ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจาก การเดินขึ้นที่สูงเมื่อไม่นานมานี้ เป็นการเดินที่หนักหนาสาหัสในชีวิตกว่าครั้งใดๆ หลังจากกลับมาประเทศสยาม ก็ได้พบว่า เหตุการณ์ในบ้านเมืองเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ ชาวสยามยังมีการขัดแย้งและแบ่งข้างกันมากขึ้น จนยังไม่อาจจะรู้ได้ว่าเรื่องราวจะสิ้นสุดตรงไหน
การเดินขึ้นที่สูงครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้พบผู้คนหลากหลาย และพบว่า ไม่ว่าที่ไหนประเทศอะไร ก็ไม่ทำให้สุขใจและอบอุ่นใจเท่าบ้านเกิดเมืองนอนของเรา และนึกเสียดาย เสียดายที่ชาวสยามหลายส่วนยังไม่ตระหนักรู้ในเรื่องนี้ จึงยังมัวทะเลาะแบะแว้งแตกความสามัคคีกันต่อไป
ข้าพเจ้ามองว่า ทั้งหมดนี้เกิดจาก การไม่ยอมรับฟังกัน ไม่เมตตาต่อกัน และติดยึดในหลักคิดแบบทวินิยมอย่างสุดโต่ง เมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่มีอะไรดีขึ้นมาได้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างคาดเดาว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ตามความคิดเห็นของตน เมื่อต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในมุมมองของตนในความคิดเห็นของตน การที่จะฟังอีกฝ่ายย่อมเป็นไปไม่ได้ เนิ่นนานวันข้าพเจ้าก็พบว่า ปัญหาของชาวสยามส่วนใหญ่ คือ การไม่รับฟังกันอย่างแท้จริง ขาดการฟังอย่างลึกซึ้ง และที่แย่กว่านั้นก็คือ นับวันจะขาดความเมตตาในซึ่งกันและกันมากขึ้น
เมื่อไม่กี่วันนี้เอง ข้าพเจ้าได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน หนังสือที่ข้าพเจ้าเคยอ่านมาแล้วหลายๆ ปีก่อน และมักจะกลับมาอ่านอีกหลายๆรอบ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
หนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือที่ชื่อว่า ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ซึ่งเขียนโดย หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ หลังการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติธรรมมาได้เกือบครบสองปี เมื่อได้กลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้งข้าพเจ้าก็พบว่า เนื้อหาในหนังสือนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจอะไรหลายๆอย่างลึกซึ้งขึ้น และนี่ก็คือหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตของใครหลายๆคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
ในช่วงเวลาเช่นนี้ สิ่งที่เราทั้งหลายต้องการก็คือ สติ นี่คือสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการใช้ชีวิต และการดำรงชีวิต ตราบใดที่เราขาดสติ และไม่ฝึกที่จะมีสติ ชีวิตเราทั้งหลายก็คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ และหลักใหญ่ใจความของหนังสือเล่มนี้ก็คือ การสอนให้เรามีสติ มีข้อความหลายข้อความ คำสอนหลายคำสอนในหนังสือเล่มนี้ ที่ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจและ นี่คือตัวอย่างเนื้อหาจากหนังสือเล่มนี้
จากบทที่ชื่อว่า " ความสงบจากชิ้นส้ม"
.........................................
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จิมกับครูนั่งกินส้มด้วยกัน และคุยกันถึงสิ่งที่เราจะทำในอนาคต ในตอนนั้นถ้าเมื่อไรเราคิดถึงโครงการที่น่าทำ หรืองดงามได้โครงการหนึ่ง จิมจะจมดิ่งเข้าไปในโครงการนั้นอย่างเต็มที่ จนพูดได้ว่าเขาลืมนึกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะปัจจุบัน จิ้มหยิบส้มใส่ปากชิ้นหนึ่ง และยังไม่ทันจะเริ่มเคี้ยว สิ้มอีกชิ้นหนึ่งก็เตรียมจะตามเข้าไป เขาหยิบส้มใส่ปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า แทบจะไม่มีจังหวะหยุดเลย ..............ครูพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า เขาไม่ได้กินส้มอยู่เลยเพียงใส่กลีบส้มเขาปากกลีบต่อกลีบอย่างรวดเร็วเท่านั้น ..ถ้าจะพูดให้ถูก เขากำลังกินโครงการในอนาคตมากกว่า มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า " ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน เวลามองคุณก็จะไม่เห็น ฟังแต่จะไม่ได้ยิน กินแต่จะไม่ได้ลิ้มรส "
ส้มผลหนึ่งมีหลายกลีบ ถ้าเธอกินเป็นเพียงกลีบเดียว เธอก็จะสามารถกินส้มทั้งผล แต่ถ้ากินไม่เป็นแม้แต่เพียงกลีบหนึ่ง เธอก็จะกินส้มทั้งผลไม่เป็นด้วย
..............................................
ในมหาสติปัฎฐานสี่กล่าวไว้ว่า
" เมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเราเดินอยู่
เมื่อยืนอยู่ย่อมรู้ชัดว่าเรายืนอยู่
เมื่อนั่งอยู่ย่อมรู้ชัดว่าเรานั่งอยู่
เมื่อนอนอยู่ย่อมรู้ชัดว่าเรานอนอยู่
เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการใดๆ ย่อมรู้ถึงกายนั้น....."
แต่การมีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆของกายนั้นยังไม่พอ
เราต้องมีสติรู้พร้อมถึงลมหายใจแต่ละครั้ง การเคลื่อนไหวแต่ละหน
ความคิดทุกความคิด และความรู้สึกทุกความรู้สึก
พูดง่ายๆ ว่า มีสติรู้ทั่วพร้อมถึงทุกสิ่งที่เนื่องกับตัวเรา
จากบทที่ชื่อว่า เดินบนพื้นโลกเป็นเรื่องปาฎิหาริย์
...................
หากเราฝึกการเจริญสติจริงๆ ในขณะที่เดินไปตามทางเข้าหมู่บ้าน เราจะรู้สึกว่า การก้าวเท้าออกไปแต่ละก้าวนั้น เป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง และจิตของเราจะเบิกบานเหมือนดอกไม้นำเราก้าวเข้าสู่โลกของความเป็นจริง ครูชอบเดินไปคนเดียวตามทางเท้าในชนบท มีต้นข้าวต้นหญ้าเขียวขจีสองข้างทาง ค่อยๆวางเท้าลงไปทีละก้าวๆอย่างมีสติ รู้ตัวว่ากำลังก้าวเดินไปบนแดนมหัศจรรย์ ในชั่วขณะจิตเช่นนั้น การดำรงอยู่ของชีวิต เป็นความจริงที่ลึกลับปาฎิหาริย์ คนเรามักจะคิดว่า การเดินบนน้ำหรือเดินบนอากาศเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่ครูว่าปาฏิหาริย์ที่แท้จริง มิใช่การเดินบนน้ำบนอากาศหรอก หากแต่การเดินบนพื้นโลกนี่แหละ เราอยู่กับความอัศจรรย์ทุกๆวัน แต่เราไม่ตระหนักเอง....
แต่ไม่มีผู้ปฎิบัติงานของเราคนไหน จะมีเวลาอย่างฟุ่มเฟือย ที่จะเดินเล่นไปตามทางที่เขียวขจีไปด้วยหญ้าและนั่งสงบอยู่ภายใต้ร่มเงาของแมกไม้ ผู้ปฎิบัติงานต้องเตรียมโครงงาน ต้องปรึกษาหารือกับชาวบ้าน ต้องพยายามแก้ไขอุปสรรคมากมายที่เกิดขึ้น.........................ภายใต้สถานะการณ์เช่นนี้ ทำอย่างไร ผู้ปฎิบัติงานของเราจึงจะเจริญสติได้ คำตอบของครูก็คือ การพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งาน การตื่นตัวและพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างสามารถและมีไหวพริบ นี่แหละคือความมีสติโดยแท้............
การแก้ปัญหาและการจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เราจะต้องมีหัวใจที่สงบและควบคุมตัวเองได้อย่างดี การงานนั้นๆจึงจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ ผู้ปฎิบัติงานทุกคนคงตระหนักในข้อนี้ดี ถ้าเราอยู่ในภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ความไม่อดกลั้นและโทสะเข้าครอบงำ งานของเราก็จะหมดความหมายไร้คุณค่าทันที
การมีสติเป็นสิ่งมหัศจรรย์ตรงที่ ช่วยให้เราเป็นนายของตนเอง และรักษาใจตนเองอยู่ได้ในทุกๆสถานการณ์....
จากบท "การกระทำทุกอย่างเป็นพิธีกรรม"
........................
"ขณะที่เธอล้างถ้วยชาม เธออาจจะคิดไปถึงการดื่มน้ำชาหลังจากล้างถ้วยชามเสร็จแล้ว จึงทำให้เธอสักแต่ว่าล้างถ้วยชามให้มันเสร็จๆไปอย่างขอไปทีเท่านั้น และนั่นหมายความว่าเธอไม่ได้มีชีวิตอยู่ในขณะที่เธอล้างจาน เวลาที่เธอล้างจานอยู่นั้น การล้างจานต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ เช่นเดียวกับเวลาดื่มน้ำชา การดื่มน้ำชาก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตในชีวิตของเธอ เวลาเข้าห้องน้ำ การเข้าห้องน้ำก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเช่นกัน......ผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องมีสติอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่ช่วงเวลาชั่วโมงหนึ่งที่แบ่งให้กับการนั่งสมาธิอ่านพระไตรปิฎกหรือสวดมนต์เท่านั้น
การกระทำทุกอย่างต้องทำไปด้วยความมีสติ การกระทำทุกอย่างเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นงานสำคัญ
จากบท " หนึ่งคือทั้งหมด ทั้งหมดคือหนึ่ง"
การพิจารณาความเกี่ยวเนื่องกัน เป็นการมองลึกเข้าไปในธรรมทั้งปวง เพื่อที่จะเข้าถึงธรรมชาติจริงของมัน เป็นการมองให้เห็นสิ่งสิ่งหนึ่งในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่.....
ผู้ปฎิบัติธรรมย่อมเห็นกายของตนว่า เป็นปรากฏของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน โดยสังเกตพิจารณาองค์ประกอบของชีวิตเหล่านี้ จนกระทั่งเห็นว่าสิ่งนี้มีความเกี่ยวเนื่องอยู่อย่างใกล้ชิดกับโลกภายนอกตัวเรา ถ้าโลกไม่มี การประกอบกันขึ้นของขันธ์ห้าก็ไม่มี ดูโต๊ะเป็นตัวอย่าง โต๊ะมีอยู่ได้ก็เพราะสิ่งที่ไม่ใช่โต๊ะมีอยู่........บุคคลใดที่เห็นโต๊ะ แล้วสามารถเห็นจักรวาล บุคคลนั้นคือผู้เห็นมรรควิถี
จากบท "ปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์ "
ตามธรรมดาคนเรามักตัด ความเป็นจริง ออกเป็นชิ้นๆ และแยกออกเป็นส่วนๆ โดยไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะมองเห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัยเกี่ยวพันซึ่งกันและกันของสรรพปรากฏการณ์
การติดยึดในการมองตัวตนอย่างผิดๆ ก็คือการมีความเชื่อว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้นั้น ดำรงอยู่โดยตัวของมันเองอย่างจีรังยั่งยืน.......
ชีวิตของบุคคลคนหนึ่งนั้นมิใช่เป็นของส่วนตัวที่ห่อหุ้มอยู่ด้วยเปลือกแข็งหนา ตัดขาดจากโลกภายนอก ดำเนินไปในกาลอวกาศ โดยปราศจากผลระทบกับโลก การมีชีวิตอยู่ในวง100คน 100,000คน ในลักษณะเช่นนั้นเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ และไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการดำรงชีวิตด้วย.........บางทีเราอาจจะพูดได้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่จริง มิใช่อยู่อย่างตายซาก ก็ต่อเมื่ออยู่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโลก ดังนั้นจงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมโลก
จากบท "เสียงแห่งสัตบุรุษ"
เมื่อจิตของเธอได้รับการปลดปล่อย หัวใจของเธอก็จะเปี่ยมล้นด้วยเมตตา เมตตาต่อตนเองที่ต้องผ่านความทุกข์มาอย่างเหลือคณานับ ด้วยเหตุที่ยังติดอยู่ในม่านแห่งความเห็นผิด ( มิจฉาทิฎฐิ) ความเกลียด ความไม่รู้แจ้ง และความโกรธ จงมีเมตตาต่อผู้อื่นเถิดเพราะเขาเหล่านั้นเป็นเพื่อนทุกข์ แลไม่เห็นทาง ยังถูกจำขังด้วยความเห็นผิด ด้วยความเกลียด ความไม่รู้แจ้ง และยังคงสร้างความทุกข์ต่อตนเองและต่อผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน....
และที่ข้าพเจ้าประทับใจมากที่สุดก็คือ เรื่องราวที่ว่าด้วยคำตอบอัศจรรย์สามประการ....ที่กล่าวว่า
"จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียว คือ ปัจจุบัน ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุด ก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต
เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนรอบข้างเรา ช่วยลดความทุกข์และเพิ่มความสุขแห่งชีวิตเหล่านั้น คำตอบก็คือ เราจะต้องฝึกสติ
สติ เป็นแนวทาง สร้างชีวิตค่ะ
แวะมาอ่านและทักทาย
ขอบคุณค่ะ
สุขภาพแข็งแรง นะคะ
เคยอ่านนานมาแล้วค่ะ ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ฟังนะคะ
สวัสดีค่ะคุณสายธาร
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยือนและทักทายค่ะ
ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงเช่นกันค่ะ
สวัสดีค่ะคุณแก้ว..
ดีใจที่แวะมา... ขอบคุณค่ะ
เรามาช่วยกันภาวนาให้ คนในบ้านเมืองนี้มีสติกันให้มากกว่านี้กันเถอะ จะได้หาทางแก้ปัญหาที่ช่วยให้ประเทศมีความสงบร่มเย็นจริงๆเสียที สาธุ สาธุ
สวัสดีค่ะพี่เตือน
เพิ่งกลับมาจากไปฝึกเข้มตามแนวทางของพุทธสายเถรวาท ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่มาค่ะ ไปอยู่ที่นั่นเจ็ดคืนแปดวัน กลับออกมาพบว่ามีข่าวพรรคการเมืองถูกยุบพรรคไปหลายพรรค ตอนนี้กำลังรอดูว่านายกคนใหม่จะเป็นใครต่อ... ภายในไม่ถึงสามปีประเทศสยามเปลี่ยนนายกไปสามคนแล้ว .... คาดว่าชาวสยามก็มีสติอยู่บ้างเหมือนกันนะคะ แต่จะเป็นสติแตก เพราะดูข่าวการเมืองมากๆ นี่แหละเฮ้อ.
สวัสดีครับ
มาเยี่ยมครับ
สวัสดีจ้าน้อง kmsabai
ทราบว่าน้องได้ไปเป็นแพทย์สนาม แถวๆ กทม. เมื่อไม่นานมานี้ ได้พบเห็นการบาดเจ็บเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปีที่แล้วด้วย พี่เคยอยู่ในบรรยากาศแบบนั้น เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 35 เข้าใจว่าอาจจะพอๆกัน ตอนที่มีการยิงกันบนถนนราชดำเนิน พี่ก็ยังอยู่แถวๆนั้น แต่อยู่แนวหลัง พี่ไม่ได้เป็นแพทย์สนามแต่ไปดูงานและไปเพิ่มจำนวนคนประท้วง ( คือไปประท้วงนั่นแหละ ) พอมีการยิงกันเลยโดนเรียกกลับ เพราะเขาห่วงความปลอดภัยของเรา เพื่อนฝูง และรุ่นพี่ที่ไปด้วยกัน ต่างตกลงว่าจะไม่กลับ แถมตอนนั้นนอนบนถนนราชดำเนินเลยแหละ น้องที่ไปด้วยกันบอกว่าถ้าคนน้อยลง จะยิ่งแย่ คนมากๆ เขาจะได้ไม่กล้ายิงฝูงชน แถมมีการบอกว่า ถ้าเรากลับไป คนพวกนี้จะตายหมด ( แต่ไม่ยักสงสัยว่าเราจะตายกันไหม๊ ตอนนั้นสงสัยจะลืมกลัวตายไปแล้ว ) เอาไปเอามาต้องกลับ เพราะทางโรงพยาบาลบอกว่า ให้กลับไปช่วยที่ERด้วย เพราะที่ ER มีคนไข้ถูกยิงมาหลายคน ต้องการคนช่วย
ยัง ยัง ไม่ชัวร์ กลัวถูกหลอกให้กลับ มีการโทรกลับไปถามข้อมูลว่า จริงหรือเปล่า พอทางนั้นบอกว่าจริง เลยต้องกลับเพราะเหตุดังว่า พี่เป็นกลุ่มสุดท้ายที่กลับมาทางสะพานพระปิ่นเกล้า ก่อนที่เขาจะปิดสะพาน ตอนนั้นข้ามเรือกลับไม่ได้แล้ว ท่าเรือที่ฝั่งธรรมศาสตร์ปิดหมด มาถึงห้องฉุกเฉินเจอคนบาดเจ็บ ในจำนวนนั้นมีรุ่นพี่หมอคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันถูกยิงด้วย อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้น เรียกว่าสติแตกไปเลย สิ่งที่น้องเจอมา พี่เข้าใจว่าอารมณ์ความรู้สึก ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ พี่อยู่ในความเศร้าหลายวันเลยทีเดียว นอนไม่หลับแล้วก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล อนาถใจในประเทศชาติ บางวันก็ไปนั่งเฝ้ารุ่นพี่ที่ถูกยิงที่ ICU บางวันก็ไปนั่งแถว ER บางทีก็ข้ามเรือไปฝั่งธรรมศาสตร์ บางช่วงก็ไปนั่งฟังข่าวกับรุ่นพี่ที่มีความคิดแนวเดียวกัน ไม่อยากเห็นความรุนแรงแบบนี้อีก แต่ก็เกิดอีกตอน 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา
เวลาจะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น.. เข้าใจคนที่ทำร้ายประชาชนได้ลึกซึ้งขึ้น ...
เวรกรรมนั้นมีจริง อาจจะไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า.....เราไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว เวรกรรมจะจัดสรรให้เขาเอง .