวกันนะ (The same source)  เราเป็นผู้เดินทาง (refugee) เพื่อหนีภัยจากวัฏสงสาร  นะ   ฯลฯ

อุปมา กินยาสมุนไพร  มันหายขาด  แต่  คนไข้ มันไม่ยอมกิน   หมอก็เป็นคนป่วยสะด้วย ญาิติก็ทนรอไม่ได้  ฯลฯ   ดื้อด้านกันรอบวง

ความแตกแยกที่มองไม่เห็น สะสมมานาน  คือ  การที่เราไม่รู้สึกว่า เราและสรรพสิ่ง เป็นสิ่งเดียวกัน  เราไม่เชื่อมโยงตัวเรากับคนรอบข้าง   ความเป็นพี่น้อง (brotherhood)  หายไป  

เงิน ซื้อได้ทุกอย่าง ... 

********************

ระบบที่วุ่นวาย  ซับซ้อนแบบนี้  ----> ในระบบธรรมชาติ  หรือ ความจริง  ---->  มันจะรักษาตัวมันเองครับ  ----->   โปรดตามเรียนรู้ต่อไป   

 เกิดการเรียนรู้  แบบเจ็บตัว เจ็บใจ   เป็นการเรียนรู้ที่ราคาแพง  แต่ ระยะยาว อาจจะดีก็ได้

"คิดดีก็จะได้คิด  ได้คิดก็จะคิดได้"    ครูบาสุทธินันท์สอนผมเอาไว้ครับ  

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 226288เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2008 07:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 03:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เรียน ท่านอาจารย์

  • แตกแยก
  • แตกร้าว
  • แตกเป็นเสี่ยงๆ
  • แตกหัก
  • แตกสลาย
  • โอ้ชีวิต

เรียนท่านอาจารย์ไร้กรอบ

  • มีส่วนร่วม
  • สามัคคี
  • รักเมตตา
  • อบอุ่น
  • เอื้อเฟื้อ  เอื้ออาทร 

สวัสดีครับ อ.วรภัทร์

ตอนนี้แต่ละฝ่ายกำลังถูก "ความกลัว" เข้าครอบงำสติสัมปชัญญะและปัญญา (ถ้ามี)

เป็น mode อยู่รอด ลำพังตนเองก็ยังไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยว ไอ้เครื่องยึดเหนี่ยวที่ตนเองคิดว่ามี ก็ชักง่อนแง่น คลอนแคลน ตอนนี้ที่ทุกคนมีร่วมกันสงสัยจะเป็นความทุกข์ เกิดสังฆะแห่งทุกข์

ที่แย่ก็คือเกิดสังฆะแห่งความเกลียด ความโกรธ และความกลัว

จะรอดไหมเนี่ย

เรียนคุณหมอ

ครูตาไม่เข้าใจคำว่า "สังฆะแห่งทุกข์ สังฆะแห่งความเกลียด" ขอความกระจ่างหน่อยค่ะ

ขอบคุณเจ๊า...

สังฆะ ในที่นี้หมายถึง กลุ่ม หมู่ ชุมชน ครับผม

เรียนอาจารย์ไร้กรอบค่ะ

  • คนมีปัญหามักเป็นคนควบคุมวิธีแก้ปัญหา
  • เพราะเขาต้องการเอาตัวเขาให้รอดพ้นจากปัญหา ใช่ไหมคะ

 

ขอบคุณครับ อจ หมอสกล ใช่เลยครับ .... Fear เข้าสู่ U คว่ำ

เรียน คุณครู วรางค์ภรณ์ : คนที่น่ากลัวที่สุดในการแก้ปัญหา คือ คนที่สร้างปัญหา เช่น คนในวงการศึกษา เมื่อไม่เข้าใจการศึกษา แต่ มีบทบาท ในการแก้เรื่องการศึกษา ก็เลยยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง เป็น complexity ที่ พันกันแน่นขึ้นเรื่อยๆ

อุปมา กลุ่มคนตาบอด เดินตามหา ของสีดำ ในห้องมืด โดยไม่รู้ว่า ของสีดำนั้น ไม่ได้อยู่ในห้อง

ความที่ ผู้ยิ่งใหญ่ ทางการศึกษา ผู้ทรงอิทธิพลทางการศึกษา (สื่อมวลชน ครู อาจารย์ ข้าราชการ นักการศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้ใช้บัณฑิต ฯลฯ) ยังไม่ได้ "สิกขา" ....

พวกเขา อยู่ภายใต้ความกลัว อย่างที่ อจ หมอ สกล ท่านว่าไว้นั่นแหละ ... กลัวจะไม่มีหน้ามีตา กลัวจะไม่มีใครยอมรับ (จึงแย่งกันสร้างผลงาน) กลัวลูกหลานไม่มีเงิน กลัวความลำบาก (จึงกอบโกย) กลัวตายอย่างทรมาน ฯลฯ

...พวกเขา "ตีความ" คำว่า "สุข" ผิเพลาด ไปติดกับสุขแบบโลกียะ .... สุขภายนอก แบบไม่ยั่งยืน กิเลส ตัณหา มันอยู่เบื้องหลัง มันป่วนให้จิตหยุดวิวัฒน์

... เมื่อจิตไม่ว่าง ปัญญามันก็ทราม สังคมตอนนี้ เป็นแบบ I-in-me และ I-in-it ก็มีแต่ ความขัดแย้ง ไม่มี Emphaty ต่อกัน ....

สงคราม ความรุนแรง ฯลฯ ก็ตามมา ยิ่งพิพากษากัน ---> ความเมตตา หายไป หายไป หายไป ..

.. หวังว่า เรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้น น่าจะ เตือน สะกิดใจ ว่า "คนในวงการศึกษา" ได้ ทำอะไรลงไป และ ไม่ได้ทำอะไรลงไปบ้าง ... จะสำนึกกันได้ไหมเนี่ย

  • คนในแวดวงการศึกษา ส่วนใหญ่บ้านโยบาย  จึงเอาชีวิตคนเป็นๆไปปั่นเป็นกิจกรรมที่สนองนโยบาย  ส่วนภายในจิตใจใครจะบอบช้ำอย่างไรช่างหัวมัน 
  • สรุปว่า คนในแวดวงการศึกษา ดื้อตาใส  ( ครูบา สอนผมไว้ครับ ) 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท