วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างใน ไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน" คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลาสองปีที่ข้า-สามารถที่จะเก็บดอกไม้สวยๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้ " "คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจและกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้ สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็นและมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง"
ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่า เพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธารถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลจากลำธารกลับสู่บ้าน
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตก "เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว" เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลาสองปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึกอับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมาหลังจากเวลาสองปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็น "ความล้มเหลวอันขมขื่น"
จากหนังสือ "ขายหัวเราะ" หน้า 58
ฉบับประจำวันที่ 8-14 ต.ค.51
ทุกสิ่งในโลก .............ล้วนมีสิ่งดี ดี อยู่ในตัวของมันเอง...เสมอ
การมองเชิงบวก ...ไม่เพียงแต่ความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองแล้ว.....ยังส่งผลลัพธ์ดี.. ดี
ต่อสิ่งข้างตัวด้วย....
ถังน้ำ 2ใบ เฉกเช่นกัน....
โลกเราช่างน่าอยู่เสียจริง ๆนะ.... ตราบใดที่ ความรู้สึก ดี ดี ยังคงอยู่
..........คุณว่ามั้ย.................
เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า วิธีมองสะท้อนวิธีคิดครับ