ภาพชีวิตที่ฉันรำลึกได้เมื่อเด็กน้อยเป็นเด็กเล็กวัยอนุบาล เป็นภาพของเด็กคนหนึ่งที่ซุกซนและเป็นที่รักของคนที่รับเธอไปอยู่ด้วย ถูกแล้วค่ะเด็กเล็กๆคนนี้ถูกพ่อและแม่ส่งไปอยู่กับคนอื่น เธอถูกรับไปเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งที่อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ด้วยตอนนั้นพ่อของเธอเข้าไปอยู่ในเหมืองแร่เพื่อช่วยดูแลกิจการให้กับครอบครัวของพ่อ และแม่ก็ได้ตามไปดูแลพ่อที่นั่น การที่พ่อและแม่ส่งเด็กน้อยไปอยู่ที่นี่เพราะว่าครูในโรงเรียนแห่งนี้ทุกคนเป็นเพื่อนของเขาทั้งคู่ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ เด็กน้อยได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อถึงวันหยุด ครูจะเป็นผู้เตรียมตัวของเธอให้พร้อมไว้สำหรับให้พ่อและแม่มารับได้โดยไม่เสียเวลา
ดูเหมือนว่าการอยู่กับคนแปลกหน้าตั้งแต่ยังเล็กไม่ได้ทำให้เธอมีปัญหาอะไร จนเมื่อฉันมานั่งย้อนรำลึกเธออีกครั้ง ฉันก็พบว่าที่แท้เธอมีปัญหาหนึ่งซ่อนอยู่ นั่นคือ ความกลัวที่มีต่อผู้ใหญ่ และไม่ชอบเข้าใกล้ครูค่ะ ฉันไม่แน่ใจหรอกนะค่ะว่า เหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เธอเป็นเด็กเรียน หัวแข็งและดื้อค่ะ การย้อนรำลึกถึงเธอในวันนี้ทำให้ฉันรับรู้ขึ้นมาว่า เด็กน้อยรู้สึกอายที่มีใครหัวเราะเธอ เมื่อเธอทำพลาดค่ะ
ในตอนนั้นครูผู้ดูแลมักจะนำเอาเรื่องที่เธอทำพลาดตามประสาเด็กๆมาพูดคุยเล่าสู่กันฟังในบรรดาคนกันเองของพ่อและแม่เป็นที่สนุกสนานด้วยความรู้สึกเอ็นดูในความเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาของเธอ แต่ครูคงจะไม่รู้ค่ะว่าเธออาย และไม่ชอบการถูกล้อเลียน เรื่องหนึ่งที่จำได้ว่าเธออายมากๆ ทั้งๆที่เป็นเรื่องธรรมดาๆของเด็กอนุบาล คือ วันหนึ่งเธอเตรียมตัวเพื่อรอให้พ่อและแม่มารับในช่วงสุดสัปดาห์แล้ว ข.ต.ใส่ผ้า เป็นการ ข.ต.ที่เกิดพอดีกับที่รถที่พ่อและแม่มารับถึงบันไดบ้านพักครู ผู้ใหญ่หัวเราะกันกราวใหญ่ จำได้ว่าครูเขาไปที่ไหนๆที่รู้จักกับเพื่อนของพ่อและแม่ เขาจะเล่าทุกเวทีไป จำได้ว่าเด็กน้อยอายแสนอายค่ะ แต่เธอทำอะไรลงไปบ้างนั้น ฉันจำไม่ได้ด้วยความจำมันรางเลือนเต็มที
ต่อจากชั้นอนุบาล พ่อซึ่งเป็นคนที่เดินทางไปทั่วภาคกลางและภาคใต้เห็นการณ์ไกลว่า การศึกษามีความสำคัญ และเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ พ่อจึงเลือกให้เด็กน้อยเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนราษฎร์แทนโรงเรียนรัฐบาล เด็กน้อยจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต โรงเรียนราษฎร์แห่งแรกที่เข้าเรียนนั้น มีพี่ชายลูกของลุงที่เล่าถึงไว้ข้างต้นเรียนอยู่ก่อนแล้ว โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนสหศึกษาในชั้นประถม และเป็นโรงเรียนชายล้วนสำหรับชั้นมัธยมศึกษา พ่อและแม่ไม่เคยผิดหวังกับผลการเรียนของเด็กน้อยแม้แต่น้อย ตลอดสี่ปีที่เธอเรียนประถมต้นที่โรงเรียนแห่งนี้ ผลการสอบเธอเป็นที่หนึ่งของห้องมาตลอด
ภายใต้อิสระที่โรงเรียนราษฎร์มีให้เด็กนักเรียน โรงเรียนแห่งนี้เป็นที่แรกที่ทำให้เธอรู้จักกับศาสนา เป็นการรู้จักในรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับเด็กวัยขนาดนั้น นั่นคือ รูปแบบการเล่าเรื่องราวของอาดัมกับอีฟให้ฟังแบบนิทาน และการสอนให้รู้จักเพลงต่างๆที่ร้องกันในช่วงเทศกาลสำคัญ แน่นอนว่าการที่เด็กน้อยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เธอไม่เข้าไปใกล้ชิดบาทหลวงที่เป็นครูสักเท่าไร นอกจากคอยตามอ่านจากหนังสือเล่มเล็กๆ ฟังเอาจากเรื่องเล่าที่มีโอกาสได้ยิน ที่นี่เป็นที่แรกที่เธอรู้จักไม้กางเขนและดอกลั่นทม ฉันรำลึกได้ว่าเธอชอบดอกลั่นทมมาก ที่เธอชอบมันก็ด้วยว่ากลิ่นหอมของมันนั้นหอมดี และอีกเหตุผลก็คือ มันเป็นดอกไม้ที่ทำให้เธอรู้จักกับจินตนาการซึ่งเธอก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร เป็นไปได้ว่าจินตนาการที่เกิดขึ้นเริ่มขึ้นจากการที่พ่อพาเธอไปชมภาพยนตร์เรื่องบลูฮาวายที่มีนักร้องเอลวิส เพรสลีย์ หนุ่มรูปหล่อคนดังเป็นพระเอกค่ะ
การได้ย้ายจากโรงเรียนประจำมาอยู่บ้าน ทำให้เด็กน้อยมีความสุขมาก พ่อและแม่ย้ายกลับมาอยู่บ้านกับเธอด้วย เพียงแต่ว่า พ่อนั้นจะไม่ได้อยู่ด้วยหลายๆวัน พ่อจะกลับมาบ้านเดือนสองเดือนครั้งแล้วก็เดินทางต่อไป ตอนนั้นพ่อยังทำงานเหมืองแร่อยู่ หน้าที่ที่ทำก็คือ สำรวจหาที่ดินสำหรับขอสัมปทานเปิดทำเหมืองแร่ซึ่งมีลุงซึ่งเป็นพี่ชายคนที่สองเป็นนายทุนค่ะ ชีวิตของพ่อจะอยู่ป่ามากพอๆกับอยู่ในเมืองค่ะ เวลาที่พ่อกลับบ้าน เด็กน้อยจะมีความสุขมาก เพราะพ่อจะพาเธอและแม่ไปเที่ยวชายทะเลบ้าง ขับรถไปในที่ต่างๆบ้าง และพ่อคือคนสำคัญที่พาเธอไปดูภาพยนตร์ค่ะ ภาพยนตร์ที่พ่อพาเธอไปดูจะเป็นประเภทแฟนทาสติกส์ ตำนานปรัมปรา เรื่องของอาณาจักร ทั้งหนังฝรั่งและหนังจีน จิปาถะค่ะ และบางครั้งพ่อยังหนับหนุนให้เธอไปดูลิเกได้อีกด้วย
เวลาปิดเทอม พ่อจะไม่กลับบ้าน แม่จะเป็นผู้ขนนำเด็กน้อยและพี่ชายไปหาพ่อ ชีวิตช่วงปิดเทอมของเด็กน้อยจึงไปโลดแล่นอยู่ในพื้นที่ชนบทที่รอบตัวคือหมู่บ้านชาวบ้านที่มีป่าล้อมรอบ มีลำธารให้เป็นที่อาบน้ำ มีต้นไม้ไว้ให้ปีนป่าย มีแมลงไว้ให้เรียนรู้อย่างตื่นตาตื่นใจ การไปใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองทำให้เธอได้รู้จักกับปลิงและทาก และสนุกกับการลองเบื่อให้ปลิงและทากมันอ่อนแรงด้วยก้นบุหรี่ที่เก็บมาจากพื้นใส่ลงไปในน้ำแล้วจับดึงปลิงและทากที่ติดมากับตัวตอนไปเที่ยวเล่นริมหนองน้ำใส่ลงไป มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเด็กน้อยค่ะ มีอย่างที่ไหนใส่ปลิงที่ยึกยือๆอยู่ลงไปในน้ำไม่นาน มันก็ตัวแข็งทื่อหยุดเคลื่อนไหวไปเลย ฉันรับรู้ว่าในตอนนั้นเธอไม่เข้าใจคำว่าบาป และไม่รู้จักเลยว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่พึงงดการกระทำที่ศีล 5 ได้พร่ำสอนไว้
การเข้าไปอยู่ที่เหมืองตอนปิดเทอมนี้ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่อยู่ที่ลำบากเลย เธอไม่เบื่อบรรยากาศแห่งการใช้ชีวิตที่นี่เลย ทั้งๆที่รอบๆตัวมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า และเรือนนอนที่คนเหมืองเขาเรียกว่ากงสี ฉันคิดว่าที่เธอไม่รู้สึกอะไรนั้นเป็นเพราะว่า ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เธออิ่มเอมไปด้วยความสุขกับการเรียนรู้ ที่นี่เป็นที่ที่เธอมีเพื่อนเล่นที่ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรที่แปลกออกไป เธอแอบซนไปปีนต้นไม้กับเพื่อน ปีนขึ้นไปจนถึงยอดไม้ซึ่งสูงจากพื้นเท่ากับตึกสองชั้นและตกลงมา โชคดีที่ตกลงมาค้างตรงกิ่งล่างให้ใจสั่น ขาสั่นเล่น ถ้าตกลงมาถึงพื้นดินคงเจียนตาย ชีวิตคงไม่รอดผ่านมาจนถึงอายุปูนนี้หรอกค่ะ การมาอยู่ที่นี่ทำให้เธอได้รู้จักการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายอย่างชาวบ้าน กินอยู่ง่ายๆได้สบายๆ นั่งกินข้าวบนพื้นดินพื้นทรายได้ เล่นดินเล่นทรายเป็น นอนและเล่นอยู่ในบ้านที่ฝาทำด้วยไม้ได้โดยไม่รู้สึกว่าแปลกแยกกับมัน นอนหลับสบายบนเตียงผ้าใบโดยไม่มีฟูกได้
บทเรียนรู้จากชีวิตจริง
ในขณะที่ผู้ใหญ่รู้สึกว่า การทำเปิ่นของเด็กเล็กเป็นเรื่องน่าเอ็นดู เด็กกลับคิดว่านั่นคือการตำหนิโดยเฉพาะการนำเรื่องของเขาไปเล่าให้ใครฟังซ้ำๆอย่างขำขัน โดยเฉพาะการเล่าให้พ่อและแม่ของตนฟัง โดยไม่บอกเหตุผลของการหัวเราะ
เด็กที่ถูกทิ้งไว้ลำพังหรือฝากให้อยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ จะมีความรู้สึกไม่มั่นคงในใจ รากฐานที่เพาะเชื้อความกลัวในใจได้เกิดขึ้นในตัวเขาทันที
ภาพพ่อและแม่ที่อยู่ในจินตนาการนั้น เลิศเสมอสำหรับเด็ก ความเป็นเด็กทำให้ไม่เคยกังขากับมันเลย
พ่อคือคนสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง และเติมเต็มจินตนาการของเด็ก
เด็กชอบเล่นดิน เล่นทราย ปีนต้นไม้ ได้เห็นสิ่งมีชีวิตรอบตัวที่แปลกตา แค่ได้ทำสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นอิสระก็เป็นสุขยิ่งแล้ว
Keywords : ผู้ใหญ่คือคนที่สอนให้เด็กถักทอเสื้อผ้าที่มองไม่เห็นมาใส่คลุมกาย
พี่หมอเจ๊เหมือนผมเลย เพราะพอย้อนอดีตไปแล้วมันผุดขึ้นมาเรื่อยๆ นี่ขนาดพี่เหมอเจ๊เล่าเฉพาะเป็นเด็กประถม ยังไม่ถึงมัธยมเลย อิอิ
พี่หมอเจ๊ไปเรียนที่ท้ายเหมือง ใช้ที่โรงเรียนศิริราษฎร์ หรือเปล่าครับ
ตามมาอ่านอีกค่ะ
.....^_^.....
แม่ของน้องบอกว่า... ก่อนจะไปข้างหน้า ให้ลองเหลียวหลังดูอดีตสักหน่อย ...
อดีตคงบอกได้ว่า เราคือใคร กำลังทำอะไร และควรจะทำอะไรต่อไป...ใช่ไหมคะ
(^__^)
อ่านทีไร ก็ปลี้มไปทุกครา นะหมอเจ๊
รอติดตามตอนโรมานซ์ครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
เล่าได้ละเอียดและมีอรรถรสมากเลยค่ะ เรียบเรียงความทรงจำได้เป็นลำดับ ทำให้สนุกไปด้วยค่ะ ทำให้นึกถึงความสุขของกะทิ อยากรู้จังว่าจะไปจบลงตอนที่เท่าไหร่ ที่จะหล่อหลอมออกมาเป็นแบบอย่าง..อย่างนี้
อิอิ... มาแอบดูปอกเปลือก อาจารย์หมอเจ๊ ค่ะ
ขอให้ Happy Ending นะคะ
ทำไม มีแต่เรื่องชวนติดตามนะ
+ สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊ คนสวย...
+ อ่านอย่างเพลิดเพลิน...สนุก...มารู้สึกตัวอีกทีก็เจอ Keywords
+ อ๋อยก็ชอบนึกถึงเรื่องราวความหลังบ่อย ๆ ค่ะ...โดยเฉพาะช่วงเด็ก ๆ
+ ทั้งนี้เพราะแอมแปร์สาวน้อยกำลังเด็กค่ะ...แม่อย่างอ๋อยเลยคิดถึงความหลังว่าครั้งเรายังเด็กเราคิด รู้สึก เช่นไร...
+ เพื่อนำมาปรับใช้กับการเลี้ยงดูแอมแปร์ค่ะ...
+ ขอบคุณมากค่ะที่นำเรื่องราวที่แฝงข้อคิดมากมายให้แม่อย่างอ๋อยค่ะ...
+ หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...