เรื่องเล่า เทา-งาม
( ภาค สอง )
รุ่งเช้าของวันที่ 21 ต.ค. 51 เมื่อแสงทองของดวงทินกรจับขอบฟ้าฝั่งทิศบูรพา เหล่าบรรดาเรา ชาว เทา-งามทั้งหลาย ลุกขึ้นแต่งกายด้วยชุดนิสิตอย่างเรียบร้อย เพราะนี่คงเป็นห้วงเวลาแรกที่เราจะได้ร่วมกิจกรรมกันอย่างเป็นทางการเสียที โดยที่เช้านี้ทางเจ้าภาพ มหาวิทยาลัยบูรพาเองได้จัดเลี้ยงเราเป็นข้าวต้ม ให้พี่น้องเราได้อิ่มหนำสำราญกัน เสร็จแล้วก็ต่างเดินเข้าห้องสัมมนากัน ซึ่งอันที่จริงแล้วการสัมมนาในวันนี้ก็คือหัวข้อ “อินโดจีน” หัวข้อที่เราร่วมกันสัมมนากันแล้วเฉพาะมหาวิทยาลัยสารคามเราตั้งแต่อยู่บนรถบัสเมื่อครั้งเรายังเดินทางมากัน ครั้งนั้นท่านสาดตาจาน ( ปุ๊ ทริกามาตร์)เป็นผู้นำการเสวนากันจนเราก็ได้รับข้อมูลข้างต้นกันมากพอสมควร (แต่ไม่รู้ถูกต้องหรือป่าว)
อันที่จริงเรื่องราวที่เราสัมมนากันวันนี้นั้นไม่ได้มีเนื้อหาใดที่เกี่ยวข้องกันเลยกับเรื่องที่ท่านสาดตาจาน ได้ให้ความรู้แก่เราเลย เพราะความรู้ครั้งนี้น่าจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องของเขาพระวิหารมากกว่า เพื่อเป็นการทำความเข้าใจก่อนที่จะลงพื้นที่จริงที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ คราวนี้แหล่ะทั้งเราทั้งคนในพื้นที่ไม่รู้ใครจะกลมกลืนมากกว่ากัน
หลังจากที่เราเสร็จกิจการสัมมนาแล้วก็ต่างออกเดินทางเพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางกันทันที จำได้ว่าวันนั้นเราไปถึงที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนรัฐราษฎร์บำรุง(ป่าไร่) ก็เมื่อตอนบ่ายจวนจะค่ำเสียแล้ว ทุกอย่างที่นั่นยังคงฉุกละหุกเตรียมการยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก แต่ปัญหาก็คือว่า เย็นนี้เราขาว มมส.จะต้องมีการแสดงเสียด้วย อีกทั้งหน้าที่พิธีกรยังตกเป็นของเรากับเพื่อน ม.บูรพา ซึ่งเราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ จึงได้เกิดการตามหาคู่นาง เหมือนหนึ่งในวรรณคดีเรื่องต่างๆของไทยที่พระเอกต้องเดินทางตามหานางเอกในฝัน ซะงั้น ( คิดเอาเองนะเนี่ย)
กลายเป็นว่าเราต้องมีคู่หูก่อนจะมีการจับ Buddy-Budder เสียอีกแล้วงานคืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ซ้ำยังพ่วงท้ายด้วยการถูกเพื่อนๆ ล้อให้ได้สาว ม.บูรพาเป็นคู่หูอีกต่างหาก งานนี้ทั้งอยากจะบอกว่า “เขิน” และดีใจนะเนี่ย!!!!!!!!
กิจกรรมคืนที่สองของการร่วมค่าย เทา-งามครั้งนี้ก็เช่นเคย จบลงด้วยความสนุกสนาน ทุกมหาวิทยาลัยยังคงตาม มมส ออกมา วาดลวดลายการเต้นหน้าเวทีอย่างสุดเหวี่ยงดังเดิม ที่ดีกว่าวันก่อนนั้นก็คือว่ามีเสียงเรียกขานจากชาวบ้าน และการต้อนรับเสมอหนึ่งมิตรผู้มาเยือน ไม่ว่าเราจะไปที่ใดก็ได้รับการดูแลจากชาวบ้านเป็นอย่างดีทีเดียว และนั่นก็เป็นการก้าวลงสู่สนามของการทำค่ายครั้งแรกที่แสนสุดจะประทับใจ จากครั้งแรกเริ่มที่เราบอกว่า “มมส คือ ความสนุกสนาน” ครั้งนี้เราได้นิยามใหม่อีกแล้วว่า “มมส คือ ผู้ให้ และผู้เป็นมิตรที่ดี”
ไม่มีความเห็น