โรคความดันโลหิตสูง
ทุกๆคนต้องมีความดันโลหิต เพราะจะเป็นตัวที่พาเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ดังนั้นทุกคนจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความดันโลหิตและรักษามันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพราะหากความดันโลหิตสูงไปจะทำให้เกิดโรคตามมาอีกมากมายเมื่อหัวใจบีบตัวหัวใจจะบีบเลือดไปยังหลอดเลือดแดงทำให้เกิดความดันโลหิตซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจและแรงต้านทานของหลอดเลือด หัวใจคนเราเต้น 60-80 ครั้งความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัวและลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นกับท่า ความเครียด การออกกำลังกาย การนอนหลับ แต่ไม่ควรเกิน 140/90 หากสูงกว่านี้แสดงว่าคุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคอัมพาต โรคหัวใจเป็นโรคที่มีอัตราตายสูงดังนั้นการป้องกันความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันอัตราการตายจากโรคหัวใจและโรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของทุกท่านเนื่องจากไม่มีอาการเตือนดังนั้นการจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องวัดความดันโลหิต
ความดันโลหิตแค่ไหนจึงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อตรวจร่างกายแล้วว่าความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาทันทีหรือไม่
เมื่อท่านตรวจพบความดันโลหิตสูงถ้าไม่สูงมากอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยา แต่หากสูงมากก็จำเป็นต้องรับประทานยา ตารางข้างล่างจะเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย
ความดันโลหิตที่วัดได้ (mm Hg)* | |||
ความรุนแรงของความดันโลหิต | Systolic | Diastolic | จะต้องทำอะไร |
ความดันโลหิตที่ต้องการ | น้อยกว่า 120 | น้อยกว่า 80 | ให้ตรวจซ้ำใน 2 ปี |
ความดันโลหิตสูงขั้นต้น Prehypertensionl | 130-139 | 85-89 | ตรวจซ้ำภายใน 1 ปี |
ความดันโลหิตสูง | |||
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 Stage 1 (mild) | 140-159 | 90-99 | ให้ตรวจวัดความดันอีกใน 2 เดือน |
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 Stage 2 (moderate) | >160 | >100 | ให้พบแพทย์ใน 1 เดือน |
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่านใหญ่ไม่ทราบสาเหตุเรียก primary หรือ essential hypertension เราสามารถควบคุมความดันโลหิตได้แต่รักษาไม่หายดังนั้นจึงจำเป็นต้องป้องกัน ส่วนที่ทราบสาเหตุเรียก secondary hypertension เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต ยาคุมกำเนิด หากทราบสาเหตุสามารถรักษาให้หายขาดได้
Primary hypertension
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า essential hypertension เป็นความดันโลหิตสูงที่พบมากที่สุดกลุ่มนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักจะพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารเค็ม อ้วน กรรมพันธุ์ อายุมาก เชื้อชาติ และการขาดการออกกำลังกาย
Secondary hypertension
เป็นความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ
ความดันโลหิตต่ำ
ปกติความดันโลหิตยิ่งต่ำยิ่งดีเพราะเกิดโรคน้อย แต่หากความดันโลหิตที่ต่ำทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะ เป็นลมเวลาลุกขึ้นแสดงว่าความดันต่ำไป สาเหตุที่พบได้มีดังนี้
เคล็ดลับในการรักษาความดันโลหิตสูง |
|
ความดันโลหิตสูงในเด็ก
เราไม่ค่อยพบความดันโลหิตสูงในเด็ก แต่เด็กก็สามารถเป็นความดันโลหิตสูงการค้นพบความดันโลหิตสูงตั้งแต่แรกจะสามารถป้องกันโรคหัวใจ โรคไต ดังนั้นเด็กควรที่จะได้รับการวัดความดันโลหิตเหมือนผู้ใหญ่ สาเหตุก็มีทั้ง primary และ secondary พบว่าเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิต หรือบางเชื้อชาติ กลุ่มเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์แนะนำอาหาร และการออกกำลังกาย หากความดันโลหิตไม่ลงจึงให้ยารับประทาน
คนที่เป็นความดันโลหิตสูงสามารถอบ Sauna ได้หรือไม่
คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงสามารถอาบน้ำอุ่นหรืออบ Sauna ได้โดยที่ไม่เกิดผลเสีย ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอก หรือหายใจหอบควรจะหลีกเลี่ยงการอบ Sauna หรือแช่น้ำร้อน และไม่ควรที่จะดื่มสุรา นอกจากนั้นไม่ควรอาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็นเพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ทำไมต้องรักษาความดันโลหิตสูง
เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ แต่โรคความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดโรคแก่ร่างกาย เช่นทำให้หัวใจต้องทำงานหนักอาจจะทำให้เกิดโรคหัวใจวาย โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาต และยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ผู้ที่ไม่ได้รักษาความดันโลหิตสูงจะมีผลดังนี้
แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ประโยชน์จากการลดความดันโลหิต
พบว่าการลดความดันโลหิตจะสามารถลดโรคแทรกซ้อนโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 30-35% และสามารถลดโรคแทรกซ้อนโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้ 20-25% และลดโรคหัวใจวายได้ 50 %
เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์เมื่อมีโรคแทรกซ้อนแล้วเช่น ไตวาย หัวใจวายเป็นต้น การตรวจวัดความดันประจำปีจะช่วยให้เรารักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น การพิจารณาให้การรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่น ระดับความดันโลหิต โรคต่างๆที่พบร่วม ปัจจัยเสี่ยงต่างที่เป็นดังแสดงในตารางข้างล่าง
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ |
โรคร่วมต่างๆที่เป็นอยู่ |
การสูบบุหรี่ |
กล้ามเนื้อหัวใจหนา |
ไขมันในเลือดสูง |
เคยเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ |
โรคเบาหวาน |
เคยผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดหัวใจ |
หญิงอายุมากกว่า 65 ปี ชายมากกว่า 55 ปี |
หัวใจวาย |
อ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 30 |
เคยเป็นอัมพาต |
ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ(หญิงก่อน 65 ชายก่อน 55) |
โรคไต |
ความดันโลหิตสูง |
หลอดเลือดขาตีบ |
ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย |
มีการเปลี่ยนแปลงทางตา |
พบไข่ขาวในปัสสาวะ |
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงและโรคที่พบร่วมก็จะจัดผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
หลังจากท่านได้จัดว่าท่านอยู่ในกลุ่มไหนแล้วก็จะมาพิจารณาว่าจะเริ่มรักษาความดันโลหิตสูงเมื่อใด
ความรุนแรงของความดันโลหิต (systolic/diastolic mm Hg) |
ผู้ป่วยกลุ่ม A |
ผู้ป่วยกลุ่ม B |
ผู้ป่วยกลุ่ม C |
Prehypertension คือผู้ที่มีความดันโลหิต (120-139/85-89) |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม |
การให้ยา +ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม |
Stage 1 (140-159/90-99) |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (จะให้ยาหลังจากปรับพฤติกรรมแล้วเป็นเวลา 1 ปีความดันไม่ลด) |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (จะให้ยาหลังจากปรับพฤติกรรมแล้วเป็นเวลา 6 เดือนแล้วความดันไม่ลด หากมีหลายปัจจัยเสี่ยงต้องรีบให้ยา) |
การให้ยา +ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม |
Stage 2 >160/100 |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม +การให้ยา2ชนิด |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม +การให้ยา |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม + การให้ยา |
แต่ต้องเน้นว่าจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วยเสมอ
ยาลดความดันโลหิต
ผลเสียของยากลุ่มนี้ได้แก่อาการไอพบได้ร้อยละ 20 เมื่อหยุดยา 1-2 สัปดาห์อาการไอจะหายไป หากมีอาการมากให้ใช้ยากลุ่ม ARB drugs แทนกลุ่ม ACE inhibitors นอกจากไอแล้วยังอาจจะทำให้ไตเสื่อมโดยเฉพาะผู้ที่ขาดน้ำ โรคหัวใจ ควรจะต้องติดตามการทำงานของไต ผู้ป่วยอาจจะมีผื่นที่ผิวหนัง ลิ้นไม่รับรส เกลือแร่โปแตสเซียมอาจจะสูงขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไตทำงานไม่ดีควรจะให้ยาขับปัสสาวะที่ขับเกลือโปแตสเซียม
เมื่อใช้ยากลุ่มนี้จะต้องระวังการใช้ยาชนิดไหน
ควรจะระวังการให้ยาขับปัสสาวะที่ทำให้เกลือโปแทสเซียมสูงขึ้นเช่น spironolactone ,moduretic,dyazide หรือการให้เกลือแร่โปแทสเซียม ยาแก้ปวดกลุ่มNSAID โดยเฉพาะ indocid จะทำให้ผลการลดความดันลดลง ผู้ที่เป็นโรคจิตและได้ยากลุ่ม Lithium จะทำให้เกิดเป็นพิษต่อlithium เพิ่ม สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊าและได้รับยา Allopurinol อาจจะทำให้เกิดผื่นแพ้ได้ง่าย
ชื่อยา | ขนาดยา( มิลิกรัม) | ขนาดที่ใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง |
Benazepril | 5,10,20,40 | 20-40/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Captopril | 12.5,25,20,100 | 50-450/วัน วันละ 2 ครั้งถึงวันละ 3 ครั้ง |
Enalapril | 2.5,5,10,20 | 10-40/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Fosinopril | 10,20 | 20-40/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Lisinopril | 2.5,5,10,20,40 | 20-40/วัน วันละครั้ง |
Moexipril | 7.5,15 | 7.5-30/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Quinapril | 5,10,20,40 | 20-80/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Ramipril | 1.25,2.5,5,10 | 2.5-20/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Tandolepril | 1,2,4 | 1-4/วัน วันละครั้ง |
5.ยาอื่นๆ
ขนาดที่ใช้ | ความถี่ของการใช้ | ||
Diuretics | |||
chlorthalidone | Hygroton | 12.5-25 | 1 |
hydrochlorothiazide | Esidrix, Hydrodiuril, Microzide | 12.5-50 | 1 |
indapamide | Natrilix | 1.25-2.5 | 1 |
metolazone | Mykrox, Zaroxolyn | 0.5-1 | 1 |
Loop Diuretic | |||
Furosemide | Lasix | 20-80 | 2 |
Potassium-sparing diuretics | |||
amiloride hydrochloride | Midamar | 5-10 | 1-2 |
spironolactone | Aldactone | 25-50 | 1-2 |
triamterene | Dyrenium | 50-100 | 1-2 |
Combination diuretics | |||
amiloride hydrochloride + hydrochlorothiazide | Moduretic | ||
spironolactone + hydrochlorothiazide | Aldactazide | ||
triamterene + hydrochlorothiazide | Dyazide, Maxzide | ||
Beta blockers | |||
acebutolol | Sectral | 200-800 | 2 |
atenolol | Tenormin,Prenolol | 25-100 | 1 |
betaxolol | Kerlone | 5-20 | 1 |
bisoprolol fumarate | Zebeta | 2.5-10 | 1 |
carteolol hydrochloride | Cartrol | ||
metoprolol tartrate | Betaloc | 50-100 | 1 |
metoprolol succinate | Toprol-XL | ||
nadolol | Corgard | 40-120 | 1 |
penbutolol sulfate | Levatol | 10-40 | 1 |
pindolol | Visken | 10-40 | 2 |
propranolol hydrochloride | Inderal, | 40-160 | 2 |
timolol maleate | Blocadren | 20-40 | 2 |
ACE inhibitors | |||
benazepril hydrochloride | Lotensin | 10-40 | 1-2 |
captopril | Capoten | 25-100 | 2 |
enalapril maleate | Enaril,Renitec | 2.5-40 | 1-2 |
fosinopril sodium | Monopril | 10-40 | 1 |
lisinopril | Prinivel, Zestril | 10-40 | 1 |
moexipril | Univasc | 7.5-30 | 1 |
quinapril hydrochloride | Accupril | 10-40 | 1 |
ramipril | Tritace | 2.5-20 | 1 |
trandolapril | Mavik | 1-4 | 1 |
Angiotensin II receptor blockers | |||
candesartan | Atacand | ||
irbesarten | Avapro | ||
losartin potassium | Cozaar | ||
valsartan | Diovan | ||
Calcium channel blockers | |||
amlodipine besylate | Norvasc | ||
diltiazem hydrochloride | Cardizem CD, Cardizem SR, Dilacor XR, Tiazac | ||
felodipine | Plendil | ||
isradipine | DynaCirc, DynaCirc CR | ||
nicardipine | Cardene SR | ||
nifedipine | Adalat CR, Procardia XL | ||
nisoldipine | Sular | ||
verapamil hydrochloride | Calan SR, Covera HS, Isoptin SR, Verelan | ||
Alpha blockers | |||
doxazosin mesylate | Cardura | ||
prazosin hydrochloride | Minipress | ||
terazosin hydrochloride | Hytrin | ||
Combined alpha and beta blockers | |||
carvedilol | Coreg | 12.5-50 | 2 |
labetolol hydrochloride | Normodyne, Trandate | 200-800 | 2 |
Central agonists | |||
alpha methyldopa | Aldomet | ||
clonidine hydrochloride | Catapres | ||
guanabenz acetate | Wytensin | ||
guanfacine hydrochloride | Tenex | ||
Peripheral adrenergic inhibitors | |||
guanadrel | Hylorel | ||
guanethidine monosulfate | Ismelin | ||
reserpine | Serpasil | ||
Blood vessel dilators | |||
hydralazine hydrocholoride | Apresoline | ||
minoxidil | Loniten** |
ไม่มีความเห็น