เรื่องเล่าเทา-งาม
(ภาค อวสาน)
ณ บ้านป่าไร่ ตลอดทั้งสามคืนที่เราอยู่ร่วมกัน ความผูกพันและความร่วมมือกันระหว่างพี่น้อง ห้าเทา ในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคกลางวัน ที่เราร่วมกันสร้าง ภาคกลางคืนที่เราร่วมกันแสดงและเล่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สามารถก่อสายใยของความสมัครรักใคร่กัน ประหนึ่งเราอยู่ร่วมกันมานานนับปีได้ หลายๆคนจากที่ดูแค่หน้าตาแล้วเหมือนไม่เคยเป็นมิตรเมื่อแรกเจอ แต่เมื่อได้มีโอกาสสัมผัสเข้าจริงๆ นั่นคือ ความน่ารักและเสน่ห์ในตัวเขา
ทุกกิจกรรมที่เราทั้งห้ามหาวิทยาลัยได้ทำร่วมกัน ไม่ว่าการสร้างสนามเปตอง ที่ฝ่ายกีฬารังสรรค์ขึ้นให้ผมและผองเพื่อนได้สร้างความสัมพันธ์ ให้เรารู้จักกันมากขึ้น ซ้ำยังเรียกเสียงฮากันตลอดจนลืมเหนื่อยไปเลย อันนี้ไม่ได้นับรวม การจัดการแข่งขันกีฬาสีในวันที่ 23 ต.ค. ที่มวลสมาชิกสีตกลงปลงใจยกตำแหน่งประธานสีให้เราบริหาร แบบตาม สไตส์ คุยกันน้อยแต่ร่วมมือกันมาก (อันนี้พูดให้ดูดี) ในกลุ่มความร่วมมือของ “สีเหลืองจงเจริญ” (คำว่า “จงเจริญ” กลายเป็นคำฮิตประจำค่ายต่อมา จนเลื่อนเป็นสโลแกนค่ายในที่สุด )
เมื่อก่อนการแข่งขันในวันนั้นจะเริ่มขึ้น ผมเองกับท่านสาดตาจาน ลุกมาสรรสร้างสนามฟุตบอล (แบบฟีฟ่า) กันตั้งแต่ตะวันยังโผล่ไม่เต็มดวงเลย ก็ตั้งใจจะใช้เป็นสนามแข่งขันนั่นแหล่ะ! แต่ที่ไหนได้พอใกล้ถึงเวลา เจ้าภาพกีฬา ( ม.นเรศวร) มาบอกเราว่ามันแดดต้องเปลี่ยนใหม่ เอากันไปโน่น เราเลยต้องลงแรงทำสนามใหม่อีกครั้ง งานนี้เพื่อนๆทุกมหาลัยมาช่วยกันเต็มที่ ก็ไม่อยากเอาเองนี่ เลยกลายเป็นว่าเราต้องตัดหญ้ากันทั้งสนามจนเกลี้ยงทีเดียว อันนี้ก็แค่ขำๆ
ความจริงแล้วขอเล่าเฉพาะฝ่ายกีฬานะ เพราะว่าเราได้รับผิดชอบส่วนนี้ หากแต่ว่าก็กระโดดไปขุดต้นกล้วยช่วย ฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ จนได้กิน “บักสีดาร่วมสาบาน” กับเจ้านางน้อย
“บี” ลูกสาวพระนเรศ (อันนี้ตั้งฉายาให้เองเพราะเขาอยู่ ม.นเรศวร และเรียบร้อยมากๆ) และผองเพื่อนคนอื่นๆอีกหลายต่อหลายคน ซ้ำยังตอนเย็นของทุกวันก็กระโดดไปขึ้นเวทีเป็นพิธีกร ให้ชาวบ้านนั่งหัวเราะกันเล่นๆอีก คู่กับน้าสิงดาวบ้าง ท่านสาดตาจานบ้าง ซึ่งจำได้ว่าได้ทิปมา 40 บาทแหน่ะ! (เขาจ้างหยุดมั้ง!)
โชคดีอีกขั้นที่เราได้ไปร่วมงาน กับ ทางตำบลป่าไร่ในการฉลอง 116 วัน จากวันแม่-วันพ่อ งานนี้ระดับจังหวัด แต่เป็นงานตำบล ทุกๆมหาวิทยาลัยเตรียมการแสดงไปโชว์กันอย่างเต็มที่ เราเองก็ไม่พลาดที่จะ “จับไมล์” เหมือนเดิม อีกแล้ว
ก่อนที่ทุกกิจกรรมจะมาสิ้นสุดลงที่การเลี้ยงส่งให้กับ สามมหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยนเรศวรและมหาวิทยาลัยทักษิณ ที่จะต้องเดินทางกลับก่อน ด้วยการกินเนื้อย่างร่วมกันที่อรัญประเทศนั้น เจ้าภาพบูรพา ส่งเราบุกปราสาทสด๊กก๊อกทม ซึ่งที่นั่นผมกับสาดตาจานได้เปิดกล้องรายการ “เที่ยวไปบ่นไป” กับผู้ร่วมรายการจากทุกๆมหาวิยาลัย เนื้อหาของรายการมุ่งเน้นไปที่บรรยากาศและความรู้สึกในการร่วมค่ายและการได้มาที่นี่ แล้วก็ต่อกันด้วยการเอาไปปล่อยลงที่ตลาดโรงเกลือ ทั้ง Buddy และ Budder ของเราเองต่างซื้อของมาเทคแคร์เราเต็มที่ แต่ทว่าเราล่ะ!! ไม่เคยมี อีกแล้วครับท่าน.....อิอิ
แล้ววันนั้น ณ การกินเลี้ยง บรรยากาศของการล่ำลาอาลัยก็บังเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หยาดน้ำตาของความผูกพันแบบผองเพื่อนได้ถูกตราตรึงไว้ในห้วงเวลานั้นอีกครั้งหนึ่ง วินาทีแห่งการลาจากได้ถูกจดจำและหวนหาอีกครั้งด้วยความอาลัย ก่อนที่รถบัสจะวิ่งจากพวกเราไปทีละคัน คงไว้เฉพาะ ม.บูรพา เจ้าภาพกับ ม.สารคามเท่านั้นที่กลับมาจัดเวทีเสวนาต่อกันจนสว่าง
แล้วบรรยากาศของการล่ำลาก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อรุ่งเช้า คราวนี้ ทั้งบทเพลงผสานกับเสียงโทรศัพท์จากผองเพื่อนผู้ล่วงกลับไปก่อนนั้นผสมผสานกันเข้ายิ่งสร้างความห่วงหามากยิ่งขึ้น นับเป็นครั้งแรกที่ผมเองได้มีโอกาสเห็นท่าน “ผอ.เกื้อกูล” น้ำตาคลอเบ้า แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ “พี่นุ้ย” เสียน้ำตาและคงต้องรวมถึงบอสสหญิง (พี่เจี๊ยบ เยาวภา) ของเราด้วย แต่บอสสชายเรายังคงหนักแน่นและขรึมเคร่งประดุจดั่งพระยาราชสีห์อยู่เหมือนเดิม
มวลมิตร ผู้ร่วม ผู้สร้าง
ตามทาง ผู้แสวง หามิตรใหม่
ตามวิถี ปัญญาชน มหาลัย
จึงได้ พานพบ เห็นกัน
เทา-งาม งามจิต งามใจ
งามใน มิตรภาพ เธอฉัน
ต่างทิศ ภูมิภาค ต่างกัน
ความสัมพันธ์ ฉันเพื่อน ยังหนึ่งเดียว
..................................................
แวะมาทักทาย...สบายดีบ่น้อ ทางนี้ร่อแร่แล้วครับ
บรรยายแบบเห็นบรรยากาศเลยท่าน
หวังว่าคงมีโอกาสได้เข้าร่วมอีกนะ
คงได้ร่วมกิจกรรมที่ดีๆ แบบนี้กับเพื่อนทุกคน
จงเจริญ....
ถึงแม้ว่าเทา-งาม ครั้งนี้ มหาวิทยาลัยบูรพา จะเป็นเจ้าภาพ แต่ว่า เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกัน ทาง มมส จึงเตรียมคน ไปเพื่อศึกษาดูงาน และช่วยงานในหลาย ๆ ส่วนด้วย เช่น สื่อข่าวสารประจำวัน จดหมายข่าว รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ทำให้เราได้รู้ซึ้งมิตรภาพอย่างแท้จริง ว่า โครงการเทา-งาม สัมพันธ์ ไม่ใช่โครงการที่แก่งแย่ง แข่งขัน ในด้านใด ๆ เลย แต่มันคือ โครงการแห่งมิตรภาพ จริง ๆ