ไปทำบุญกันเถอะ


วัด ทำบุญ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 51 ที่ผ่านมานั้น ดิฉันได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดแถวๆ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะไกลใช่ไหมคะ แต่ว่าเส้นทางที่จะไปวัดนั้นแสนจะวิบากมากเลยค่ะ เอาเป็นว่าดิฉันขอเริ่มเล่าประสบการณ์ให้ท่านฟังเลยก็แล้วกันนะคะ ตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 51 นั้น เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ที่ดิฉันต้องไปตรวจงานที่ไร่ เพื่อดูว่าคนงานทำงานตามที่ได้บอกไว้หรือไม่ เพราะว่าถ้าไม่ไปตรวจเลยก็ดูจะเป็นการละเลยการดูแลไปสักหน่อย แต่หากไปดูบ่อยไปก็คงไม่ไหวค่ะ เพราะหนทางค่อนข้างจะไกลพอสมควร  ถึงแม้จะไม่ไกลมาก แต่การเทียวไปทุกวันหลังจากลองคำนวณดูแล้วในสภาพเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันนี้ดูจะไม่ค่อยคุ้ม จึงได้ข้อสรุปว่าเอาเป็นว่าสัปดาห์ละครั้งก็แล้วกัน ทุกวันอาทิตย์ดิฉันจะไปตรวจงานที่ไร่ ทุกสัปดาห์ดิฉันจะไปกับคุณพ่อ จะมีบางสัปดาห์เท่านั้นที่คุณแม่ไปด้วย ซึ่งในสัปดาห์นี้จะมีเฉพาะดิฉันและคุณพ่อเท่านั้นที่ไปด้วยกัน หลังจากตรวจงานเสร็จก็ให้คนงานที่ไร่นำผลผลิตบางส่วนมาใส่ท้ายรถ ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะนำกลับบ้านเอาไปฝากคุณแม่ค่ะ แต่พอขับรถออกจากไร่ไปได้สักเล็กน้อยคุณพ่อก็ชวนดิฉันไปวัด ท่านบอกว่ามีคนบอกท่านว่ามีวัดแถวๆ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งวัดจะอยู่ห่างจากอำเภอกระนวนไปประมาณ 10 กม.ซึ่งดิฉันฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะไกลมาก จึงตกลงว่าเราจะเดินทางไปวัดที่อำเภอกระนวน จ.ขอนแก่น กัน โดยดิฉันทำหน้าที่เป็นคนขับรถค่ะ ซึ่งดิฉันและคุณพ่อ พร้อมทั้งรถ Honda Civic รุ่นเจ้าคุณปู่ของเราก็พาเรามุ่งหน้าไปยัง อ.กระนวน ดิฉันใช้เส้นทางลัดตามที่คุณพ่อบอก ระหว่างทางวิวทิวทัศน์สวยงามมากค่ะ การเดินทางใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง อ.กระนวน คุณพ่อบอกให้ดิฉันเลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังวัดดังกล่าว ซึ่งตอนแรกดิฉันยังไม่ทราบค่ะว่าคุณพ่อไม่ทราบว่าวัดที่จะไปน่ะชื่อว่าวัดอะไรค่ะ คุณพ่อทราบมาแต่ว่าวัดดังกล่าวเป็นสาขาของวัดหลวงตามหาบัวค่ะ ดิฉันขับไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งอ่านป้ายชื่อวัด และมองหาวัดไปตลอดทาง จนกระทั่งไปสะดุดตาชื่อวัดอยู่วัดหนึ่งคือวัดถ้ำน้ำทิพย์ ดิฉันจึงหันไปถามคุณพ่อว่าใช่วัดนี้หรือเปล่าคะ คุณพ่อจึงบอกดิฉันว่าไม่ทราบว่าวัดน่ะชื่ออะไร ทราบแต่ว่าอยู่แถวๆ นี้แหละ ให้ลองหาไปเรื่อยๆ โอ้...พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ดิฉันจะต้องขับรถไปถามไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ขับเลยไปประมาณ 3 กม. หลังจากสอบถามจากชาวบ้านร้านค้าแถวนั้นแล้ว ดิฉันจึงขับรถย้อนกลับมา และในที่สุดก็หาทางเข้าวัดเจอ ซึ่งทางเข้าวัดนั้นจะอยู่ที่ กม.ที่ 10 หลังจากแยกมาจากสี่แยก อ.กระนวน เลยค่ะ และทางเข้าจะตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันอะไรสักอย่างดิฉันจำชื่อปั๊มไม่ได้แล้วค่ะ เพราะมัวแต่หาทางเข้าวัดอยู่ จากป้ายบอกทางไปวัดถ้าน้ำทิพย์ต้องเข้าไปอีกประมาณ 15 กม. ค่ะ แต่ก็ดูถนนหนทางก็ลาดยางซึ่งก็จัดว่าดีทีเดียว 15 กม. ดิฉันคิดว่าไม่ไกลสำหรับ Honda Civic รุ่นเจ้าคุณปู่ของดิฉันจะไปถึงได้ค่ะ แต่ดิฉันก็แปลกใจค่ะว่าชื่อวัดว่าเป็นถ้ำ จริงๆ แล้วน่าจะอยู่ในป่ามากกว่าอยู่ในเมืองนะ แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก เพราะมองวิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมากเลยค่ะ แถวนั้นชาวบ้านเขาปลูกต้นยางพารากันเต็มไปหมดค่ะ แต่ก็ยังมีการปลูกต้นอื่นๆ อยู่ด้วย ซึ่งมองดูแล้วร่มรื่นน่าอยู่มากเลยค่ะ ดิฉันก็ขับไปถามทางเขาไป เพราะกลัวหลงขับเลยไปอีกเหมือนตอนหาทางเข้าวัดค่ะ อย่างที่คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่าทางอยู่ที่ปาก ดิฉันเห็นท่าว่าจะจริง เพราะหากดิฉันไม่ถามป่านนี้ดิฉันก็คงยังหาทางเข้าวัดไม่เจอหรอกค่ะ เส้นทางจะเป็นเส้นทางตรงไปอย่างเดียวไม่มีเลี้ยวเลยค่ะ และระหว่างทางจะมีถนนแยกเล็กแยกน้อยเป็นทางเข้าของแต่ละหมู่บ้านไป ซึ่งร้านค้าที่ดิฉันถามทางไว้นั้น เขาบอกว่าวัดถ้ำน้ำทิพย์อยู่บ้านคำครึ่งค่ะ แต่ดิฉันก็มาถึงบ้านคำครึ่งแล้วทำไมถึงยังไม่เห็นวัดดังกล่าวเลยก็ไม่ทราบ ก็ถามทางไปเรื่อยๆ เขาก็บอกยังไม่ถึงให้ตรงไปอีกเรื่อยๆ ดิฉันขับรถตรงไปเรื่อยตามเส้นทาง จนกระทั่งข้ามสะพาน ซึ่งตอนหลังดิฉันทราบจากพระท่านว่าสะพานนี้เป็นสะพานแบ่งเขตแดนระหว่างจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกาฬสินธุ์ค่ะ และพื้นที่บริเวณนี้เมื่อสมัยก่อนจะเป็นเขตคอมมิวนิสต์ค่ะ คือใครเข้าไปเมื่อสมัยก่อนอาจจะถูกยิงได้ แต่ในสมัยนี้คอมมิวนิสต์ไม่มีแล้วดิฉันจึงโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งค่ะ หลังจากข้ามสะพานไปได้ไม่นานดิฉันพบว่าหมดเขตของถนนที่เป็นการลาดยางหรือคอนกรีตแล้ว คราวนี้ล่ะถนนเป็นดินเป็นลูกลังเห็นๆ เลยค่ะ ดิฉันเห็นสภาพทางแล้วรู้สึกเป็นห่วงเจ้า Honda Civic รุ่นเจ้าคุณปู่ขึ้นมาทันทีค่ะ เพราะทางไม่ค่อยดีเลยค่ะ เป็นหลุมเป็นบ่อ แต่ถ้าเป็นรถกระบะน่าจะเดินทางได้สะดวกกว่าค่ะ แต่ไหนๆ ดิฉันก็มาแล้ว ไม่ลองก็ไม่รู้สิคะ ไม่ไปก็ไม่ถึง จึงตัดสินใจไปต่อค่ะไม่ยอมหันหลังกลับทิ้งให้เป็นปริศนาค้างคาใจต่อไป แต่ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางไปวัดตลอดค่ะ ซึ่งในเส้นทางที่ดิฉันเข้ามานี้ส่วนใหญ่จะมีวัดที่มีชื่อขึ้นต้นว่าถ้ำอยู่ตลอดเลยค่ะ แสดงว่าต้องเป็นวัดป่าจริงๆ แน่เลยค่ะ ดิฉันขับรถไปเรื่อยๆ ค่ะ แม้ถนนหนทางจะไม่ดี ไฟฟ้า น้ำประปา จะไม่มีเข้ามาถึง แต่วิวทิวทัศน์สวยงามมากค่ะ ชาวบ้านแถวนั้นเขาปลูกอ้อย ปลูกพริก แล้วก็อีกหลายๆ อย่างค่ะ แล้วก็อยู่ใกล้กับภูเขาด้วยค่ะ ซึ่งพอมองออกไปแล้วดูสวยงามมากค่ะ ขณะที่ดิฉันเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามและดิฉันคิดว่าคงจะหาดูได้ยากพอสมควรสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง ดิฉันจะต้องมีสมาธิที่ดีด้วยค่ะในการหลบหลุมต่างๆ ที่อยู่บนถนน หากเป็นฤดูฝนที่มีน้ำขังบนถนน ดิฉันคงไม่สามารถให้เจ้า Honda Civic รุ่นเจ้าคุณปู่ของดิฉันนำพาดิฉันไปยังที่หมายได้แน่นอนค่ะ ดิฉันขับรถมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบทางแยกค่ะ ซึ่งทางแยกนี้ไม่มีป้ายบอกด้วยค่ะว่าทางไหนไปวัดถ้าน้ำทิพย์ที่เป็นจุดหมายของดิฉัน คงต้องเสี่ยงดวงกันแล้วล่ะ ถ้าหลงก็คงได้กินข้าวลิงกันบ้างแล้ว เพราะระหว่างทางดิฉันไม่ค่อยได้พบชาวบ้านผ่านไปมาเลยค่ะ นานๆ จะมีคนขับรถอีแต๋นผ่านมาสักคัน ดิฉันจึงเลือกไปทางหนึ่งจาก 2 ทางที่แยก ซึ่งดิฉันขับไปเรื่อยๆ ถนนหนทางก็จะแย่กว่าทางที่เข้ามาอีกค่ะ และทางก็แคบลงไปทุกทีๆ ดิฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเลือกมาถูกทาง ประกอบกับคุณพ่อบอกว่าทางเข้าวัดน่าจะกว้างกว่านี้นะ ทางนี้สงสัยเป็นทางเข้าไปไร่นาของชาวบ้านมากกว่า ดิฉันจึงหันรถกลับค่ะ ซึ่งยากมากเลยค่ะ เพราะทางก็แคบมาก ดิฉันจึงไปเลือกกลับรถที่ไร่พริก ซึ่งดูจะกว้างกว่าที่อื่นค่ะ แต่ก็เกือบไปเหมือนกันค่ะ เพราะถ้าดิฉันถอยหลังมากไปนิดคงตกลงไปที่ไร่ของชาวบ้านซึ่งต่ำกว่าถนนประมาณ 0.5 - 1 เมตรค่ะ คงได้กินข้าวลิงแน่ๆ ค่ะ จากนั้นดิฉันก็มุ่งหน้ากลับไปยังทางแยกที่ดิฉันหลงมา แล้วก็เลือกไปอีกทางหนึ่ง โอ้...พระเจ้าจอร์สมันยอดมาก ในที่สุดดิฉันก็เจอทางเข้าวัดแล้ว ทางจะกว้างกว่าทางเมื่อสักครู่ค่ะ แล้ววิวทิวทัศน์ก็ดูสวยมากค่ะ วัดจะอยู่บนภูเขาค่ะ มีพื้นที่ประมาณ 2000 ไร่ค่ะ ในที่สุดดิฉันก็เจอประตูเข้าวัดแล้ว ประตูวัดที่เขียนว่าวัดถ้ำน้ำทิพย์ ในที่สุดดิฉันก็มาถึงแล้ว ทางเข้าวัดจะมีต้นไทรและจะมีน้ำอยู่ 2 ข้างทาง ซึ่งน้ำนี้มาจากภูเขาค่ะ วัดนี้ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปาค่ะ มีเพียงศาลาไม้ กุฏิพระไม่กี่หลัง และมีโรงครัว และวัดนี้มีพระเพียง 4 รูปเท่านั้นค่ะ เท่าที่ได้สนทนากับพระจึงทราบว่าท่านไม่ใช่เป็นลูกศิษย์สายหลวงตามหาบัว แต่เป็นทางสายหลวงปู่เทสก์ เทศน์รังสี ค่ะ ซึ่งรู้สึกว่าจะเป็นพระปฏิบัติทางสายวัดป่าค่ะ (ป่าจริงๆ เลยค่ะ) ท่านเคยนำพระมาปลูกป่าบนเขานี้ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วค่ะ แต่ท่านก็ท้อใจ เนื่องจากหลังจากที่ปลูกป่าแล้วชาวบ้านก็จะแอบมาตัดป่าไม้ของท่านที่ปลูกเอาไว้ ท่านบอกว่าท่านต่อสู้มาหลายปี จนรู้สึกไม่มีแรงแล้ว จึงไม่ได้ปลูกต่อ ป่าไม้ก็จะเหลือเฉพาะบริเวณด้านหน้าเท่านั้น ส่วนด้านหลังที่ท่านได้ปลูกไว้ก็จะมีชาวบ้านมาบุกรุกตัดป่าไม้ของวัดไปค่ะ ดิฉันว่าฟังดูแล้วน่าตกใจนะคะ สังคมจะอยู่ได้อย่างไรคะ ถ้าคนทำความดีท้อ ดิฉันคิดว่าท่านคงจะสู้เพียงลำพังไม่ได้หรอกค่ะ จะต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้านและต้องมีชาวบ้านเป็นแนวร่วมเพื่อเป็นรั้วให้กับวัดอีกทีหนึ่ง และดิฉันยังทราบอีกว่าทางวัดได้รับแผงโซล่าเซลจำนวน 1 แผง เพื่อใช้ในวัด เนื่องจากไฟฟ้าเข้าไม่ถึง แต่ก็ไม่เพียงพอใช้ทั้งวัด ก็คงต้องใช้เทียนและตะเกียงช่วยให้แสงสว่างในยามค่ำคืนด้วยค่ะ หลังจากสนทนาธรรมกับพระแล้ว ดิฉันก็ขอนมัสการกราบลา เพราะต้องรีบกลับบ้านไปธุระอีกหลายอย่างต่ออีก ดิฉันจึงบอกคุณพ่อว่าเราน่าจะเอาผลผลิตทางการเกษตรของเราให้วัดไปนะ ดิฉันจึงไปแวะที่โรงครัวของวัด และนำผลผลิตจากไร่ของดิฉันเอาไปให้แม่ครัว จากนั้นดิฉันก็ลาแม่ครัวกลับค่ะ ขากลับ ระหว่างทางดิฉันได้พูดคุยกับคุณพ่อว่าเรายังไม่ได้เดินดูรอบๆ บริเวณวัดเลย ซึ่งคุณพ่อบอกว่ามันจะอันตรายนะ เพราะว่าอาจจะมีพวกสัตว์พิษเช่นพวกงูหรืออื่นๆ อยู่ได้ เพราะว่ามันเป็นป่านะ ดิฉันก็เลยคิดว่ายังไม่อยากให้อาหารสัตว์ตอนนี้ คือว่าดิฉันคงยังไม่อยากเป็นอาหารให้สัตว์กิน ก็เลยคิดว่าอย่าไปเดินดีกว่า นั่งดูวิวทิวทัศน์จากในรถนี่แหละ จากนั้นดิฉันก็เดินทางกลับ ซึ่งดิฉันรู้สึกว่าระยะทางสั้นกว่าขามามากค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้ทางแล้วหลุมอยู่ตรงไหนก็รู้แล้ว และก็ไม่ต้องหลงทางอีกด้วย ก็เลยใช้เวลาไม่มากในการเดินทางกลับค่ะ พอกลับมาถึงบ้านคุณแม่เห็นรถก็เลยถามว่าไปทำอะไรมา ทำไมรถมอมแมมอย่างนั้น ดิฉันก็เลยตอบแกมติดตลกไปค่ะค่ะว่าไปแข่งแรลลี่มาค่ะ แต่สภาพถนนที่ดิฉ้นไปวัดถ้าน้ำทิพย์นั้นมา ดิฉันคิดว่าสามารถนำเป็นเส้นทางแข่งแรลลี่ได้เลยค่ะ วิบากสุดๆ ค่ะ แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้า Honda Civic รุ่นเจ้าคุณปู่ของดิฉันที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด สามารถนำพาดิฉันไปกลับได้โดยสวัสดิภาพตลอดค่ะ คราวหน้าดิฉันก็จะไปวัดนี้อีกนะคะ คราวนี้จะไม่ลืมถือกล้องติดมือไปด้วย จะได้ถ่ายรูปมาฝากกันค่ะ ว่าจะไปทำบุญที่วัดถ้ำน้ำทิพย์อีกค่ะ ในวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ย. 51 นี้ค่ะ คราวนี้คงใช้รถของพี่ชายไปค่ะ คงไปกันทั้งครอบครัว คุณพ่อบ่นสงสารรถเจ้าคุณปู่ของดิฉัน เกรงว่ามันจะแย่เอาเพราะเจอทางสุดวิบากอย่างนั้น หากท่านใดสนใจจะไปวัดถ้ำน้ำทิพย์ ดิฉันขอแนะนำว่าน่าจะใช้รถกระบะสำหรับเดินทางจะเหมาะกว่ารถเก๋งค่ะ ลืมบอกไปค่ะ พระวัดนี้เป็นพระปฏิบัตินะคะ ฉันข้าวมื้อเดียวค่ะ และคราวหน้าดิฉันจะไม่ลืมนำต้นไม้ไปด้วย เพื่อไปปลูกที่วัด ดิฉันคิดว่าอย่างน้อยหากมีญาติโยมมาทำบุญที่วัดช่วยกันปลูกต้นไม้กันคนละต้นสองต้น ก็สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับวัดได้ และยังเป็นกำลังใจให้กับพระได้ว่า ท่านไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ยังมีญาติโยมอีกหลายๆ คนที่ยังเห็นคุณงามความดีของท่านที่ได้ทำมา และยินดีที่จะสนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ท่านทำดีต่อไปค่ะ สวัสดีค่ะ

คำสำคัญ (Tags): #ทำบุญ#วัด
หมายเลขบันทึก: 223763เขียนเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2008 09:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2012 05:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท