การเดินทางเที่ยวล่าสุด ตอน ดอยสุเทพ


ด้วย นึกย้อนกลับอีกครั้งจากครั้งแรกผมมาที่นี้กับคุณพ่อและคุณแม่ผม จนถึงครั้งนี้ ผมมาลูกๆและภรรยาของผม วันหนึ่งข้างหน้าผมคงได้มีโอกาสมากับหลานๆของผมแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่รู้จะมีอะไรเปลี่ยนปลงให้เขียนถึงได้อีก

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ กลับมานั่งเขียนบันทึกการเดินทางอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานมาก ได้แต่ไปร่วมเดินทางโดยการเข้าไป comment ตามบันทึกต่างๆของเพื่อนๆในเวป

วันนี้อยากเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวครั้งล่าสุดเมื่อปิดเทอมเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง ตอนแรกนี้คงให้ชื่อตอนว่า การเดินทางสู่ดอยสุเทพ ปกติแล้วดอยสุเทพที่เชียงใหม่ถือเป็น หนึ่งในแลนด์มาร์คอันดับต้นๆของเมืองเชียงใหม่เลยทีเดียว อาจจะนับเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คอันดับต้นๆของภาคเหนือเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวคิดว่าทุกคนที่เคยไปเชียงใหม่ครั้งแรกๆจะต้องได้ขึ้นไปไหว้สักการะพระธาตุดอยสุเทพทุกคนเลย แต่คิดว่าส่วนใหญ่คงได้นั่งรถขึ้นไปซะมากกว่า

ผมขอย้อนอดีตไปนิดหนึ่ง ผมไปดอยสุเทพครั้งแรกนั้นน่าจะอายุซัก 10 ขวบไปเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ สมัยนั้นยังไม่มีรถรางไฟฟ้าขึ้นไปเลย ทุกคนต้องเดินขึ้นบันไดหมด เวลาลงก็ต้องลงบันไดเหมือนกัน ตอนนั้นมีความคิดว่าบันไดอะไรเนี้ยทำไมมันถึงได้สูงขนาดนี้ กว่าจะขึ้นไปถึงเล่นเอาขาสั่นและก็เหนื่อยสุดๆ แต่เวลาลงนี้ซิแทบหัวขะมำตามแรงดึงดูดของโลกเลย เพราะขามันล้าแล้ว พูดถึงเรื่องบันได อยากจะนอกเรื่องนิดหน่อยคือ วันก่อนดู ASTV ช่วงสนทนาธรรม ได้ฟังท่านจันทน์พูดว่าคนเราต้องมองอุปสรรคให้เหมือนเห็นบันได อย่าไปมองอุปสรรคเป็นกำแพง ประโยคนี้โดนจริงๆ เลย

ความเชื่อมโยงของคำว่า บันได ในตอนการเดินทางไปดอยสุเทพของผม กับ บันไดของท่านจันทน์ในตอนหลังนี้ ก็คือ ความลำบากและการเอาชนะอุปสรรค เราค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ เปรียบเหมือนกับการแก้ไขปัญหาทีละเปลาะๆ สุดท้ายเมื่อเราขึ้นถึงขั้นสุดท้ายของพระธาตุเราก็ได้ชื่นชมความงดงามขององค์พระธาตุ และทิวทัศน์โดยรอบ ตรงนี้ก็เปรียบเหมือนกับการเอาชนะอุปสรรคต่างๆของเรา และเราก็ดื่มด่ำกับความสำเร็จที่เราได้รับจากการชนะอุปสรรคต่างๆมา ดังนั้นเราทุกคนต้องอย่าท้อต่ออุปสรรคครับ นอกเรื่องไปไกลเลย ขอดึงกลับมาหน่อย หลังจากทริปแรกตอนเป็นเด็กก็ได้มีโอกาสไปดอยสุเทพอีกหลายครั้ง ได้เห็นสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถรางไฟฟ้า ที่จะพาคุณขึ้นสู่ชั้นบนเพียงชั่วระยะเวลาแค่ 5นาที ถามว่าดีไหม ตอบว่า ดี เพราะไม่เหนื่อยและไม่เมื่อย ดีต่อการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวที่เป็นสมาชิก สว. (สูงวัย) มีเยอะเหลือเกิน ที่อยากจะขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ซักครั้งหนึ่งในชีวิตตามวิถีแนวทางความเชื่อของชาวพุทธ ตรงนี้ขอหยุดนิดหนึ่ง อยากจะฝากไว้ตรงนี้ว่า รถรางไฟฟ้าที่พาเราขึ้นพระธาตุ น่าจะเป็นเหมือนกับหนังสือ HOW TO หรือธุรกิจประเภท Francise ทั้งหลาย ที่ทุกคนที่อยากจะประสบความสำเร็จในวิชาชีพนั้นๆต้องการเรียนลัด อันนี้ฝากเอาไว้ให้คิดกันใครเห็นต่างก็ comment เข้ามาแลกเปลี่ยนกันครับ

กลับมาถึงทริปล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม๕๑ที่ผ่านมานี้เองได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเชียงใหม่อีกครั้ง ก็ไปกันกลุ่มใหญ่เลยมีครอบครัวของพี่ชายภรรยาผมด้วย พ่อตาและแม่ยายผมด้วย นึกย้อนกลับอีกครั้งจากครั้งแรกผมมาที่นี้กับคุณพ่อและคุณแม่ผม จนถึงครั้งนี้ ผมมาลูกๆและภรรยาของผม วันหนึ่งข้างหน้าผมคงได้มีโอกาสมากับหลานๆของผมแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่รู้จะมีอะไรเปลี่ยนปลงให้เขียนถึงได้อีก

ครั้งนี้มีกิจกรรมอันหนึ่งซึ่งไม่เคยนึกว่าจะทำแต่ก็ได้ทำ คือ การเดินเท้าขึ้นดอยสุเทพ ตั้งแต่ตีนดอยครับไม่ใช่เดินขึ้นบันได ระยะทางเบ็ดเสร็จก็ราวๆ 12 กม. เรื่องมันมีอยู่ว่า พี่ชายของภรรยาเค้าจะไปเดินขึ้นดอยสุเทพเป็นการแก้บน ผมก็เลยอยากทดสอบสมรรถนะของร่างกายตัวเองดู และจะได้เดินเป็นเพื่อนพี่เค้าด้วย ก็เลยเริ่มเดิน เดิน เดิน

เราเริ่มด้วยการไหว้สักการะครูบาศรีวิชัยที่ตีนดอยกันก่อน ฤกษ์ดีของวันนี้คือ ท้องฟ้าปิด มีเมฆมาก แดดไม่เห็นเลย เมื่อคืนก่อนหน้าก็มีฝนตกลงมาทั้งคืน ทำให้วันนี้อากาศเป็นใจ ไม่ร้อน และไม่มีฝนด้วย เมื่อเริ่มออกเดินทางตั้งใจเอาไว้ว่าน่าจะใช้ประมาณซัก 1-2 ชั่วโมงน่าจะเรียบร้อย ก็เดิน เดิน เดิน ถือน้ำกันคนละขวด โอ้โห ขึ้นเขาตลอดเส้นทาง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเพิ่งจะได้แค่ 4 กม.เอง ระหว่างการเดินก็เห็นมีคนขี่จักรยานขึ้นไปก็มี ลงมาก็มี มีกลุ่มวัยรุ่นขี่รถเวสป้าลงมาจากข้างบนด้วย คาดว่ากลุ่มนี้น่าจะขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนเมื่อคืน ความรู้สึกในช่วงแรกก็ไม่รู้สึกอะไร เหมือนการเดินเท้าธรรมดาเพราะโดยส่วนตัว เป็นคนที่ชอบเดินอยู่แล้ว การเดินให้ความรู้สึกที่ดีๆ เยอะแยะเลย ให้เราสังเกตหลายๆอย่างรอบตัว และมีเวลามากพอที่จะคิดทบทวนสิ่งต่างๆที่เราพบเห็นในระหว่างทาง  ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่เดิน ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าแล้วเริ่มบรรจุข้อมูลใหม่ๆที่เราได้พบเห็น สูดอากาศที่บริสุทธ์สองข้างทาง มีบางช่วงที่แดดออกและเริ่มร้อน ก็ตั้งจิตอธิษฐานถึง

ครูบราศีวิชัย ถึงวัตถุประสงค์และขอให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆได้ และขอให้แดดหุบด้วย ก็ปรากฏว่าแดดหุบจริงๆ เออ ก็แปลกดี แล้วก็เจอเรื่องแบนี้อีกตอนปลายของการเดิน ปรากฏว่าเกิดฝนตกลงมา เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ที่หลบฝนก็ไม่มี ก็ก้มหน้าเดินต่อไป และตั้งจิตอธิษฐานอีก แค่ไม่ถึง 3นาทีฝนก็หยุดตกเลย เป็นความอัศจรรย์จริงๆ นี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกถึงอัศจรรย์แบบนี้ ความเหนื่อยล้าที่มากที่สุดเห็นจะเป็นตอนช่วงกิโลที่ 9 นี้แหละรู้สึกแบบว่าอยากจะหยุดเดินแล้ว ไม่ไหวแล้ว ขามันล้ามากๆแล้ว แต่จิตใจสั่งว่าต้องเดินต่อไปตามที่เราตั้งเป้าไว้ ต้องไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคต่างๆ รู้ตัวดีว่าถ้าขืนหยุดเดินในช่วงนี้เพื่อพักจะเดินต่อไม่ได้แน่ๆ ก็เลยบอกพี่ชายภรรยาว่าไม่หยุดแล้วใส่ยาวเลย จนสุดท้ายก็เห็นป้ายยินดีต้อนรับข้างหน้า แต่ที่เห็นถัดออกไปอีกก็คือโค้งหักศอกอันสุดท้ายที่โคตรชันและยาวเลยซึ่งเราต้องผ่านไปให้ได้ถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง แต่ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จ เมื่อถึงจุดข้างบน ก็บอกพี่ชายภรรยาว่าขอขึ้นรถรางไฟฟ้าแล้วหน่ะ เพราะขามันไม่ให้แล้วหล่ะ ถ้าให้เดินต่อเป็นทางลาดขึ้นอาจจะพอไหว แต่ขึ้นบันไดไม่ไหวแน่ๆ พี่เค้าก็โอเค เพราะเค้าก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ขึ้นไปถึงก็ไหว้พระธาตุ ตั้งจิตอธิษฐานถึงครูบราศรีวิชัย ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือให้ภารกิจนี้ประสบความสำเร็จ ได้เห็นเด็กนักเรียนมาเล่นดนตรีไทยให้นักท่องเที่ยวฟัง และมีกล่องรับบริจาคอยู่ ก็เลยบริจาคเงินเล็กๆน้อยๆให้น้องๆเหล่านั้นเป็นทุนการศึกษา ขากลับก็นั่งรถสองแถวลงมา มาเอารถและขับเข้าเมืองไปร้าน เพ็ญ เจ้าอร่อยและเจ้าประจำไปหาขนมจีนน้ำเงี้ยวและอาหารเมืองกิน ตรงนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าเครื่อง GPS ช่วยนำทางให้เรา 

สรุปเบ็ดเสร็จใช้เวลาเดินประมาณ 2ชั่วโมง 50นาที ตีคร่าวๆว่า 3 ชั่วโมง ก็รู้สึกดีมากๆ ตรงที่เราทำอะไรประสบความสำเร็จและรู้สึกว่าร่างกายเรายังโอเคอยู่ และรับรู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งอัศจรรย์อยู่ซึ่งไม่สามารถตอบได้ว่าคืออะไร และ เราคงต้องปรับตัวเราเองให้ได้กับทุกสภาวะ บางครั้งเราก็ต้องใช้หนังสือ HOW TO บ้าง เหมือนกับที่ต้องขึ้นรถรางไฟฟ้านั่นแหละ โดยปกติแล้วผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือประเภทนี้เลย โดยเฉพาะช่วงหลังๆนี้มันเยอะซะจนเห็นแล้วรู้สึกว่า คนเดียวนี้มันจะเป็นเหมือนกันหมดแล้ว พิมพ์ออกมาจาก Block เดียวกันเลย พูดถึงเรื่องนี้จะมีอะไรมาเล่าต่อจากการได้ไปเดินชมนิทรรศการ รอยยิ้มสยาม ที่หอศิลป์กรุงเทพ ในบันทึกฉบับต่อไปครับ

คำสำคัญ (Tags): #ดอยสุเทพ#บันได
หมายเลขบันทึก: 221744เขียนเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2008 14:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 15:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เดินกัน 2 คน หรือว่าเอาคุณนน? คุณหนุน เดินด้วยครับพี่

แน่มาก

เดินกันแค่สองคนกับพี่ชายคุณดี้ครับ

ตอนแรกคุณดี้ว่าจะเดินด้วยแต่ผมรีบตอบปฏิเสธทันทีเพราะว่าคุณเธอเล่นใส่รองเท้าเดินชายหาด (ฟองน้ำรัดส้น)ผมก็เลยจำเป็นต้องบอกปัดการเข้าร่วมของคุณเธอไป และอีกอย่างไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลเด็กๆด้วย

เอ!หรือว่าคุณหมอจะพา 1ป &2จ ไปเดินขึ้นดอยสุเทพด้วย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท