Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ธรรมะใกล้ตัว : คนฉลาดสร้างได้


ช่วงนี้นักเรียน นักศึกษาหลายคนกำลังวุ่นวายกับการเรียนในช่วงเปิดเทอมใหม่ และนักเรียนอีกหลายคนกำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา  เป็นการเตรียมพร้อมหลังเรียนจบ  จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารเด็กสมัยนี้นะคะ  เกิดมากับการแข่งขันที่สูงมาก  ต้องเรียนหนังสือมากมาย  กวดวิชามาตลอด  เพื่อเสริมสร้างความรู้  พัฒนาตนเองให้เป็น คนฉลาดเป็นคนเก่งกว่าคนอื่น  หลายคนต้องเข้าสอบหลายครั้ง  กับหลายสถาบัน  เพื่อจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง  และเพื่อความภาคภูมิใจของคุณพ่อ  คุณแม่และครอบครัว  เพราะเราเชื่อว่า  ความรู้เหล่านี้ ทำให้เรามีปัญญา  มีความฉลาดมากพอที่จะเลือกเรียน เลือกงาน เลือกเงินเดือน  และเลือกใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายได้  นั่นเป็นวิถีทางของชีวิตที่เราคิดว่า  นั่นคือ ความสุข  นั่นคือ ความสำเร็จ    แน่ใจหรือค่ะว่าที่เราคิดน่ะ  มันเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว

  พี่น้องค่ะ วันนี้เรามารู้จักความฉลาดที่แท้จริง  เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็น คนฉลาด” จริงๆที่จะนำทางเราให้ไปสู่ทางสว่างกันนะคะ

 ฉบับที่ ๐๒๕ พฤหัสบดีที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๐  จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว

 เชื่อไหมคะว่า ที่เคยนึกว่าตัวเองเข้าใจความหมายของคำว่า "ฉลาด" มาโดยตลอด

จริง ๆ ก็เพิ่งจะมาเข้าใจคำว่า ฉลาด อย่างแท้จริง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ...

 เมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนที่เพิ่งรู้จักกับธรรมะใหม่ ๆ ยังไม่ใกล้ตัวนัก : )

ได้รู้จักพี่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวที่มีทั้งความสามารถสูง และทั้งพราวเสน่ห์ในคนคนเดียว

จำได้ว่า เล่าถึงพี่คนนี้ ให้พี่ทางธรรมที่เคารพนับถือท่านหนึ่งฟังว่า

พี่คนนี้นั้นทั้งเก่ง ทั้งวิเคราะห์เชื่อมโยงอะไรได้แหลมคม มีไหวพริบ รู้จักผู้ใหญ่ รู้ใจลูกน้อง

ขณะเดียวกัน ก็ใช้คุณสมบัติของความเป็นคนพราวเสน่ห์ที่ได้ติดตัวมาแต่เกิด

เป็นลูกล่อลูกชน ช่วยให้อะไร ๆ สำเร็จอย่างใจได้อย่างง่ายดาย ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว

 แค่รู้สึกสะอึกนิดหนึ่งก็ตรงที่ อยู่ ๆ วันหนึ่ง ก็ถูกพี่เขายิงคำถาม

ผ่าอากาศและสายตาของผู้ร่วมสนทนาในวงอีกสี่ห้าคู่ ตรงเข้ามาหาเราว่า

"ถามจริง ๆ ... ทำไมต้องทำตัวเป็นคนดีด้วย จริง ๆ แล้วก็อยากเป็นเหมือนพวกเราใช่ไหม...

อยากเฮฮา อยากเหมือนพวกเรา แล้วทำไมต้องพยายามทำตัวให้ดูเป็นคนดีด้วย"

ขยายความง่าย ๆ ว่า ทำไมเราต้องทำตัวเป็นนางฟ้า

ไม่ว่าร้ายใคร ไม่พูดคำหยาบ ไม่ร่วมสุมไฟในวงเมาท์ ผับบาร์ไม่เอา เหล้าไม่แตะ ฯลฯ

ซึ่งตอนนั้น ด้วยความที่ยังอยู่ในวัยใสซื่อ มันก็มีลักษณะของความเป็นคนเรียบร้อย

ที่ดีแสนดีจริง ๆ นั่นล่ะค่ะ (แต่ตอนนี้ ถึงโตขึ้นแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายนะคะ...) : )

พี่เขาไม่ได้เป็นคนร้ายหรอกค่ะ แต่คิดว่าเขาถามด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจเราจริง ๆ

 ตอนที่เล่าให้พี่ทางธรรมท่านนั้นฟัง ก็ตบท้ายความเห็นให้พี่เขาฟังไปว่า

จริง ๆ แล้ว ในความรู้สึกเรา "พี่คนนี้เขาเป็นคนที่เก่งมาก ๆ แล้วก็ฉลาดมาก ๆ นะคะ"

 พี่เขานิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นมาเหมือนไม่เข้าใจเราจริง ๆ อีกคน ว่า

"ฉลาดยังไง...?" (เอ่อ.. อึ้ง... ก็...)  "อย่างนี้พี่ไม่เรียก ฉลาด นะ"

คำพูดง่าย ๆ แค่นั้น แต่จำได้ว่ารู้สึกเหมือนถูกกระตุกวาบราวกับมีสายฟ้าแลบแปร๊บในใจ

 

ตกลง "ความฉลาด" คืออะไร?

 

ยังมีชีวิตจริงของคนอีกคนหนึ่งที่อยากพูดถึง ซึ่งขออนุญาตไม่เอ่ยนามเช่นกันนะคะ

ชายคนนี้เป็นหนุ่มที่หัวไว เรียนเก่ง ได้ทุนจากบริษัทไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ

ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง และด้วยความสามารถและคุณสมบัติอันน่าทึ่งหลายประการ

ก็ทำให้เขาก้าวหน้าในหน้าที่การงานชนิดก้าวกระโดด เร็วกว่าคนวัยเดียวกันหลายเท่า

คือด้วยวัยเพียงสามสิบต้น ๆ เขาก็ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับประเทศแล้ว

แต่สิ่งที่ตามมาพร้อมกับอำนาจวาสนาบารมีก็คือ...

เขาเริ่มถูกเอาใจด้วยการที่พรรคพวกพาไปเที่ยวกลางคืน เริ่มดุด่าว่าลูกน้องอย่างเอาแต่ใจ

เริ่มมีสัมพันธ์ลับกับเลขาสาวโดยที่ภรรยาไม่รู้ เริ่มยักยอกเอาเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว ฯลฯ

ใช้ชีวิตชนิดกลับตาลปัตร อย่างที่เรียกได้ว่า กลับขาวเป็นดำ

แต่ความลับย่อมไม่มีในโลก วันหนึ่ง ความจริงทั้งหมดก็ถูกเปิดเผย...

แล้วหน้าที่การงานที่เคยรุ่งเรืองก็กลับพลิกผันหมดสิ้น ในทีสุด เขาก็ต้องออกจากบริษัท

และหย่ากับภรรยา แม้ผันไปทำกิจการส่วนตัว ก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ต้องอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว

ถูกเพื่อนฝูง ลูกน้อง เจ้านายเก่า มองด้วยสายตาที่ไร้การให้เกียรติและปราศจากความไว้วางใจ

ต้องอยู่กับความรู้สึกผิด และความรู้สึกที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาด้วยความภาคภูมิใจได้อีกต่อไป

และแน่นอนว่า เมื่อถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผล สิ่งที่ได้รับย่อมไม่ได้จบเพียงเท่านี้แน่นอน

ใบปริญญา ความรู้ ความสามารถทั้งหมด ย่อมไม่สามารถช่วยเขาได้เลย

 

ความรอบรู้ ความหลักแหลม ความสามารถในการคิดอ่าน ปฏิภาณไหวพริบ

จะเรียกว่าเป็นความ "ฉลาด" ได้อย่างไรเล่าคะ

ในเมื่อหากมีมากแล้ว มันกลับทำให้ชีวิต มืดลง

 เรายังเห็นดอกเตอร์ที่หน้าตาเศร้าหมองเพราะปัญหารุมเร้ารอบตัว

เรายังเห็นคนที่ร่ำเรียนมาสูง ๆ ฆ่าตัวตาย

เรายังเห็นคนที่อยู่ในสาขาวิชาชีพที่ทรงเกียรติ ผันตัวไปนั่งอยู่ในคุกในตารางได้ ฯลฯ

 

ทำไมสิ่งที่เรียกว่า "ความฉลาด" ที่คนเหล่านี้มี

จึงไม่ช่วยให้เขารู้จักคิด และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เลย?

 

สิ่งที่ขาดหายไป และสำคัญยิ่งกว่า คือ ปัญญา อันได้แก่ ปัญญาในการเห็นชอบ

ปัญญารอบรู้ในการที่จะนำชีวิตไปสู่ความเจริญ อันเป็นด้านสว่างได้ นั่นเองค่ะ

 

ความฉลาดหรือความเก่งทางโลกนั้น เมื่อได้เป็นคุณสมบัติแห่งตน ก็ย่อมเป็นทุนชีวิตที่ดีนะคะ

แต่ใครจะรู้ว่า ถ้าขาดความฉลาดในการใช้ชีวิต อย่างเข้าใจกติกาของธรรมชาติ

คือหลักของกรรมวิบาก เสียอย่างเดียวแล้ว ชีวิตก็อาจเหวี่ยงตัวขึ้นสูง

แล้วพลัดลงต่ำอย่างไม่เป็นท่าได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่ากลัว

ราวกับมีความฉลาดนี่แหละ เป็นหลุมพรางหลอกล่อให้เรายิ่งเดินหลงทิศหลงทาง

ถลำเข้าไปในวงเวียนแห่งการลื่นไหลลงต่ำอย่างง่ายดายยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัวได้ด้วยซ้ำไป

 เพราะจริง ๆ แล้ว ก็คนฉลาดแบบที่ว่านี่แหละค่ะ

ที่ดูเหมือนจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวโลกมากกว่าคนสติปัญญาธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ

เรียกว่าความฉลาดนั้น เอาไปใช้ในทางดีก็มีคุณอนันต์ เอาไปใช้ทางเลวร้ายก็มีโทษมหันต์

 ความฉลาดรอบรู้ และความสามารถของเรานั้น ไม่ว่าจะในสาขาอาชีพใดก็ตาม

อาจนำมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็ได้ ใช้เพื่อทำลายคนอื่นก็ได้

ใช้เพื่อดึงชีวิตตัวเองให้สูงขึ้น ฉุดรั้งตัวเองให้รูดกราวลงต่ำ

หรือจะคิดเผื่อแผ่ในวงกว้างเพื่อทำประโยชน์ให้เกิดแก่คนหมู่มากก็ได้ทั้งนั้นนะคะ

 

หากเรารอบรู้และมีความสามารถเรื่อง คอมพิวเตอร์  เก่งเกินใคร

เราอาจใช้ความฉลาดนั้น คิดค้นไวรัสตัวฉกาจ วางแผนโจรกรรมแบบแฮ็กเกอร์ระดับชาติ

หรือเราอาจใช้ความฉลาดนั้น คิดสร้างคลังข้อมูลและระบบค้นหาพระไตรปิฎกออนไลน์

ทำเว็บให้คนดาวน์โหลดธรรมะจากครูบาอาจารย์ผ่านอินเตอร์เน็ทได้ทั่วโลกอย่างง่าย ๆ

หรือสร้างคอมมูนิตี้ออนไลน์รองรับการเสวนาธรรมอันถูกตรงจากผู้คนทั่วสารทิศก็ได้

 หากเรามีความรู้ความสามารถในการ ผลิตสื่อและทำรายการโทรทัศน์

เราอาจใช้ช่องทางความสามารถนั้น ผลิตรายการตอบสนองความต้องการของตลาด

แบบที่ดูสนุกสะใจ พร้อมยั่วยุกามกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ในใจคนไปในทุกฉากทุกตอน

หรืออาจคิดทำรายการสร้างสรรค์ ชี้นำให้คนได้รู้จักเส้นทางของความดีงาม

กระตุ้นกระแสความดีที่หายไป โดยนำเสนอในรูปแบบใหม่ชวนสนุกแบบไม่มีใครเคยทำก็ได้

 หากเรามีความสามารถในการ ใช้เสียงร้องเพลง ด้วยน้ำเสียงและท่วงทีอันมหัศจรรย์

เราอาจใช้ความสามารถนั้น ตบแต่งตัวเองเป็นนักร้องเซ็กซี่ยั่วยวน ชวนให้ผู้คนติดใจใหลหลง

หรืออาจใช้เสียงอันกังวานน่าฟังนั้น ป่าวประกาศธรรมะในรูปแบบใหม่ ชวนให้ผู้คนหันมาฟัง

สิ่งที่เป็นทางควรดำเนิน ผ่านซีดี รายการทีวี หรือรายการวิทยุ ในแบบที่เข้ากับยุคสมัยก็ได้

 ตัวอย่างอาจมีได้มากมายบรรดามีในทุกสาขาวิชาชีพ อยู่ที่เราคิดจะมอง คิดจะทำ

แต่ก็น้อยคน ที่จะได้ใช้ความฉลาด ความสามารถที่มีอยู่นั้น

เพื่อความสว่างยิ่งขึ้นแห่งตน และความสว่างยิ่งขึ้นแห่งผู้อื่น

เพราะเรามักจะถูกสอนให้คิดแต่เอาประโยชน์เข้าตัว ใช้ความรู้ความสามารถในการทำเงิน

และไม่เคยเข้าใจกันจริง ๆ จัง ๆ ว่า สิ่งใดทำแล้วเป็นประโยชน์ สิ่งใดทำแล้วเป็นโทษ

 

เพราะคนเราเกิดมาด้วยความ "ไม่รู้"

เมื่อรับผลอันเป็นวิบากด้านดี ทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ ชาติตระกูล เงินทอง รูปลักษณ์ ฯลฯ

เราก็ไม่เคยจำได้หรือกระทั่งใส่ใจว่า ในอดีตเราได้สร้างเหตุอันเหมาะควรแก่ตัวเองไว้อย่างไร

เมื่อขาดปัญญาเห็นชอบ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหมือนเครื่องปรนเปรอให้เราหลงเหลิงระเริงใจ

แล้วทำกรรมใหม่อันเป็นขั้วตรงข้าม เพียงเพื่อจะไปรับผลอันเป็นวิบากด้านลบในช่วงชีวิตต่อไป

ต่อเมื่อสำนึกได้ กลับตัวกลับใจสร้างกรรมดีอันใหม่ จึงจะสามารถกลับมาเสวยผลดีได้อีกครั้ง

 

เหมือนดีแล้วเหลิง เหลิงแล้วจึงลงต่ำ ต่ำแล้วจ๋อย จ๋อยแล้วสำนึก สำนึกแล้วดี ดีแล้วเหลิง ฯลฯ

วนเวียนขึ้นสูงลงต่ำ ลงต่ำขึ้นสูงไม่รู้จบอย่างนี้ ชาติแล้วชาติเล่าอย่างไม่รู้ และน่าเหนื่อยหน่าย

 ก็แล้วอะไรเล่า จะทำให้เราฉลาดพอที่จะรักษาตัวเองให้อยู่บนเส้นทางที่ดีได้ทุก ๆ ชาติ?

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ค่ะว่า แค่เรารู้จักตั้งคำถามและศึกษาหาคำตอบจากผู้รู้จริงว่า

อะไรเป็นบาป อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล

อะไรที่ทำแล้วเป็นโทษ หรือเป็นไปเพื่อต้องทนทุกข์จนสิ้นกาลนาน

อะไรที่ทำแล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือเป็นไปเพื่อความสุขจนสิ้นกาลนาน

เพียงเท่านี้ ก็จะเป็นบ่อเกิดให้เราเป็นผู้ที่มีปัญญามากยิ่งได้แล้ว

 และปัญญาในการเห็นตามจริงเช่นนี้นั้น หากเราน้อมมาสู่ใจ และนำไปประพฤติปฏิบัติ

จนเป็นนิสัยด้วยใจที่ศรัทธาหนักแน่น ก็จะเป็นเสบียงติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติทีเดียวนะคะ

เพราะโดยธรรมชาติแล้วนั้น เราคิดพูดทำอะไรไว้หนักแน่นเป็นอาจิณ

เราก็มักจะเกิดใหม่มีวาสนานิสัยคล้าย ๆ เดิมนั่นเองค่ะ

 เพียงแต่สิ่งที่ควรตระหนักอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีอะไรเป็นประกันได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนะคะ

ว่าเราจะอยู่บนเส้นทางที่ดีไปได้ตลอดกาล หรือการพลาดท่ากิเลสลงต่ำจะเป็นไปไม่ได้อีก

เว้นเสียแต่เราจะหาทางออกจากวังวนแห่งการเกิดตายนี้ได้เท่านั้น.

 จนเมื่อได้คำตอบอันแจ้งแก่ใจจากครูผู้รู้จริง คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ล่ะค่ะ

จึงได้ซึ้งถึงคำตอบที่สงสัยมานานว่า ความฉลาดที่แท้จริงคืออะไร...

 ทราบไหมคะว่า ความหมายของคำว่า "กุศล" นั้น

นอกจากจะแปลว่า สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นบุญ แล้ว ยังมีความหมายที่แปลว่า "ฉลาด" ด้วย

ลองเปิดพจนานุกรม หรือวิกิพีเดีย ดูก็ได้นะคะ : )

ดังนั้น การรู้จักคิด พูด ทำ ในสิ่งที่เป็นกุศล คือมีปัญญาเห็นตามจริงในสิ่งอันชอบ

สิ่งอันนำความสว่างมาให้ชีวิตได้นั่นเอง คือความฉลาดที่แท้จริง

 เพราะฉะนั้น ในทางโลก ต่อให้ใครคนหนึ่งมีดีกรีปริญญาสูงส่งขนาดไหน

ต่อให้เป็นอัจฉริยะข้ามคืน คิดทฤษฎีระดับโลก ประดิษฐ์อุปกรณ์มหัศจรรย์พันลึกชิ้นใหม่ได้

แต่ถ้าเขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เขากำลังทำนั้น เป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษ เป็นกุศล หรืออกุศล

แล้วเผลอไปทำในสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนตนเอง หรือเบียดเบียนผู้อื่นเข้า

ก็ไม่นับว่าเขา "ฉลาด" เลย เพราะผู้ฉลาดที่แท้จริง ย่อมรู้วิธีที่จะนำชีวิตตัวเองไปสู่ทางสว่าง

และไม่ยอมปล่อยชีวิตตัวเองให้ตกต่ำไปสู่ทางที่มืดลงอย่างแน่นอน

 

เราอุตส่าห์เกิดมามีชีวิตที่อยู่บนทางเจริญกันอย่างนี้แล้ว

ได้พบเจอครูผู้รู้จริงอย่างพระพุทธเจ้าแล้ว สร้างเหตุแห่งการเป็นผู้มีปัญญา ไว้เถิดนะคะ

หากเรายังไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งใดเป็นกุศล อกุศล สิ่งใดเป็นบาป เป็นบุญ เป็นคุณ เป็นโทษ

ก็หมั่นศึกษาจากผู้รู้จริงให้แจ้งแก่ใจ แล้วน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติด้วยใจศรัทธา

และอย่าหยุดแค่เพียงนั้น เพราะตราบเท่าที่ยังเวียนเกิดเวียนตายอย่างไม่รู้

ก็ไม่มีอะไรประกันว่าเราจะอยู่อย่างปลอดภัยในสังสารวัฏนี้ได้เลย

 ใช้เวลาที่เหลือของชีวิต เพียรศึกษาหาทางออกจากวังวนอันน่าเหนื่อยหน่ายนี้กันเถิดนะคะ

ความฉลาดแบบนี้ ไม่มีโรงเรียนไหนเปิดสอน ขอเพียงเราศึกษาแผนที่ของพระพุทธเจ้า

จับหลักไว้ให้มั่น ครูของเราอยู่ในกายอันยาววา หนาคืบ กว้างศอก และใจเรานี้เองค่ะ...

หมายเลขบันทึก: 221003เขียนเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 18:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 23:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น
  • สวัสดีค่ะ
  • แวะมาอ่านเรื่องงราวดีดีค่ะ
  • คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่น
  • ถือว่าเป็นภัยทั้งแก่ตัวเองและประเทศชาติค่ะ
  • ขอบคุณนะคะ
นางสาวกัณหา เสริมสินธุ์ 51/11

"ถ้าขาดความฉลาดในการใช้ชีวิต อย่างเข้าใจกติกาของธรรมชาติ

คือหลักของกรรมวิบาก เสียอย่างเดียวแล้ว ชีวิตก็อาจเหวี่ยงตัวขึ้นสูง

แล้วพลัดลงต่ำอย่างไม่เป็นท่าได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่ากลัว"

ขออนุโมทนาค่ะ...

นายศุภวิชญ์ รื่นนาค 51/11

"ฉลาดที่แท้จริง ย่อมรู้วิธีที่จะนำชีวิตตัวเองไปสู่ทางสว่าง

และไม่ยอมปล่อยชีวิตตัวเองให้ตกต่ำไปสู่ทางที่มืดลง"

ขออนุโมทนาครับ

นางสาวสุพิชญา ไวยิ่งยุทธ 51/11

ค่ะ..ขออนุโททนาค่ะ

คนฉลาดที่แท้จริง

ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษา

ในหน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัว

แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความฉลาดทั้งในเรื่องการดำรงชีวิต

การใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความดี มีความสุข บนความจริง

ขออนุโมทนาค่ะ...

นางสาว วรารัตน์ ป่าทอง

คนที่ฉลาดก็อย่าปล่อยให้ชีวิตของเรา

ตกไปสู่หนทางที่ตกต่ำลงนะคะ

และก็ขอหั้ยคิด พูด และทำ

ในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ (^-^)

ขออนุโมทนาด้วยคะ..........

น.ส.ศรสวรรค์ บุญเสียงเพราะ 51/11

สวัสดีคะ

ได้มาอ่านคนฉลาดสร้าวได้แล้ว

ทำให้รู้สึกว่า

คนเราไม่จำเป็นที่จะเก่งหรือฉลาด

มาตั้งแต่เด็กหรอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท